ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 197
จี้หยางเฟยแทงกระบี่หิมะบินออกไปเกิดเงากระบี่เย็นยะเยือกนับไม่ถ้วน แทงเข้าใส่ร่างของผู้บ่มเพาะพลังขั้น 7 ไขกระดูกต้นสำนักหัวใจทมิฬ
คมกระบี่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผู้บ่มเพาะพลังขั้น 7 ไขกระดูกต้น สัมผัสถึงพลังธาตุน้ำแข็งอันรุนแรงที่แฝงอยู่ในคมกระบี่ เขาใช้ท่าร่างถอยหลบอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันเพียงอึดใจเดียวคมกระบี่ก็เข้าประชิดตัว เขารีบใช้แขนขวาที่เหลือเพียงข้างเดียวชกออกอย่างรุนแรงปะทะคมกระบี่
เปรี้ยง! หมัดต้านเอาไว้ได้ แต่ไอเย็นยะเยือกเกาะตามหมัดลามไปถึงท่อนแขนจนรู้สึกชา การตอบสนองช้าลงไปครึ่งหนึ่ง
คมกระบี่ที่เหลือแทงเข้าใส่อย่างต่อเนื้อง ผู้บ่มเพาะพลังขั้น 7 ไขกระดูกต้นได้แต่ยกแขนที่ชาด้านเพื่อตั้งรับในตำแหน่งสำคัญ แต่เมื่อคมกระบี่กระทบร่าง มันก็แตกออกกลายเป็นน้ำแข็ง แช่แข็งร่างจนขยับไม่ได้
กลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งมนุษย์ยืนอยู่
คนที่สู้กันอยู่หยุดมือลง มองไปยังร่างของผู้บ่มเพาะพลังขั้น 7 ไขกระดูกต้นด้วยความตกใจ
จี้หยางเฟยหายไปจากที่เดิมในชั่วพริบตา ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวและฟันใส่ร่างของผู้บ่มเพาะพลังของสำนักหัวใจทมิฬทั้งหมด
คมกระบี่แช่แข็งกล้ามเนื้อจุดที่ถูกฟัน แม้จะไม่ใช้ตำแหน่งสำคัญ แต่พลังธาตุน้ำแข็ง แช่แข็งส่วนที่ฟัน ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ลดลงไปอย่างมาก คนของสำนักหัวใจทมิฬกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ คนตระกูลถังที่เคยมีฝีมือสูสีกัน
ทำให้พวกเขาถูกจัดการอย่างรวดเร็ว
จี้หยางเฟยเก็บกระบี่หิมะบินที่เอว หันหลังจากไปทันที
“พี่หยางเฟย รอก่อน!”ถังซื่อเหยาร้องห้าม พร้อมวิ่งมาหาจี้หยางเฟย
จี้หยางเฟยหยุดหันมามองถังซื่อเหยาด้วยแววตาเรียบเฉยเย็นชา จนถังซื่อเหยาต้องชะงักด้วยความตกใจ ก่อนที่จี้หยางเฟยจะพุ่งหายไป
ถังซื่อเหยากำมือแน่น ด้วยความเสียใจ
ถังเจิ้นเฟยมองไปยังจุดที่จี้หยางเฟยเคยอยู่ ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน เขาไม่ชอบจี้หยางเฟยที่มีสายเลือด ที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล แต่เขาต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งของจี้หยางเฟยนั้นแข็งแกร่งจริงๆ
ถ้าจี้หยางเฟยกลับมาที่ตระกูล ในยุคที่ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ชนะ จี้หยางเฟยจะทำให้ตระกูลถังโบราณกลับมายิ่งใหญ่ แต่มันหมายถึงอำนาจในตระกูลของเขาก็จะลดลงเช่นกัน
ถังเจิ้นเฟยได้แต่ถอนหายใจ
บนชั้นดาดฟ้า การต่อสู้เป็นไปอย่างรุนแรง
ผู้บ่มเพาะพลังขั้นที่ 8 ชีพจรต้น ฝั่งสำนักหัวใจทมิฬใช้มนุษย์สีดำเหมือนศพ ที่มีพลังสีดำน่าสยองขวัญ ต่อสู้กับค่ายกลที่สลับซับซ้อนยากคาดเดา แม้พลังของเขาจะเหนือกว่า แต่ฝังผู้อาวุโสไห่ ไม่ปะทะตรงๆ เขาใช้ค่ายกลยื้อผู้บ่มเพาะพลังขั้นที่ 8 ชีพจรต้นเอาไว้ ให้หมดแรง
