ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 58
ก่อนที่ชายร่างผอมจะได้ทันวิ่งออกจากบ้าน จิวโมไป๋ก็หายตัวไปโผล่ที่หน้าประตูก่อนที่จะชกใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง
ผลัวะ! ร่างของชายร่างผอมกระเด็นไปตามแรงหมัด ก่อนจะล้มลงไปกับพื้น
“โอ๊ย! แก แกกล้าทำร้ายฉัน”ชายร่างผอมจับใบหน้าร้องครางอู้อี้ไม่เป็นคำ จมูกบนใบหน้าแตกเป็นชิ้นๆสภาพไม่เหลือรูปทรงเดิม ทำให้เลือดสีแดงข้นไหลออกมาไม่หยุด
จิวโมไป๋ไม่พูดอะไร เขาเดินเข้าไปเตะเข้าที่แขนที่ยกมาปิดปังใบหน้าอย่างโหดเหี้ยม
“อ๊ากกก!!”แขนข้างที่ยกขึ้นมาถูกทำลายหักครึ่ง ชายร่างผอมกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างเจ็บปวด ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยน้ำตา
“ฮือออฮือ น้องชายปล่อยฉันไปเถอะ เรื่องทั้งหมดจะจบลงตรงนี้ ฉันจะไม่บอกใครทั้งนั้น”ชายร่างผอมพูดอ้อนวอนเสียงสั่นเทาด้วยความกลัว บัดซบ! ปีศาจนี้มันเป็นใคร ถ้าข้ารอดไปได้ ข้าจะบอกพี่ชายมาจัดการแก!
“อ๊ากกกก!”ยังไม่ทันได้ตั้งตัว จิวโมไป๋ก็ใช้ฝ่ามือพิสดารอีกครั้งกระดูกแขน ขา ซี่โครง แทบทุกส่วนของร่างกายพลันบิดเบี้ยว อะไรที่ถูกถอดออกได้ ก็หลุดออกมาอย่างน่ากลัว ราวกับตรงอยู่ในขุมนรกชั้นล่างสุด ชายร่างผอมกรีดร้องเสียงดังลั้นไปทั่วบริเวณ ดังเสียยิ่งกว่าลูกน้องของตัวเองเป็นสิบเท่า บ่งบอกว่าจิวโมไป๋ลงมืออย่างเต็มแรง ไม่มีออมแรงเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่ใช้คนโง่ที่จะปราณีศัตรู จนตัวเองตกระกำลำบากในภายหลังอีกแล้ว
เด็กสาวลืมตากลมโตมองภาพเพียงหน้าไม่กระพริบ เธอสงสัยว่าใครมาช่วยเธอ เมื่อเห็นชายในเสื้อโค๊ทสีดำหันกลับมา เด็กสาวจ้องสบตาไม่หลีกเลี่ยง
จิวโมไป๋นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนที่สุด เขาเดินมาอยู่เบื้องหน้าของเด็กสาว พร้อมยืนมือออกมา
“ไม่เป็นไรนะ มีฉันอยู่ที่นี่ไม่มีใครทำอะไรเธอได้อีกแล้ว”
เด็กสาวมองมือใหญ่อย่างลังเล ก่อนที่จะเอื่อมมือขึ้นมาจับอย่างแผ่วเบา ทันทีที่สัมผัสกับฝ่ามือหยาบ เธอก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่อ่อนโยน ดวงตาของเด็กสาวปรากฏแสงของชีวิต หยดน้ำตาค่อยๆไหลออกมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาจห้ามปรามได้อีก
จิวโมไป๋ชะงักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะคุกเข่าลงดึงเด็กสาวเข้ามากอด พร้อมลูบหลังปลอบโยนเบาๆ เหมือนกอดน้องสาว ในใจของเขารู้สึกสงสารเด็กสาวอย่างยิ่ง จนนึกไปถึงพวกสารเลว ที่กล้าลงมือทำร้ายเด็กและคนป่วยไม่มีทางสู้ ดวงตาของจิวโมไป๋พลันส่องประกายเย็นเฉียบออกมา
