ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 72
แต่ก่อนที่จิวโมไป๋จะได้ทำอะไร เสี่ยวไป๋ก็ยันตัวขึ้นและร้องคำรามเสียงดังอย่างดุร้าย
โฮกกกกก
โครงกระดูกสีเทาเหมือนจะมีความรู้สึกกลัวขึ้นมา พวกมันหยุดชะงักและตัวสั่นระริก เสียงข้อต่อกระดูกดังกล๊อบแกล๊บ และในตอนนั้นเองเสี่ยวไป๋ก็กลายเป็นแสงสีเงิน พุ่งทะยานไปทางโครงกระดูกทั้งสามในพริบตา
กร๊อบบบ!!!
ซากโครงกระดูกสีเทาทั้งสามแตกกระจายภายในการโจมตีครั้งเดียว
จิวโมไป๋เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ความแข็งแกร่งของเสี่ยวไป๋ในตอนนี้น่าจะอยู่ในขั้นที่ 3 เส้นเอ็นเป็นอย่างน้อย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเพราะความแข็งแกร่งของเสี่ยวไป๋ในตอนนี้ พอๆกับเสือที่โตเต็มไวและอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด
ในอนาคตเมื่อเสี่ยวไป๋โตขึ้น มันจะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าในตอนนี้หลายเท่า และในอีกหนึ่งปีข้างหน้าเมื่อโลกเกิดการวิวัฒนาการณ์ที่รุนแรง เสี่ยวไป๋จะได้รับการกระตุ้นจากเหตุการณ์นั้นและวิวัฒนาการจนกลายเป็น สัตว์อสูรที่ทรงพลังอย่างแน่นอน
แต่… ถ้ามีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเกิดขึ้น ทำไมไม่มีข่าวของมันออกมาเลยในชาติที่แล้ว แม้เขาจะไม่ได้สนใจข่าวสารอะไรมากนัก แต่เขาก็พอที่จะจำรายชื่อสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งบนโลกที่บันทึกไว้ที่ระบบขององกรค์ลับได้ ว่ามันไม่มีสัตว์อสูรที่มีลักษณะคล้ายเสี่ยวไป๋อยู่เลย
เมื่อนึกถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา เมื่อวันที่โลกเกิดการวิวัฒนาการที่รุนแรง โบราณสถาน สถานที่เก็บสมบัติ หรือสถานที่ลึกลับต่างๆ ได้รับการกระตุ้นจนเปิดเผยสถานที่ตั้งของมันออกมา
ทำให้ผู้บ่มเพาะเข้าไปสำรวจแสวงโชค แต่ภายในของสถานที่เหล่านั้น กับกลายเป็นหลุมศพของผู้เข้าไปสำรวจ
โดยปกติแล้วสถานที่เหล่านี่มักจะมีกลไกอันตรายและการป้องกันแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อเพื่อปกป้องผู้บุกรุก เมื่อได้รับพลังธรรมชาติที่หนาแน่น สิ่งต่างๆภายในสถานที่เหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงจนน่ากลัวสยองขวัญมากขึ้น ถ้าไม่แข็งแกร่งจริงก็เหมือนเอาตัวเองเข้าไปตาย
เหมือนอย่างที่นี่ ที่ในตอนนี้โครงกระดูกพวกนี้ยังอ่อนแอและเปราะบาง เขาสามาถทำลายพวกมันอย่างง่ายดาย แต่ในอนาคตเมื่อโลกเกิดการวิวัฒนาการอย่างรุนแรง โครงกระดูกจะทวีความแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัว โครงกระดูกสีขาวเหลืองที่อ่อนแอที่สุดจะอยู่ในขั้นที่ 5 กระดูก
เขาจำได้ว่าเมื่อมีการสำรวจที่นี่ ได้มีผู้บ่มเพาะจำนวนมากเสียชีวิต ตัวเลขเสียชีวิตที่ประกาศให้ผู้คนภายนอกได้รับรู้เรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศ
ทำให้ในหมู่สถานที่ลึกลับทั้งหลาย เขาวงกตโครงกระดูก ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามที่สุดในโลก
ในภายหลังองค์กรลับได้ย้ายที่ตั้งของศูนย์บัญชาการ มาอยู่ที่เกาะโดดเดี่ยว และทำการปกปิดข้อมูลทุกอย่าง ของเขาวงกตโครงกระดูกไม่ให้คนภายนอกได้รับรู้