ทางด้านถังเทียนเหวิน เขากำลังต่อสู้กับผู้บ่มเพาะพลังขั้นที่ 7 ไขกระดูกปลาย 2 คน โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ
“ถอยไป!”ถังเทียนเหวินร้องคำรามเสียงดัง เขาพยายามฝ่าคู่ต่อสู้ทั้งสอง เพื่อลงไปช่วยคนด้านล่าง
แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ แม้เขาจะแข็งแกร่งกว่ามาก แต่ฝ่ายตรงข้ามเลือกที่จะต่อสู้ยืดเยื้อทำให้เขาสลัดไม่หลุด
กลายเป็นว่าคนของแต่ละฝั่งพยายามจะลงไป แต่ถูกยื้อเอาไว้ การเป็นการต่อสู้ยืดเยื้อ
แต่อยู่ๆกำไลข้อมือของคนของสำนักหัวใจทมิฬก็ดังขึ้น เมื่อพวกเขามองดูใบหน้าก้เปลี่ยนไป ก่อนที่ผู้บ่มเพาะพลังขั้นที่ 8 ชีพจรต้นจะส่งสัญญาณให้กับคนอื่น
มนุษย์ศพของเขาก็ร้องคำรามเสียงโหยหวน คลืนเสียงกัดกินจิตใจของคนที่ได้ยินให้หยุดชะงักด้วยความหวาดกลัว
แม้จะไม่คอยมีผลกับผู้บ่มเพาะพลังที่ระดับใกล้กัน แต่มันก็สร้างจังหวะให้คนของสำนักหัวใจทมิฬได้หลบหนี พวกเขาวิ่งไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่วนกลับมารับ ก่อนจะหลบหนีไป
“วิชาคลื่นวิญญาณ!”ผู้อาวุโสไห่แค่นเสียงไม่พอใจ รอสสักบนหน้าผากของเขาหายไป
ถังเทียนเหวินรีบลงไปชั้นล่าง
ด้านนอกโรงแรม
“ไปกันเถอะ”จ้าวลู่เฟินพูดกับจี้หยางเฟยก่อนจะส่งเสื้อคลุมสีขาวให้
จี้หยางเฟยรับมาใส่ ก่อนที่ทั้งสองจะขึ้นเครื่องบินล่องหนหายไป
เช้าวันต่อมา อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นกว่าเมื่อวาน หิมะสีขาวปลกคลุมทั่วเกาะโดดเดี่ยว จิวโมไป๋ทำอาหารทานเอง และทำอาหารแบ่งให้เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยที่ยังไม่กลับมา ก่อนจะขับรถยนต์ไปรับสามพี่น้องมาที่เกาะโดดเดี่ยว
“สุดยอด พลังธรรมชาติหนาแน่นกว่าห้องบ่มเพาะพลัง ที่มหาวิยาลัยเทียนซูอีก”เฉินหูสูดลมหายใจด้วยความตื่นเต้น เขาวิ่งไปข้างในเกาะโดดเดี่ยว
อูเหวินเดินเข้าไปด้านใน สายตามองไปรอบๆด้วยความสนใจ
“น้องเล็ก สำนักของนายชื่ออะไร?”หวังเสี่ยวเปาถาม เขาได้ยินจากจิวโมไป๋มาก่อนหน้านั้น ว่าเขาจะสร้างสำนักที่นี่
จิวโมไป๋เงียบไปเพราะยังไม่ได้คิดชื่อสำนัก เขาลังเลว่าจะใช้ชื่อสำนักเดิมดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาไม่ใช้ชื่อสำนักเดิม เพราะในตอนนี้อะไรหลายๆอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่อยากจมปลักอยู่กับความแค้นและความรู้สึกผิดอีกต่อไป
ที่เขาตั้งชื่อสำนักเดิมว่า สำนักเปลี่ยนสวรรค์ เพราะเอามาจากวิชาเปลี่ยนสวรรค์ของเขา
วิชาเปลี่ยนสวรรค์ เกิดขึ้นในช่วงที่ชีวิตของเขาเลวร้ายถึงขีดสุด เขาอยากเปลี่ยนโชคชะตาที่บัดซบของตัวเอง
ในตอนที่เขาคิดค้นวิชา ที่สามารถทำให้เขาที่เป็นขยะไร้ค่า กลับมาบ่มเพาะพลังได้ และสามารถฝึกเคล็ดบ่มเพาะได้หลายเคล็ดวิขา เหมือนกับเขาได้รับการเกิดใหม่ หลังจากนั้นเขาสามารถแก้แค้นได้สำเร็จ เพราะเคล็ดวิชาเปลี่ยนสวรรค์ ทำให้เขาเปลี่ยนชะตาชีวิตของตัวเองจริงๆ