โดยที่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ตำหนักยุทธหลังหนึ่งของจิวโมไป๋ ก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้า ตำหนักยุทธสีขาวหยกบริสุทธื์งดงามพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาดำทะมึน ไร้แสงสีใดๆ เสาตำหนักยุทธสี่ต้นสั่นสะท้านเบาๆ เงามังกรสีเทาพลันมีร่องรอยของชีวิตราวกับมีตัวตน แต่มันก็อ่อนแรงอย่างยิ่ง
ใจกลางของตำหนักยุทธ ปรากฏเงากระบี่สีเทาอ่อนอันเลือนลางขึ้นอย่างช้าๆ
คลืนนน
เสียงร้องคำรามดังขึ้นภายในทะเลสติ ในตอนนั้นเองทะเลปราณถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยมีเส้นแสงสีขาวอมเขียวขวางกั้นทะเลปราณทั้งสองเอาไว้่
ทะเลปราณแห่งที่สอง ที่พึ่งเกิดใหม่เป็นทะเลปราณที่ไร้หยดปราณใดๆ แต่ในเวลาต่อมาหยดปราณก็ค่อยๆ ตกลงมาจากตำหนักยุทธหลังที่สองอย่างช้าๆ ไม่นานบ่อปราณเล็กๆก็เกิดขึ้น
รังสีพลังที่ส่งออกมาจากตำหนักยุทธหลังที่สอง แตกต่างจากตำหนักยุทธหลังแรกที่ ร้อนแรงและมีกลิ่นอายของการเผาไหม้โอสถ
ตำหนักยุทธหลังที่สองจะมีพลังไร้สภาพที่ แหลมคมและลี้ลับน่าสะพรึงกลัว
เคล็ดบ่มเพาะกระบี่เลือนเร้น!
จิวโมไป๋ดูเหมือนจะพึ่งรู้สึกตัว เขาถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา เขาไม่คิดเลยว่าจะสร้างตำหนักยุทธที่สอง เป็นตำหนักยุทธกระบี่เลือนเร้น ในโลกปัจจุบันยังไม่อาจสังหารใครได้ง่ายๆ เพราะมี Nuwa คอยจับตามองอยู่ มันถือว่าเป็นการสร้างที่เสียเปล่าอย่างมาก
ในอดีตเขาได้รับเคล็ดบ่มเพาะพลังที่มุ่งเน้นไปทางต่อสู้ เป็นจำนวนมากจากสถานที่ต่างๆ ที่เขาได้เดินทางไปรักษาผู้คน ในนามของ เตาหลอม 9 สุริยัน แต่เขาก็ไม่สามารถเลือกเคล็ดบ่มเพาะมาฝึกได้ เพราะตัวเขาเอง หลังจากฆ่าล้างตระกูลเซียว ก็มุ่งเน้นการบ่มเพาะในเส้นทางปรมาจารย์ ไม่สนใจเรื่องการต่อสู้นองเลือดอีก
เขาคิดแค่จะหาเคล็ดบ่มเพาะที่เน้นด้านการต่อสู้ มาฝึกก็เพื่อป้องกันตัวในยามจวนตัวเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเอาไปใช่ในการต่อสู้จริงจัง ทำให้ไม่รู้ว่าจะเลือกเคล็ดบ่มเพาะแบบไหนดี
เคล็ดบ่มเพาะพลังที่เขาฝึกก่อนหน้าก็มี
เคล็ดบ่มเพาะต้นหลิวหยก มุ่งเน้นความสมดุลของ การโจมตี ป้องกันและการรักษา
เคล็ดบ่มเพาะสระอำพัน มุ่งเน้นในการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว จนแทบเป็นอมตะ
เคล็ดบ่มเพาะเตาหลอม 9 สุริยัน มุ่งเน้นไปที่การกลั่นโอสถ และ เปลวไฟที่แผดเผาทุกสิ่ง
จนกระทั้งเขาได้พบเห็นความไม่เป็นธรรมของผู้บ่มเพาะพลังจากตระกูลชั้นสูง ที่กดขี่ข่มเหง คนธรรมดาสามัญและผู้บ่มเพาะคนอื่นๆ ทำให้เขานึกไปถึงเรื่องราวในอดีต ที่ครอบครัวของเขาต้องถูกเซียวหนานจิ้นรังควานจนฆ่าตัวตาย
