ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 150
เมื่อจิวโมไป๋ไปที่ฝ่ายวิจัย เขาก็พบหนิงหานเป่ยกำลังศึกษาสิทธิบัตรโปรแกรมสร้างโลกเสมือน ที่บริษัทครอบครองอยู่ ขอบตาของเขาดำคล้ำ ตาขาวแดงก่ำ เหมือนไม่ได้นอนมาหลายวัน
“นายน้อย”หนิงหายเป่ยลุกขึ้นมาพูดกับจิวโมไป๋ ร่างของเขาเซเล็กน้อย แต่ก็ประคองตัวเอาไว้ได้
“พี่หนิง ยังไม่ได้นอนเลยเหรอ”จิวโมไป๋ถาม
หนิงหานเป่ยลูบหลังหัวเบาๆ”ฮ่าๆ ผมเห็นข้อมูลพวกนี้น่าสนใจ เลยเผลออ่านพวกมันไปกว่าเกือบหมดแล้ว”
“ดูแลร่างกายด้วย ผมต้องให้พี่หนิงช่วยเหลืออีกมาก”จิวโมไป๋ ให้หนิงหานเป่ยนั่งก่อนจะถามเรื่องสิทธิบัตรโปรแกรมสร้างโลกเสมือน
หนิงหายเป่ยใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนพูด”ในตอนนี้เทคโนโลยี่ที่บริษัทของเรามีอยู่ ด้อยกว่าบริษัทโลกเสมือนยักษใหญ่หลายเท่า ผมเคยทำงานบริษัทโลกเสมือนของตระกูลถังมาก่อน พวกเขาพัฒนาโปรมแกรนถึงระดับสูง ใกล้ถึงความสำเร็จแล้ว บริษัทของเรายากที่จะตามหลังบริษัทยักษย์ใหญ่เหล่านั้นได้
หลังจากที่ผมศึกษาสิทธิบัตรเกือบทั้งหมดของบริษัทแล้ว มีบางโปรแกรมที่ผมสามารถนำมาใช้ เป็นแนวทางเพื่อสร้างเทคโนโลยี่โลกเสมือนจริงใหม่ขึ้นมาได้”พูดจบหนิงหานเป่ยก็ส่งข้อมูลมาให้จิวโมไป๋ เพราะเขารู้ว่าจิวโมไป๋เรียนสาขาโลกเสมือนจริง จิวโมไป๋น่าจะมีความรู้ไม่มากก็น้อย
จิวโมไป๋อ่านรวดเดียวเขาก็ลอบพยักหน้าเบาๆ นี้เป็นแนวทางของเทคโนโลยี่โลกเสมือนที่หนิงหานเป่ยพัฒนาในอนาคต แต่ตอนนี้โปรแกรมนี้ยังไม่ได้พัฒนามากนัก มีข้อผิดพลาดมากมาย
จิวโมไป๋หันไปมองหนิงหายเป่ยเล็กน้อย และเสนอความคิดของตัวเองบางส่วนให้หนิงหานเป๋ยฟัง แม้ในอดีตเขาจะออกจากมหาวิทยาลัยก่อนกำหนด แต่ความรู้จากอนาคตที่เทคโนโลยี่โลกเสมือนก้าวหน้าไปไกล ทำให้เขาพอจะแนะนำแนวทางให้หนิงหานเป๋ยไปพัฒนาได้
แววตาของหนิงหายเป่ยเป็นประกายเขาไม่คิดเลยว่านายน้อยจะมีความรู้เกี่ยวกับโลกเสมือนจริงมากขนาดนี้ เขารีบเปิดโปรแกรมบันทึก เพื่อบันทึกที่จิวโมไป๋พูด เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
หนิงหานเป่ยก็มองจิวโมไป๋ด้วยแววตาเคารพ
จิวโมไป๋ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขาพูดเรื่องเทคโนโลยี่สั่งการคลื่นสมอง ที่พึ่งพัฒนาขึ้น ให้หนิงหานเป่ยฟังและแนะนำแนวทางในการพัฒนา