แม้แต่เขาที่ภายหลังเป็นสมาชิกองค์กรลับระดับ 5 ดาวก็ไม่สามารถรับรู้ข้อมูลสถานที่แห่งนี้ได้ เขารู้แค่ข้อมูลคร่าวๆของมันเท่านั้น
ในระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง เสี่ยวไป๋ก็กระโดดกลับมายืนที่บ่าของเขาเหมือนเดิม และกางกรงเล็บออกมาขัดถูบนเสื้อโค้ทสีดำยาวตัวโปรดของเขา จนกรงเล็บของมันสะอาด มันก็พยักหัวน้อยๆของมันอย่างพอใจ
ทำให้จิวโมไป๋ได้สติและยกมือขึ้นมาเคาะหัวเล็กๆของเสี่ยวไป์เบาๆ
“ทำไมตอนนี้ถึงลงมือช่วยห่ะเจ้าเหมียว”
โฮกกกก เสี่ยวไป๋คำรามเบาๆไม่พอใจ ก่อนเอียงคอมองสบตาเขาด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู
เขาก็เข้าใจได้ว่ามันอยากอวดความแข็งแกร่งของตัวเอง เขาจึงหัวเราะเบาๆ ก่อนเดินเข้าไปที่ห้องต่อไป เมื่อผ่านเข้าไปแล้วเขาก็เจอคลื่นโครงกระดูกสีขาวเหลืองอีกครั้ง แต่มีบางตัวที่สีเหลืองเข้มขึ้นจนสีขาวไม่เหลืออยู่เลย และเขาเห็นว่าด้านในสุดตรงทางเข้าอีกฝั่งมีโครงกระดูกสีเทาอีก 2 ตัว
ไม่รอช้าเขาบุกเข้าไปพร้อมหวดพลองผ่านฟ้าในมืออย่างรุนแรง จนเกิดเงาสีดำพร่างพรมไปทั่วบริเวณ โครงกระดูกสีขาวเหลืองแตกกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว
เปิดทางให้โครงกระดูกสีเทาทั้งสองได้บุกเข้ามา จิวโมไป๋บิดพลองเล็กน้อยก่อนกระโดดหมุนวนอย่างรวดเร็วราวพายุและเขาก็แทงพลองยาวออกมาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เงาพลองไหววูบแยกเป็นสอง บดขยี้หัวกระโหลกสีเทาเป็นเสี่ยงๆ โดยที่พวกมันไม่ได้สามารถตอบโต้ได้เลย
จิวโมไป๋พยักหน้าพอใจ เขาไม่คิดอะไรมากตั้งชื่อกระบวนท่านี้ว่า ทะลวงฟ้า เป็น 1 ใน 18 กระบวนท่าพลองผ่านฟ้า เขาตั้งชื่อกระบวนท่าอย่างง่ายๆ ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ที่ชื่อกระบวนท่าของเขาจะดูสิ้นคิดแบบนี้ เพราะขนาดชื่อโอสถ เขายังตั้งง่ายๆตามสรรพคุณของมันเลย
กระบวนท่าเมื่อครู่ใช้แรงหมุนเพื่อสร้างแรงส่งก่อนที่จะแทงออกด้วยความรวดเร็ว เหมาะสมกับชื่อทะลวงฟ้า ที่สุดแล้ว
เมื่อเท้าเหยียบพื้นจิวโมไป๋ก็พุ่งเข้าหากลุ่มโครงกระดูกที่เหลือและเหวี่ยงพลองทำลายอย่างรวดเร็ว ไม่นานห้องนี้ก็ถูกจัดการจนเรียบร้อย
จิวโมไป๋ก็เข้าไปจัดการห้องอื่นๆ ยิ่งเข้าไปลึึกเท่าไหร่ ภาพแกะสลักจิตรกรรมฝาผนังจะดูสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของภูตผีปีศาจและมนุษย์ดูมีรายละเอียดมากขึ้น และยิ่งเดินลึกเข้าไปภายในห้องจะมีโครงกระดูกสีเทาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และยิ่งลึกเข้าไปเขาก็สังเกตุเห็นว่าสีบนตัวโครงกระดูกทั้งสองสีจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ โครงกระดูกสีขาวเหลือง จะเหลืองขึ้นและเริ่มมีบางส่วนเป็นสีเทา โครงกระดูกสีเทาจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนมีสีดำ
และความแข็งแกร่งของพวกมันก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้จิวโมไป๋ต้องต่อสู้อย่างยากลำบากมากขึ้นเมื่อถูกโครงกระดูกพวกนี้เข้ามาพร้อมกันหลายตัว จนบางครั้งเขาพลาดท่า เสี่ยวไป๋ก็ลงมือช่วยเหลือ มันสามารถทำลายโครงกระดูกอย่างง่ายดาย จนเขาต้องประเมินความแข็งแกร่งของมันใหม่
ผ่านไปอีก 4 วัน
เปรี้ยงงง!!!
เสียงปะทะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจิวโมไป๋ใช้กระบวนท่าเท้า ย่างก้าวประกายภูต หายวับไปอย่างรวดเร็วก่อนไปปรากฏตัวที่ด้านหลังโครงกระดูกสีดำเข้มและฟาดพลองอย่างแรงจนโครงกระดูกส่วนนั้นเกิดรอยร้าว
ย่างก้าวประกายภูต เป็นกระบวนท่าเท้าในการต่อสู้ระยะประชิดที่เขาถนัดที่สุดในอดีต แต่เมื่อนำกลับมาใช้ในตอนนี้ร่างกายและสัญชาตญาณของเขายังไม่คุ้นชินกับกระบวนท่า ทำให้เขาใช้มันอย่างติดขัดไม่สมบูรณ์ จนเกิดช่องว่างเล็กน้อยในการใช้กระบวนท่า แต่เมื่อต่อสู้กับพวกโครงกระดูกไร้ชีวิต ช่องว่างที่เกิดขึ้นมันไม่มีความหมายมากนัก
จิวโมไป๋ไม่นิ่งนอนใจ เขาพยายามจะจดจำความรู้สึกในการต่อสู้กลับมาให้เร็วที่สุด เหตุผลที่เขามาที่นี่ นอกจากของสำคัญที่เขาต้องการแล้ว การต่อสู้กับโครงกระดูกจำนวนมหาศาลราวกับไม่มีวันหมด เป็นเป้าหมายสำคัญที่จะช่วยขัดเกาสัญชาตญาณของเขาให้กลับมาได้เร็วที่สุด
ทำให้เมื่อมาถึงห้องชั้นลึกๆ และเจอโครงกระดูกสีดำที่สามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้ โดยไม่ถูกทำลายง่ายๆ เขาก็ยิ่งคึกออกแรงต่อสู้ด้วยพลังกายและใจทั้งหมด
เสี่ยวไป๋ในตอนนี้มัน กระโดดออกไปยืนบนเศษซากโครงกระดูก มันคอยมองจิวโมไป๋อยู่ห่างๆ มันเหมือนรู้ความต้องการของเขา ทำให้มันยอมทนยืนบนพื้นสกปรก
แก่กๆๆ กรามบนหัวกระโหลกสีดำขยับไปมาในการต่อสู้ ทำให้เกิดเสียงฟันกระทบกันไม่หยุด เหมือนว่ามัันกำลังจะพูดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
จิวโมไป๋ไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกมันพูดจริงๆหรือไม่ เขาทำลายมันลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็จัดการทำลายโครงกระดูกทั้งหมด มันทำให้เขาหอบหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพัก เสี่ยวไป๋ได้ทีกระโดดมานั่งบนตักของเขาก่อนให้อุ้มเท้าเช็ดไปมาบนกางเกงของเขา
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็มีแรงขึ้นมาอีกครั้ง จิวโมไป๋ก็ผุดลุงขึ้นเดินผ่านทางเดินสลับซับซ้อน โดยมีเสี่ยวไป๋เกาะอยู่บนบ่า เขาอยู่ที่นี่มากหลายวันเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ้ง เพราะเขาผ่านห้องมาแล้วเกือบพันห้อง ซึ่งถ้านับพื้นที่ทั้งหมด ก็ประมาณ พื้นที่ของทะเลสาบรอบเกาะโดดเดี่ยวทั้งหมด นี่ยังไม่รวมทางแยกต่างๆที่เขาไม่ได้เดินเข้าไปอีก ถ้านับรวมแล้วล่ะก็ เขาไม่อยากคิดเลยว่าพื้นที่ทั้งหมดถูกสร้างมาได้ยังไง
ในช่วงแรกที่เขาเริ่มสำรวจ เขายังพอจับทางได้เพราะเขาเดินไปทางที่ีมี่โครงกระดูกหนาแน่น แต่เมื่อลงมาลึกขึ้นโครงกระดูกมันก็มีอยู่เต็มทุกห้อง ทำให้เขาเกือบหาทางไปไม่ถูก โชคยังดีที่เมื่อเขาเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ พลังงานแปลกๆที่คอยดูดพลังชีวิต จะยิ่งหนาแน่นขึ้นทำให้เขาสามารถใช้จิตสัมผัสมองเห็นและเดินไปตามทางที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเขาต้องงมหาทางอีกนาน
“หืม”จิวโมไป๋เลิกคิว เพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่น่าคลื่นไส้