ความรู้สึกอยากจะกำจัดความอยุติธรรมบนโลกที่เน่าเฟะจึงเกิดขึ้น
เขาจึงได้ทำการหลอมรวมเคล็ดบ่มเพาะจำนวนมาก จนสร้างเคล็ดบ่มเพาะที่มุ่งเน้นในการ สังหาร ไม่ใช่เคล็ดบ่มเพาะที่มุ่งเน้นในการ ต่อสู้ ขึ้นมา
เกิดเป็นเคล็ดบ่มเพาะกระบี่เลือนเร้น ที่มุ่งเน้นการเข่นฆ่าสังหารพวกเลวทรามต่ำช้าเพียงอย่างเดียว
เมื่อเขารู้สึกถึงความอยุติธรรม ที่เด็กสาวและแม่ต้องพบเจอ สัญชาตญาณภายในจิตวิญญาณของเขา จึงถูกจุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดตำหนักยุทธกระบี่เลือนเร้นขึ้น
จิวโมไป๋ได้แต่ถอนใจเล็กน้อย เพราะเมื่อสร้างตำหนักยุทธขึ้นมา ความเร็วในการบ่มเพาะของเขา จะช้าลง 2 เท่า ในตอนแรกเขาคิดจะบ่มเพาะเพียงตำหนักยุทธเตาหลอม 9 สุริยัน เพียงตำหนักเดียวจนถึงวันประลอง
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะบ่มเพาะช้าลง 2 เท่า เขาก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่า ยังไงก็ตามเส้นทางข้างหน้าของเขา ต้องถูกย้อมเป็นเส้นทางสีเลือดอยู่ดี จะช้าหรือเร็วก็มีค่าเท่ากัน
เด็กสาวในอ้อมกอดของเขา ร้องไห้หลั่งน้ำตาออกมาจนหมดสิ้น เธอก็รู้ตัวว่ากำลังกอดคนแปลกหน้าอยู่ เธอขยับตัวออกเล็กน้อยใบหน้าเด็กน้อยขึ้นสีแดงด้วยความอาย แววตาของเธอดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
“ขอบคุณพี่ชายที่ช่วยเหลือ…”เด็กสาวพูดขอบคุณเสียงเบาลง เมื่อเธอพึ่งนึกขึ้นได้ว่า พวกเธอสองแม่ลูก ได้มีที่อยู่ก็เพราะหัวหน้าไม้สักได้ให้พวกเธออาศัยอยู่ที่นี่ แต่เมื่อน้องชายของหัวหน้าแก๊งไม้สักถูกทำร้าย
ถ้าเธอยังอยู่ที่นี่จะต้องถูกทำร้ายอย่างแน่นอน แต่เธอก็หลบหนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เพราะแม่ของเธอยังคงสลบไม่ได้สติ
แววตาของเด็กสาวพลันมืดมนอีกครั้ง
จิวโมไป๋พลันอ่อนลง เขารู้ดีว่าเด็กสาวกำลังคิดอะไร เขายิ้มก่อนที่จะลูบหัวของเด็กสาวอย่างนุ่มนวล
“ไม่ต้องเป็นห่วง มีพี่ชายคนนี้อยู่ไม่มีใครทำอะไรเธอได้แน่”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะหลบตามองลงไปที่พื้น
“พี่ชายไม่ต้องช่วยหนูหรอกค่ะ หัวหน้าแก๊งไม้สักแข็งแกร่งมาก พี่ชายรีบหนีไปเถอะ ไม่อย่างนั้นพี่ชายจะมีอันตรายได้”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่ชายแข็งแกร่งมากนะ… พี่ชายชื่อจิวโมไป๋ เด็กน้อยเธอชื่ออะไร”จิวโมไป๋เปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เด็กสาวต้องกังวล เขารู้ชื่อของเด็กสาวอยู่ก่อนแล้ว เขาแค่ชวนคุยเท่านั้น
“หนูชื่อเตี๋ย เสวี่ยเจียวค่ะพี่ชาย”เด็กสาวตอบเสียงเบา
แค่กๆ จิวโมไป๋เผลอไอออกมาเสียงดัง ด้วยความตกใจ
เตี๋ย(ผีเสื้อ) มันเป็นชื่อตระกูลของประมุขสำนักผีเสื้อดาราไม่ใช่เหรอ?!
คอมเม้นต์