เมื่อเขาสร้างสำนักของตัวเอง เขาจึงตั้งชื่อสำนักว่า สำนักเปลี่ยนสวรรค์ เพราะเขาอยากจะช่วยเหลือผู้คน เขาอยากเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนอื่น เหมือนกับที่เคยทำกับตัวเอง ทำให้เขาใช้ชื่อสำนักเปลี่ยนสวรรค์
แต่ตอนนี้มันแตกต่างจากตอนนั้น
คิดอยู่ครู่หนึ่ง จิวโมไป๋ก็ตัดสินใจในที่สุด
“สำนักไร้พรมแดน“จิวโมไป๋บอก แววตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“สำนักไร้พรมแดน เป็นชื่อที่ดี”หวังเสี่ยวเปาพยักหน้า ความหมายลึกซึ้ง แต่ตีความสั่นๆคือ
อิสระเสรี
“นายจะเปิดสำนักเมื่อไหร่”อูเหวินหันกลับมาถาม เขาไม่สงสัยเลยว่าจิวโมไป๋จะสร้างสำนักได้หรือไม่ เพราะพวกเขาทั้งสาม คนจิวโมไป๋เป็นคนฝึก เขารู้ถึงความสามารถในการสอนของจิวโมไป๋เป็นอย่างดี
“ฉันยังไม่เปิดสำนักในตอนนี้”จิวโมไป๋ตอบ ต้องรอให้เขาเข้าหน่วยลับและจัดการอะไรบางอย่างก่อน ถึงตอนนั้นเขาจะเริ่มทำคามแผนที่วางไว้และสร้างสำนัก
“น้องเล็กฉันขอเข้าร่วมสำนักของนายได้ไหม ยังไงเคล็ดบ่มเพาะพลังและวิชาต่อสู้ที่ฉันใช่ก็มาจากนาย”เฉินหูเดินกลับมาแล้วพูดด้วยท่าทางจริงจัง
หวังเสี่ยวเปาและอูเหวินพยักหน้า
“ได้ ฉันยังขาดคนอยู่พอดี พวกนายเข้าสำนักมาเป็นอาจารย์สอนการต่อสู้ ก็แล้วกัน”จิวโมไป๋ยิ้ม
“ถ้าขาดคนจริงๆ ชวนเหยาติงหลงเข้าร่วมสำนักด้วยก็น่าจะดี”หวังเสี่ยวเปาพูดขึ้น
“ฮ่าๆ พี่ใหญ่ยังไม่ทันแต่ง ก็หาช่องทางช่วยญาติฝ่ายหญิงแล้วเหรอ”เฉินหูหัวเราะเสียงดัง
คนที่เหลือก็หัวเราะตาม
เมื่อสงบลงได้จิวโมไป๋ก็พูด
“รอหลังจากประลองภายในมหาวิทยาลัยก่อน ฉันจะลองชวนเขาดู”
“ได้ ฉันจะช่วยพูดให้เอง”หวังเสี่ยวเปาพยักหน้า
หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันขึ้นภูเขาสำนัก
พี่น้องทั้งสาม ดูเหมือนจะสนใจสิ่งต่างๆอย่างมาก
จิวโมไป๋เปลี่ยนที่พักเป็น ตำหนักเจ้าสำนัก สามพี่น้องยึดครองยอดเขาใกล้เคียง
เมื่อเก็บของเรียบร้อย จิวโมไป๋เรียกรวมทุกคน ก่อนจะส่งหินกำเนิดปราณ 10 ก้อน ให้กับทั้งสาม หินกำเนิดปราณ 10 ก้อนสามารถยกระดับการบ่มเพาะของทั้งสาม ให้ถึงขั้นที่ 4 ต้นได้ใน 7 วัน ถ้าทำตามแผนการฝึกที่เขาวางไว้
จิวโมไป๋อธิบายประโยชน์ของหินกำเนิดปราณ ทั้งสามคนก็ตื่นเต้นขึ้นมา
เมื่อสงบแล้ว จิวโมไป๋พาทั้งสามเดินไปที่ต้นโพธิ
เมื่อพวกเขาเห็นสัตว์ต่างๆ นั่งหลับตาทำสมาธิใต้ต้นโพธิ์ พวกเขาก็มองด้วยสีหน้าสงสัย จนไปเห็นโครงกระดูกสีเขียวพวกเขาก็ตกใจ
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีอันตราย”จิวโมไป๋กล่าว ก่อนจะแนะนำเฉินหูและอูเหวิน ให้บ่มเพาะพลังที่นี่
พวกเขาทั้งสองตระหนักกฏแห่งธาตุแล้ว บ่มเพาะพลังดูดซับพลังธาตุ ใต้ต้นโพธิ์จะเป็นผลดีอย่างมาก แม้จะไม่ทำให้พวกเขาตระหนักกฏแห่งธาตุไม้ได้ แต่อย่างน้อยมันจะแปรเปลี่ยนพลังธาตุไม้เป็นพลังธาตุแรกเริ่มของพวกเขาได้ ความเร็วในการดูดซับพลังธาตุจะมากกว่าการดูดซับปกติ 2-3 เท่า
