ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 4
ต้นหลิวหยกหมุนวนอย่างนุ่มนวล รากของมันกระแทกเจาะลงสู่พื้นดิน พริบตารากของมันก็แทงทะลุเข้าฆ่าสังหารผู้คนเป็นสิ่งแรก ใบหลิวสีเขียวหยกงดงามนับร้อยพัน พุ่งทะยานราวใบมีดเข้าโจมตีศัตรูราวคลื่นทะเลสีเขียวเต็มผืนฟ้า กิ่งหลิวโบกสะบัดไปมา ปกป้องคุ้มครองไม่ให้ใครเข้าใกล้
สระน้ำสีอำพันปรากฏด้านล่าง แสงสว่างงดงามเป็นประกายแสงดวงดาราล้อมรอบร่าง ความสดชื้นเข้าสู่ร่างของจิวโมไป๋ ช่วยฟื้นฟูความเหน็ดเหนื่อยทำให้ใบหน้าที่ซีดขาว ใกล้สิ้นลมกลับมามีสีสันเล็กน้อย
เตาหลอมยาทองคำพุ่งทะยานเหินฟ้า เปลวไฟ 6 สี 6 ชนิด ลุกโชติช่วงเผาไหม้เต็มผืนฟ้า จนท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงคล้ำราวกับจะแผดเผาสวรรค์และโลก ผู้คนที่ลอยอยู่ต่างร้องตะโกนดังลั้นด้วยความหวาดกลัวส่งอวาตาร อาวุธวิเศษ เข้าโจมตีตอบโต้อย่างดุเดือด แต่เพราะความแข็งแกร้งของเตาหลอมยา ทำให้ผู้คนต่างตกตายกันเป็นจำนวนมาก
จ้าวอี๋เทียนและเจ้าสำนักทะเลคุณธรรมร่วมมือกันต่อสู้อย่างดุเดือดรุนแรง ใบหน้าแปรเปลี่ยนไปมา ด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัว ทั้งสองต่างเร่งพลังต่อต้านอย่างสุดกำลัง แต่ก็ต้องถอยร่นไม่เป็นท่า เพราะเปลวไฟทั้ง 6 ทำให้พวกเขาแสบร้อนราวกับว่า พวกเขากำลังจะถูกหลอมละลายกลายเป็นเม็ดยา
กระบี่สีดำเปร่งกลิ่นอายลี้ลับ เงาแสงสีดำเลือนลางพุ่งทะยายด้วยความรวกเร็ว และหายลับไปในพริบตาราวกับหมอกควัน ทุกที่ที่มันพุ่งทะยานผ่าน จะต้องเต็มไปด้วยหยาดพิรุณเลือดน่าสะพรึง ผู้คนต่างน่าซีดเผือกเพราะพวกเขาไม่รู้ว่า เงาแสงสีดำจะพุ่งมาปลิดชีพพวกมันตอนไหน
สุดท้าย ดวงดาวทั้ง 5 มันกับไม่ทำอะไรเลย มันหมุนโคจรอย่างช้าๆ แต่พลังงานธรรมชาติบริเวณรอบข้างกับอ่อนแอลง มีแต่ตรงจุดที่ จิวโมไป๋อยู่เท่านั้นที่พลังงานธรรมชาติเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆจนน่ากลัว
ผู้บ่มเพาะที่กำลังสู้รบอย่างดุเดือดอยู่ดูเหมือนจะรู้ตัว ว่าพลังงานธรรมชาติทั่วบริเวณอยู่ๆก็หายไปจนใกล้หมดสิ้น เมื่อพวกเขาไม่อาจดูดซับพลังธรรมชาติมาฟื้นฟูพลังได้ มันทำให้พวกเขาเหน็ดเหนื่อยอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ใบหน้าของผู้บ่มเพาะต่างถอดสี
เมื่อเห็นว่าไม่อาจปล่อยให้ สงครามยืดเยื้อต่อไปได้เพราะฝ่ายที่หมดแรงคงเป็นพวกเขาเอง เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ พวกเขาหมื่นกว่าคน ยังไม่อาจเอาชนะคนๆเดียวได้ มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ
อยู่ๆเงาอวาตารเตาหลอมพลันเปร่งประกายราวดวงอาทิตย์ ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่ร่างของจ้าวอี๋เทียนหวังจะสังหารให้สิ้น