เทคโนโลยี่สั่งการคลื่นสมองเป็นเทคโนโลยี่เปลี่ยนโลก เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โลกเสมือนจริงพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เขามีความคิดต่างๆอยู่แล้ว เหลือเพียงแค่ให้หนิงหายเป่ยเอาไปพัฒนาต่อยอด และรีบจดลิขสิทธิ์เทคโนโลยี่ ก่อนบริษัทยักษ์ใหญ่
จิวโมไป๋พูดคุยกับหนิงหานเป่ยจนถึงเย็น เขาก็กล่าวลาหนิงหานเป่ย ไม่ลืมที่จะบอกให้อีกฝ่ายพักผ่อน
ออกจากบริษัทกาแลคซี่ เขากลับไปที่ร้านอาหารตระกูลจิว บอกลาพ่อแม่และเด็กสาวทั้งสอง จากนั้นเขาก็กลับมหาวิทยาลัย
บรรยากาศของมหาวิทยาลัยเทียนซูในเวลานี้ดูแปลกไป กลุ่มนักศึกษาต่างๆไม่ได้จับกลุมกัน ในพื้นที่ต่างๆว่างเปล่า ราวกับไม่เคยมีกลุ่มไหนเคยอยู่มาก่อน จิวโมไป๋แปลกใจเล็กน้อย เพราะตอนนี้เป็นช่วงหัวค่ำ ไม่ได้ดึกมากนัก กลุ่มต่างๆไม่น่าหายไปทั้งหมดแบบนี้
หรือมีการตรวจสอบกลุ่มนักศึกษา?
จิวโมไป๋เก็บความสงสัยเดินไปที่หอพัก เมื่อเข้าไปในห้อง หวังเสี่ยวเปา เฉินหู และอูเหวิน กำลังพูดคุยกันอยู้ด้วยท่าทางเต็มเปรียมไปด้วยพลัง แต่เฉินหูดูจะใจลอยเป็นบางครั้ง
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ในตอนที่ผมไม่อยู่หรือเปล่า?”จิวโมไป๋ถามด้วยความสงสัย
“เสียดายเมื่อวานน้องเล็กไม่อยู่…”อูเหวินพูดถึงเรื่องที่พวกเขาร่วมมือกับกลุ่มหัวใจเหล็กกล้าต่อสู้กับกลุ่มเลือดมังกร และสามารถเอาชนะมาได้
ตอนนี้กลุ่มหัวใจเหล็กกล้ามีชื่อเสียงเป็นอันดับที่ 5 ของกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาวิทยาลัยเทียนซู ตอนนี้กลุ่มเล็กๆที่ไม่แข็งแกร่งที่กระจัดกระจาย ก็แตกกลุ่ม พวกเขาสมัครเข้ากลุ่มหัวใจเหล็กกล้ากันเกือบหมด
ทั้งสามพี่น้องยังไม่เข้ากลุ่มหัวใจเหล็กกล้า เพราะรอที่จะปรึกษาจิวโมไป๋
“ฉันจะไม่เข้าร่วมกลุ่มในตอนนี้”จิวโมไป๋ไม่เข้ากลุ่มหัวใจเหล็กกล้า เพราะเขาจะเข้าร่วมองกรค์ลับ แม้จะไม่มีข้อห้าม แต่มันจะเป็นการเสียเวลาเกินไป
จิวโมไป๋มองพี่น้องทั้งสาม
“พวกพี่จะเข้าก็เข้าไปเถอะไม่ต้องสนใจฉันหรอก ในอนาคตฉันอาจขอความช่วยเหลือจากพวกพี่ก็ได้”เขาอยากให้ทั้งสามเข้าร่วมกลุ่มหัวใจเหล็กกล้า เพราะการร่วมตัวกันจะช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากปัญหาไปได้ง่ายขึ้น
คุยกันไปซักพัก พวกเขาก็ออกไปร้านอาหารและดื่มเบียร์กันเล็กน้อยเพราะพรุ่งนี้ต้องบ่มเพาะพลัง แต่เมื่อพวกเขาเริ่มเมา พวกเขาก็พากันกลับห้อง เฉินหูนั่งเงียบเกือบตลอดก็เอ่ยปากพูดเสียงเบา แต่ทุกคนได้ยิน
“ฉันทำเย่จื่อปิงท้อง”
“อะไรนะ!”
