ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 6
นับจากเวลาที่โลกเข้าสู่ยุครุ่งอรุณ เวลาก็ผ่านไป 8 ปี ความเข้าใจในการบ่มเพาะพลังของผู้คนมีมากขึ้น และได้มีการจัดระดับการบ่มเพาะพลังที่คนทั้งโลกเข้าใจ
โดยระดับการบ่มเพาะเริ่มแรกเรียกว่าระดับสร้างฐาน
ระดับสร้างฐาน แบ่งเป็น 9 ขั้นหลัก แต่ละขั้นมี 3 ขั้นย่อย(ต้น กลาง สูง) รวมเป็น 27 ขั้นสร้างฐาน
ขั้นที่ 1 ผิวหนัง ขั้นที่ 2 กล้ามเนื้อ ขั้นที่ 3 เส้นเอ็น ขั้นที่ 4 อวัยวะภายใน ขั้นที่ 5 กระดูก ขั้นที่ 6 โลหิต ขั้นที่ 7 ไขกระดูก ขั้นที่ 8 ชีพจร ขั้นที่ 9 หลอมปราณ
ในปัจจุบันผู่บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขั้น หลอมปราณ…
ระดับลมปราณต่อไปคือ ปราณก่อกำเนิด ปราณปฐพี ปราณนภา
…
เวลาผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง จิวโมไป๋ก็ต้องถอนหายใจอย่างแผวเบา เขาจัดระเบียบข้อมูลต่างๆในหัวอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ร่างกายของเขาอ่อนแออย่างมาก ทำให้เมื่อใช้ความคิดมากๆจะเกิดอากาศเจ็บเล็กน้อย
กริ๊งๆๆ
“วันนี้พอแค่นี้ คาบหน้าเราจะมาว่าด้วยเรื่องของการ สร้างโลกจำลองและโลกเสมือน วันนี้แยกย้ายกันได้แล้ว”อาจารย์วัยกลางคนพูดรัวเร็ว แตกต่างจากท่าทางเบื่อหน่ายตอนบรรยายลิบลับ เมื่อพูดเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องไปทันทีราวกับเหาะ
นักศึกษาที่นั่งเรียนอยู่ต่างลุกขึ้นและแยกย้ายกันออกจากห้องเรียน
จิวโมไป๋ค่อยๆยันตัวลุกขึ้น เดินก้าวยาวๆออกจากห้องเรียน ท่าทางของเขา เหมือนจะพยายามสะกดข่มอารมณ์บางอย่างอยู่
“นั้นมัน‘อัจริยะ’ไม่ใช้เหรอ”
“จุจุ ตอนนี้คงเรียกอัจฉริยะไม่ได้แล้ว มันกลายเป็นคนพิการไปแล้ว”
“ใช่ ตอนนี้ตำหนักยุทธของมัน ถูกทำลายแบบไม่สมบูรณ์ เศษตำหนักยุทธ ตกค้างอยู่ในร่างกาย เขาไม่สามารถฟื้นฟูตำหนักยุทธที่เสียหายและไม่สามารถสร้างตำหนักยุทธใหม่ได้ ตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากคนพิการ เป็นขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
“โชคร้ายจริงๆ ที่ต้องกลายเป็นคนพิการ แม้ว่าเขาจะฉลาดแค่ไหนก็ตาม แต่ในยุคสมัยนี้ ถ้าไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ มันก็เป็นแค่อัจฉริยะไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น”
เสียงกระซิบดังขึ้น ทันทีที่จิวโมไป๋เดินออกจากห้องเรียน เขาไม่สนใจคนที่กำลังซุบซิบกันอยู่ เขาเดินอย่างรวดเร็ว ไปตามระเบียงอาคาร ระหว่างทางก็มีผู้คนพูดคุยเกี่ยวกับเขาไม่ขาดสาย แต่เขาก็ขี้คร้านเกินจะสนใจ
เพราะสิ่งที่ทำให้ชะตาชีวิตของเขาในอดีตพินาศย่อยยับ กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้เขาต้องตั้งสติข่มอารมณ์ที่เดือดดาลของตัวเองให้เย็นลง…