“แย่แล้ว!!! ท่านผู้อาวุโสรีบออกมาเร็วๆ”จ้าวอี๋เทียนกรีดร้องหลุดมาด ตะโกนเสียงดังก้อง ไม่นานก็มีเงาร่างหลายสิบร่าง ทะยานเข้ามาขวางอย่างรวดเร็ว
ตูมมม! เสียงปะทะดังสนั่น เตาหลอมทองคำกระเด็นสะท้อนกลับมาด้านหลัง ไอร้อนราวกับจะทำลายสวรรค์ได้ดับลง ก่อนที่มันจะพุ่งกลับไปอยู่เคียงข้างร่างของจิวโมไป๋
ผู้มาใหม่พวกเขาไม่ได้ หยิบยืมกำลังของอวาตารหรืออาวุธวิเศษในการบิน บ่งบอกว่าพวกเขาทั้งหมด เป็นผู้บ่มเพาะระดับปราณนภา ที่สามารถหยิบยืมพลังสวรรค์เพื่อโบนบินได้ด้วยตัวเอง
จิวโมไป๋กวาดมองใบหน้าของคนที่ลอยอยู่ ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นเขียวคล้ำ
“ข้าไม่คิดเลยว่าพวกท่านที่ปกครองมิติชั้นสูงอันแข็งแกร่ง จะให้ความสนใจมิติระดับกลางที่แสนแห้งแล้งอ่อนแอเช่นนี้”
ฟังเสียงประชดของจิวโมไป๋ ใบหน้าของผู้บ่มเพาะปราณนภาต่างเปลี่ยนสี
“บัดซบ!เป็นแค่สวะลมปราณปัฐพีแท้ๆ เจ้าถึงกับปากกล้าดูถูกพวกข้า คงอยากตายแล้วสินะ”ชายวัยกลางคนหนึ่งในกลุ่มผู้บ่มเพาะปราณนภา ตวาดดังก้อง
ชายวัยกลางคนด้านข้างยกมือขึ้น ทำให้อีกฝ่ายเงียบลง เขามองมาทางจิวโมไป๋ด้วยใบหน้าเย็นชา
“มอบเคล็ดวิชาของเจ้าออกมา ข้าจะปล่อยเจ้าไป ถ้าเจ้าไม่ยอมมอบมันมา หึ เชื่อเถอะว่าข้ามีหลายร้อยวิธีที่จะทรมานเจ้า จนเจ้าต้องอ้อนวอนขอร้องให้ข้ายอมรับเคล็ดวิชาของเจ้า”
จิวโมไป๋เลือกที่จะเงียบไม่ต่อปากต่อคำ พลังรอบร่างกายถึงขีดจำกัด เขาเรียกอวาตารทั้งหมดกลับเข้าร่างเหลือเพียง ดวงดาวทั้ง 5 ดวง ที่หมุนวนช้าๆรอบร่างกาย
ในตอนนี้พลังงานตรงจุดที่จิวโมไป๋ยืนอยู่ เรียกได้ว่าหนาแน่นทรงพลังจนน่าหวาดหวั่น
ผู้บ่มเพาะปราณนภา ต่างลอยนิ่งบนอากาศ ใบหน้าเย่อหยิ่งแสดงออกถึงความสนใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมลงมือ พวกเขาแสดงออกถึงความถือดีในพลังของตน ไม่เห็นผู้บ่มเพาะปราณระดับปฐพี อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ตอนนี้อีกฝ่าย จะสามารถดึงดูดพลังจนเกิดปรากฏการณ์น่าสะพรึงได้ก็ตาม
จ้าวอี๋เทียนปากคอสั่น เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามใบหน้า เขาอยากจะร้องด่าพวกหยิ่งยะโสพวกนี้ แต่ไม่กล้าเอ่ยปาก พวกมันทั้งหมดเป็นถึงผู้มีอำนาจของมิติชั้นสูงหลายแห่ง
ตัวเขาเองเป็นแค่ผู้มีอำนาจในมิติชั้นกลาง การมีเรื่องกับพวกมันก็ไม่ต่างจาก ไข่นกกระทาใบเล็กๆ ไปเคาะก้อนหินแกนนิค
และในตอนนั้นเองดวงดาวทั้ง 5 ต่างขยายใหญ่กว่าเดิมถึง 5 เท่าในชั่วพริบตา! ลอยสักรูปดาราบนหน้าผากส่องแสงเจิดจ้าอย่างน่าสะพรึงกลัว
ในเวลาเดียวกันข่ายอาคมสีทองดำทรงพลังขนาดใหญ่ พลันปรากฏขึ้นบนพื้นดินโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว
กลิ่นอายสยองขวัญครอบคลุมรัศมี 100 ลี้ ใบหน้าของผู้บ่มเพาะปราณนภา ต่างตกตะลึงถึงขีดสุด เพราะอยู่ๆพลังของพวกเขาก็ลดลงเหลือไม่ถึงหนึ่งในสี่!