“น้องรอง นายพูดความจริงเหรอ?”
อูเหวินและหวังเสี่ยวเปาพูดออกมาด้วยความตกใจ
จิวโมไป๋ก็ตกใจเช่นกัน เพราะเรื่องนี้ในอดีตไม่เคยเกิดขึ้น เขาจำชื่อเย่จื่อปิงได้ เพราะในอนาคตเธอจะได้เข้าร่วมกองทัพ แม้จะไม่ได้เข้าหน่วยลับแต่ชื่อเสียงของเธอก็โด่งดัง จนเขาที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารก็ได้ยิน แต่โชคร้ายที่ดูเหมือนเธอจะเสียชีวิตจากการต่อสู้กับคนของทวีปตะวันตก
เฉินหูเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูด เมื่อ 1 เดือนก่อน เขากำลังกลับจากการไปหาญาติ ในระหว่างที่กำลังเข้าห้องน้ำสาธารณะ เย่จื่อปิง ที่โดนวางยาก็วิ่งมาหลบในห้องน้ำที่เขาอยู่พอดี หลังจากนั้นเขาก็ช่วยเย่จื่อปิงหนีจากคนที่วางยาเธอ แต่เพราะใช้เวลาหลบหนีนานเกินไป ยาก็ออกฤทธิ์ก่อนที่จะได้แก้ เขาและเย่จื่อปิงก็มีอะไรกัน
“ผ่านมา 1 เดือนแล้ว ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะท้อง”เฉินหู
“แล้วที่เย่จื่อปิงมาพบพี่รอง เธอจะให้พี่รองทำอะไร”จิวโมไป๋ถาม
“เธอบอกให้ฉันลืมเรื่องทั้งหมด ห้ามฉันพูดเรื่องนี้ออกไป สำหรับเด็กในท้อง เธอจะเก็บเด็กเอาไว้เอง”เฉินหูถอนหายใจท่าทางของเขายังคงงุนงงอยู่ไม่น้อย
“ถ้าเธอพูดแบบนั้น พี่รองอย่าพึ่งคิดมากเลย ในอนาคตพี่รองต้องเจอเย่จื่อปิงอีกแน้ เมื่อพี่รองพอเธออีกครั้ง พี่รองก็ถามเธอให้แน่ใจ”อูเหวินเป็นคนพูด
เฉินหูพยักหน้ารับอย่างแผ่วเบา
จิวโมไป๋และหวังเสี่ยวเปาไม่พูดอะไร จิวโมไป๋ไม่เคยมีความรักจริงๆมาก่อน เขาไม่สามารถให้คำปรึกษาใครได้ สำหรับหวังเสี่ยวเปาที่กำลังมีความสุขกับเหยาติงติง เขายิ่งไม่สามารถพูดได้ เพราะมันจะทำให้เฉินหูหดหู่มากขึ้นไปอีก อูเหวินจึงเป็นคนเดียวที่สามารถพูดได้
พวกเขาพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่พวกเขาจะนอน
เช้าวันต่อมา จิวโมไป๋พาสามพี่น้องไปห้องฝึกเห็นท่าทางคึกคักของทั้งสาม เฉินหูเหมือนฟื้นสติขึ้นมาได้เล็กน้อย จิวโมไป๋แปลกใจแต่ก็ไม่คิดอะไร เขาพาทั้งสามไปห้องบ่มเพาะพลังระดับสูง
ทั้งสามเข้าสู่ขั้นที่ 2 กล้ามเนื้อปลายกันทุกคน จิวโมไป๋มอบโอสถเสริมกายาให้ทั้ง 3 คนละ 5 ขวด
พูดได้ว่าเขาให้ครึ่งหนึ่งของโอสถเสริมกายาที่เขามี แต่เขาก็ไม่เสียใจ เพราะโอสถที่เขาให้พี่น้องของเขา จะสามารถเพิ่มขีดจำกัดให้กับพวกเขาอย่างมาก แม้จะไม่ได้ถึงขั้นไร้คู่ต่อสู้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่แพ้ ผู้บ่มเพาะอัจฉริยะระดับทั่วไป