เดินลงมาถึงชั้นที่ 1 ในขณะที่กำลังเดินออกจากอาคารเรียน เขาก็พบกับหญิงสาวสูงโปร่ง ในชุดเดรสแขนยาวสีฟ้าอ่อน หุ่นสวยได้สัดส่วนราวกับนาฬิกาทราย ผิวขาวราวกับหยกขาวเนื้อดี ขาเรียวยาว ผมดำยาวสลวย ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโก่งโค้งราวคันศร ดวงตาเรียวราวดวงตาหงส์ จมูกโด่งเข้ารูป ริมฝีปากชมพูอ่อน พูดได้ว่าทุกส่วนของหญิงสาวคือศิลปะชิ้นเอกของโลก
เมื่อเธอยืนอยู่หน้าอาคารเรียนแสงของดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน กระทบร่างงามเปล่งประกายระยิบระยับ
สวยงาม น่าหลงไหล ราว เทพธิดา
หลานซูเมิ่ง สาวงามอันดับ 1 ของ มหาวิทยาลัยเทียนซู หญิงสาวที่นอกจากรูปร่างหน้าตาจะงดงามไร้ที่ติแล้ว ชาติตระกูลและความสามารถด้านการบ่มเพาะและวิชาการก็ไร้ที่ติ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน รวมถึงนิสัยที่แท้จริงของเธอนั้น อบอุ่น อ่อนโยน ไร้เดียงสา ไร้พิษภัย เรียกได้ว่าเธอเป็นเทพธิดาในคราบมนุษย์
ในอดีต หลานซูเมิ่ง บังเอิญมาทานอาหารที่ร้านอาหารครอบครัวของเขา ทำให้พวกเขาทั้งสองคนรู้จักกันโดยบังเอิญ และเธอก็ได้ติดใจรสชาติในการทำอาหารของเขา จนกลายเป็นขาประจำที่ร้าน และจากนิสัยของเธอ เธอไม่คิดอะไรมากนักเรื่องการคบหาเพื่อนต่างเพศ ทำให้เขาและเธอกลายเป็นเพื่อนกัน
เขาในตอนนั้นคิดแค่ว่า ตัวเองโชคดีที่ได้เป็นเพื่อนกับสาวงาม โดยที่ไม่คิดเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต…
เมื่อเดินออกจากอาคารเรียน หลานซูเมิ่งก็เห็นจิวโมไป๋เดินออกมาพอดี เธอยกยิ้มงดงามราวดอกไม้บาน จนผู้คนชะงักงันราวกับถูกสะกด
“จิวโมไป๋วันนี้นายกลับมาเรียนแล้วเหรอ”
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด จิวโมไป๋เผลอกระตุกยิ้มแผ่วเบา ก่อนที่จะรีบเก็บซ่อนอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปหาหญิงสาวอย่างช้าๆ
หลานซูเมิ่งแปลกใจเล็กน้อย ปกติจิวโมไป๋ จะต้องรีบเข้ามาหาเธออย่างกระตือรือล้น ไม่ได้แสดงท่าทางเย็นชาแบบนี้ หรือว่าเป็นเพราะถูกทำลายตำหนักยุทธ ลักษณะนิสัยเลยเปลี่ยนไป เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใบหน้างดงามก็โศกเศร้าขึ้นมา
การเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อย ทำให้ผู้คนที่ยืนดูอยู่ห่างๆ รู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมา พลางจ้องเขม่งมองจิวโมไป๋อย่างดุร้าย
บังอาจทำให้สาวงามเสียใจ แกมันผู้ชายน่ารังเกียจ
จิวโมไป๋ที่ตอนแรกคิดว่าตัวเองตั้งสติได้ดีแล้ว ก็อดที่จะเลิกคิ้วขึ้นมาไม่ได้
แค่เปลี่ยนสีหน้า อารมณ์ของผู้คนก็เปลี่ยนตาม ตัวเขาในอดีตก็หลงมัวเมา ไปกับการแสดงออกที่แสนบริสุทธิ์ของอีกฝ่าย จนโงหัวไม่ขึ้น
ถ้าเขาไม่ใช้คนที่มาจากอนาคต มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 100 ปี เขาคงตายอย่างโง่งมโดยที่เขาไม่รู้ตัว
คอมเม้นต์