“แย่แล้ว!!!”
โดยไม่ต้องปรึกษากันอีก พวกเขาต่างเรียกอวาตารของตัวเองขึ้นมา แต่น่าสงสารที่เงาอวาตารของพวกเขานั้น แม้จะทรงพลังกว่าผู้บ่มเพาะปราณระดับปฐพี แต่มันก็แข็งแกร่งกว่าแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คนที่แข็งแกร่งที่สุดเรียกอวาตารขนาด 70 เมตรเท่านั้น
“ตายยย!!!”จิวโมไป๋ร้องคำรามเป็นครั้งสุดท้าย ข่ายอาคมสีทองดำกระพริบถี่ยิบ โลกพลันบิดเบี้ยว ผู้คนที่กำลังพุ่งเขามาต่างหยุดชะงักราวกับผ้าที่ถูกตากไว้บนรว ดวงดาวสีเงินทั้ง 5 พลันกลายเป็นสีแดงเลือด ขุนเขารอบบริเวณสั่นสะท้านเลื่อนลั่น คลื่นทำลายล้างอันทรงพลัง ปกคลุมดินแดน 100 ลี้ในชั่วอึดใจ
ตูมมมม!!!
เสียงทำลายล้างดังสนั้นไปหลายพัรลี้ แรงระเบิดสีแดงฉาน ระเบิดทำลายพื้นที่ทั้งหมดกว่า 100 ลี้ ผู้บ่มเพาะทั้งหมดกว่า 75,000 คน เสียชีวิตอย่างหน้าสังเวช และมีผู้บ่มเพาะปราณนภาเสียชีวิตกว่า 58 คน
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ฝุ่นควันค่อยๆหายไป จุดที่เคยเป็นป่าไม้และภูเขาอันร่มรื่น ปรากฏหลุมลึกหลายพันเมตร
ตรงกลางหลุม มีเตาหลอมโอสถโบราณสีทอง ตั้งอยู่อย่างโดดเดียว ไม่นานเตาหลอมก็เกิดรอยร้าวและแตกกระจายกลายเป็นฝุ่นผง
ทิ้งร่างของชายวัยกลางคนในชุดขาวทรุดลงกับพื้นดินที่ไหม้เกรียม เขาเหม่อมองเตาหลอมสีทองที่กำลังค่อยๆแตก
“ทำไม ทำไมถึงช่วยข้า”อูเหวินกล่าวเสียงแผ่วเบาในลำคอ ความเศร้าโศกเสียใจกรีดแทงจนเจ็บปวด มันไม่ได้เจ็บปวดที่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจ หยาดน้ำตาสีเลือดหยดไหลลงบนหลังมือ
และในตอนนั้นเองเตาหลอมยา ก็แตกกระจายหายไปกับสายลมจนหมดสิ้น บริเวณที่มันเคยอยู่มีก้อนหยกสีน้ำเงินและแหวนสีเงินตกกระทบลงบนพื้น
อูเหวินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะ ก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา เขาส่งพลังเขาไปในหยกสีน้ำเงิน ข้อความเสียง สามเสียงที่คุณเคยถูกส่งเขาสู่สมองโดยตรง
“ข้าขอโทษที่ต่อว่าเจ้าและขับไล่เจ้าออกจากสำนัก มันเป็นเพียงเรื่องสุดท้าย ที่ข้าพี่ใหญ่ของเจ้าทำให้เจ้าได้ ไม่ต้องเสียใจที่พวกเราตาย เพราะชะตาชีวิตของพวกเราไม่อาจผ่านพ้นไปได้อีกแล้ว แต่เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้ายังมีครอบครัวรอให้เจ้าไปช่วยอยู่ ใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะของสาม”