จิวโมไป๋สอนวิชาต่อสู้มือเปล่า อาวุธและท่าเท้าให้กับทั้งสาม
และเขาบอกถึงระดับในการใช้เคล็ดวิชา ว่ามี 6 ระดับ ความสำเร็จขนาดเล็ก เชี่ยวชาญ เข้าใจ ตระหนักรู้ เจตจำนง ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
3 ระดับแรก เป็นระดับความเข้าใจในการใช้วิชา ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่อยู่ในระดับนี้
ความสำเร็จขนาดเล็กคือ สามารถใช้วิชาต่อสู้ได้โดยไม่ผิดพลาด
เชี่ยวชาญคือ ระดับใช้วิชาการต่อสู้ได้อย่างที่ใจคิด
เข้าใจคือ ระดับที่สามารถใช้วิชาการต่อสู้ได้ทุกท่วงท่า ราวกับว่าวิชาต่อสู้เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหว
3 ระดับหลัง เป็นระดับเหนือการรับรู้ที่ยากแก่การเข้าใจ ต้องมีระดับการรับรู้ในวิชาการต่อสู้ที่สูงส่ง แม้แต่ยอดฝีมือ ก็สามารถเข้าใจแค่ครึ่งก้าวเข้าสู่ระดับตระหนักรู้ได้เท่านั้น
มีน้อยคนที่ยอมฝึกวิชาต่อสู้เพียงวิชาเดียวจนถึงระดับเหนือการรับรู้ เพราะต้องอาศัยหลายปัจจัยเพื่อบรรลุถึงระดับนี้
ในอดีตจิวโมไป๋ฝึกวิชากระบี่ล้างบาป ถึงระดับเจตจำนงต้นเท่านั้น ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
สำหรับเคล็ดบ่มเพาะพลัง ไม่มีระดับ เพราะเมื่อบ่มเพาะเคล็ดบ่มเพาะพลังในตำหนักยุทธ์ เคล็ดบ่มเพาะพลังจะอยู่ในขั้นสมบูรณ์ สามารถปรับปรุงและแก้ไขเคล็ดบ่มเพาะพลังได้โดยไม่เกิดผลกระทบ
เคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณ จะมีระดับขั้น เพราะเป็นการบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณ ไม่ใช่การบ่มเพาะในตำหนักยุทธ์
จิวโมไป๋ส่งต่อวิชาต่อสู้และท่าเท้าที่พี่น้องทั้งสามเคยใช้ ถ้ามีอะไรฝึกพลาดเขาจะรีบช่วยแก้ไขทันที เพราะวิชาต่อสู้และท่าเท้า แตกต่างจาก เคล็ดบ่มเพาะพลังที่มีตำหนักยุทธช่วยเหลือไม่ให้ผู้ฝึกบาดเจ็บ
การฝึกวิชาต่อสู้และท่าเท้า ถ้ามีอะไรผิดพลาด อาจบาดเจ็บและถ้าเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง สามารถพิการได้
เพราะความยากในการฝึกวิชาต่อสู้และท่าเท้า ทำให้ผู้บ่มเพาะพลังจำนวนน้อย ที่เลือกที่จะฝึกวิชาต่อสู้อย่างจริงจัง ส่วนมากจะฝึกแค่ให้ถึงระดับ ความสำเร็จระดับเล็กเท่านั้น
พวกเขาฝึกฝนติดต่อกัน 7 วัน หวังเสี่ยวเปา เฉินหู และอูเหวิน ก็เลื่อนขั้นการบ่มเพาะพลังเป็นขั้นที่ 3 เส้นเอ็นต้น
วันที่ 15 เดือน 10 ปีรุ่งอรุณที่ 8 เหลืออีก 30 ก่อนการประลองมหาวิทยาลัย
คอมเม้นต์