เสี่ยวไป๋ก็สัมผัสได้เช่นกัน ขนบนตัวของมันลุกชั้นอย่างไม่อาจห้ามปราม จิวโมไป๋ทำลายโครงกระดูกที่เดินมาตามทาง ก่อนที่จะเดินไปต่ออย่างช้าๆ ความเร็วของเขาลดลงอย่างมาก ในตอนนี้เขาสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเป้าหมายของเขาอยู่ข้างหน้าแล้ว
จิวโมไป๋หักเลี้ยวตรงทางเดิน เขาก็มองเห็นแสงสีเขียวเข้มน่าสะพรึงกลัว ส่องผ่านมาจากปากทางเข้าที่ห่างไกล แค่เพียงเศษเสี่ยวของแสงที่กระทบถูกร่างกาย เลือดในร่างกายของจิวโมไป๋ก็เหมือนถูกเผาไหม้ ในตอนนั้นเองเขาก็ตอบสนองอย่างไม่รอช้า แผ่นยันต์สิบใบถูกเรียกออกมาและถูกเผาไหม้ไปอย่างรวดเร็ว เศษขี้เถ้าตกกระทบร่างของเขาและเสี่ยวไป๋ ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เขาเดินมุ่งหน้าต่อไปข้างหน้า แต่ยิ่งเขาเดินเข้าไปเท่าไหร่ เหมือนจะดึงดูดโครงกระดูกให้ผ่านปากทางเข้าออกมา จิวโมไป๋ลงมือจัดการพวกมันอย่างยากลำบากเพราะบริมาณของพวกมันราวกับคลื่นที่ไม่มีวันหมดสิ้น เสี่ยวไป๋จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือ เข้าทำลายโครงกระดูกอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก
ระยะทางสั้นๆแค่ 100 เมตร เขาใช้เวลา กว่า 3 ชั่วโมง เหลือระยะทางถึงปากทางเข้าอีกกว่า 50 เมตร เขาจึงต้องกลับออกมาพัก และบุกเข้าไปใหม่ในวันถัดไป แต่ตลอดทั้งวันเขาสามารถเพิ่มระยะทางแค่ 15 เมตรเท่านั้น
ผ่านไปอีก 3 วัน จิวโมไป๋ ก็สามารถผ่านกองทัพโครงกระดูกนับไม่ถ้วนได้สำเร็จ สิ่งแรกที่เขาเห็นคือห้องโถงกว้างใหญ่ ผนังด้านบนสูงหลายร้อยเมตร ในระยะทางด้านหน้าไกลลิบตาประมาณ 2 กิโลเมตร มีกองไฟสีเขียวขนาดเล็ก แต่กลับส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องโถงทั้งหมด กองไฟเล็กถูกตั้งไว้บนแท่นหินสีดําทะมึนไร้ประกาย ด้านหลังกองไฟมีบานประตูทำจากเหล็กไม่ทราบชนิด มันมีขนาดสูงใหญ่กว่า 200 เมตร ไม่น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ที่สร้างมันขึ้นมา
“เปลวไฟนิรันดร์จริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่า 1 ใน เปลวไฟที่ลี้ลับและหายากที่สุดในมิติทั้งมวลจะอยู่ที่นี่จริงๆ”จิวโมไป๋มองเปลวไฟสีเขียวอย่างตื่นเต้น มือที่กำพลองสั่นระริกอย่างไม่อาจห้ามใจ
แต่ก่อนที่จิวโมไป๋จะได้ทันคิดอะไร เสียง แค๊กกกๆๆๆ กล๊อบแกล๊อบๆๆดังขึ้นไม่หยุดจนเขาต้องหาทิศทางของเสียง เขามองไปที่หน้าผาด้านหน้าที่คันกลางระหว่างฝั่งของเขาและเปลวไฟนิรันดร์ ในระยะทาง 100 เมตรข้างหน้า เขาเห็นโครงกระดูกจำนวนมากปีนขึ้นมาจากหน้าผาเรื่อยๆเหมือนไม่มีวันหมด
จิวโมไป๋หันหลังปีนผนังด้านข้างไต่ขึ้นสูงเพื่อให้พ้นระยะสัมผัสของโครงกระดูก เพราะความสูงกว่าหลายร้อยเมตร ทำให้เขาสามารถหลบพ้นระยะตรวจจับของโครงกระดูก ก่อนจะหันกลับมาและมองลงไปใต้หน้าผา ใบหน้าของเขาพลันบิดเบี้ยวอย่างไม่อาจห้ามปราม
“สมแล้วที่ตรงนี้ถูกเรียกว่าหุบเหวเซ่นสังเวย มีกี่ชีวิตที่ต้องถูกสังเวยในสถานที่แห่งนี้”
—
ช่วงนี้ผมยุ่งมากจนไม่มีเวลาเขียนนิยายเลย หวังว่าพวกคุณจะไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้ไปก่อนนะครับ แหะๆ
ขอบคุณที่ติดตามอย่างอดทนมาตลอดนะครับ^^
คอมเม้นต์