“น้องสาม เจ้าก็รู้ว่าการแสดงของข้าไม่ดี เจ้าอย่าได้โกรธข้าในภายหลังล่ะ ว่าข้าการแสดงของข้าไม่ดี จนเจ้าต้องถูกตามล่าในอนาคต อ่อ…พวกเราทั้งสามสูญเสียครอบครัวจนหมดสิ้นแล้ว พวกข้าสามคนไม่มีภาระผูกพัน ไม่เหมือนเจ้าที่มีครอบครัวที่ต้องดูแล
ตอนที่พวกเรารู้ว่าพวกบ้าที่ชอบอ้างคุณธรรมกำลังวางแผน ทำลายสำนักของพวกเรา พวกข้าจึงเริ่มคิดวางแผนขับไล่เจ้าออกจากสำนัก ทำให้เจ้ากลายเป็นคนบาปของสำนัก เพราะไม่อยากให้เจ้าผูกพันกับพวกเรา ข้าขอโทษที่ต่อว่าเจ้า… ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่พวกเราตายและใช้ชีวิตกับครอบครัวให้มีความสุข”
“พี่สาม ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย มันเป็นเพราะข้าเองที่ทำให้สำนักถึงของพวกเราล้มสลาย ไม่ได้เกี่ยวกับท่านเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเพราะข้ามีสิ่งที่พวกมันต้องการ ความโลภของมนุษย์ไร้สิ้นสุด ดังนั้นความผิดทั้งหมดเกิดจากข้าทั้งสิ้น ท่านอย่าได้โทษตัวเองแล้วใช้ชีวิตกับครอบครัวให้มีความสุขเถอะ”
ร่างกายของอูเหวินสั่นสะท้าน เขากำแหวนสีเงินแน่นจนเส้นเลือดบูดโปนออกมา ภายในเป็นมิติเก็บของขนาดใหญ่มีสมบัติลำค่าของสำนักมากมายอยู่ภายใน และที่สำคัญที่สุดคือ โอสถทิพย์ทะลวงนภา 1 เม็ด และ คัมภีร์เปลี่ยนสวรรค์ เคล็ดวิชาที่ทุกคนต้องการ จนต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าเศร้า
อูเหวินยกมือทุบกระแทกพื้นอย่างแรงด้วยความเศร้าเสียใจ
“พี่ใหญ่ พี่รอง น้องเล็ก ข้าจอโทษ…”
เวลาผ่านไป 1 วัน สีผมสีดำสนิทกลายเป็นสีขาวราวหิมะ อูเหวินหมอบคำนับศีรษะกระแทกพื้นอย่างแรงสามครั้ง เขาค่อยๆยันตัวยืนขึ้น สีหน้าของเขากลายเป็นหนักแน่น เขามองไปยังทิศทางหนึ่งแล้วพุ่งทะยานออกไป
“ข้าขอโทษ เพราะความเห็นแก่ตัวของข้าเอง ที่ทำให้พวกท่านต้องเสียสละเพื่อข้า ข้าสัญญาว่าเมื่อข้าช่วยภรรยาและลูกสาวได้แล้ว แม้ข้าไม่อาจตายวัน เดือน ปี เดียวกับพวกท่านได้ ข้าก็ขอตายตามพวกท่านไป แม้ชาติหน้าจะเป็นคนรับใช้พวกท่านข้าก็ยอม”
คอมเม้นต์