จากนั้นจิวโมไป๋ก็พาหวังเสี่ยวเปาไปที่ภูเขา ที่เกิดจากการวางภูเขาสมบัติในจุดธาตุดิน
หวังเสี่ยวเปามีธาตุแรกเริ่มคือธาตุดิน การบ่มเพาะพลังที่นี่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตระหนักกฏแห่งธาตุดินได้มากขึ้น
หวังเสี่ยวเปา ฟังจิวโมไป๋พูดจบ เขาก็ปีนขึ้นภูเขาไป เมื่อขึ้นไปเขาก็พบเสี่ยวฮวงกำลังบ่มเพาะพลังอยู่ เขาก็แปลกใจเล็กน้อย เพราะเขาจำเสี่ยวหวงได้ว่าเป็นวัวตัวเดียวกับที่โคลอสเซียม เขามองเสี่ยวหวงเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปอีกด้านและเริ่มบ่มเพาะพลัง
จิวโมไป๋ไปที่ทะเลสาบตะวันออก เสี่ยวเฮยกำลังลอยไปมาอย่างสนุกสนาม ในปากของมันมีสมุนไพรน้ำ ที่จิวโมไป๋ปลูกไว้ เห็นดังนั้นจิวโมไป๋ก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเล่นกับมันจนถึงเที่ยง
เขาก็กลับไปที่ภูเขาสำนักและทำอาหาร ไม่นานสามพี่น้อง เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวเหมยกลับมาทานอาหาร
จิวโมไป๋สังเกตร่างกายของหวังเสี่ยวเปาที่ดูต่างออกไปเล็กน้อย เขาก็ลอบพยักหน้า ด้วยความตกใจ หวังเสี่ยวเปาบ่มเพาะพลังในจุดธาตุดินครั้งแรก ก็เริ่มปรากฏร่องรอยกฏแห่งธาตุดินบนร่างแล้ว
ในอดีตหวังเสี่ยวเปามีพรสวรรค์ในกฏแห่งธาตุเป็นอันดับ 2 ของพี่น้องทั้งสาม
แม้จะยังไม่สามารถตระหนักกฏแห่งธาตุดินได้ แต่คงใช้เวลาอีกไม่นานนักที่หวังเสี่ยวเปาจะตระหนักกฏแห่งธาตุดินได้
หลังจากทานอาหารเสร็จ จิวโมไป๋ก็เข้าไปในห้อง หยิบกล่องใส่อาวุธของทั้งสามพี่น้องออกมามอบคืนเจ้าของ และพาพวกเขาลงไปยังเขาวงกตโครงกระดูก
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยที่ได้ยิน พวกมันก็ตามไปด้วย
เมื่อลงไปพวกเขาก็พบเศษซากโครงกระดูกจำนวนมาก
ใบหน้าของทั้งสามเปลี่ยนไปด้วยความตกใจ พวกเขาไม่เคยเห็นกองโครงกระดูกจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน
จิวโมไป๋อธิบายว่าด้านในมีมากกว่านี้อีก นี่เป็นแค่ห้องเพียงห้องเดียวเท่านั้น จิวโมไป๋ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ เขาก็พบโครงกระดูกสีขาวและโครงกระดูกสีเทาที่ยังหลงเหลืออยู่จำนวนมาก แม้จะถูกกำจัดไปมากแล้วก็ตาม
จิวโมไป๋พบว่าโครงกระดูกสีขาวในตอนนี้ ระดับความแข็งแกร่งของมันอยู่ที่ ขั้นที่ 3 เส้นเอ็นต้น ถึง กลาง โครงกระดูกเทาอยู่ขั้นที่ 3 เส้นเอ็นปลาย ถึงขั้นที่ 4 อวัยวะภายในกลาง
ส่วนโครงกระดูกดำอยู่ขั้นที่ 4 อวัยวะภายในปลาย ถึงขั้นที่ 5 กระดูกต้น แต่พวกมันอยู่ลึกไปในเขาวงกต และมีจำนวนน้อย ไม่มีปัญหากับการฝึกซ้อมการต่อสู้
“นอกจากเวลาบ่มเพาะพลัง 6 ชั่วโมงต่อวัน และเวลาทานอาหาร ทุกคนต้องนำ นิ้วโป้งขวาของโครงกระดูกขาว 200 ชิ้น และ นิ้วโป้งขวาโครงกระดูกเทา 10 ชิ้นกลับมา และในวันถัดไป จำนวนโครงกระดูกที่ต้องนำกลับมาจะเพิ่ม 20% ทุกๆวัน และในวันสุดท้าย จะต้องนำนิ้วโป้งขวาโครงกระดูกสีดำ กลับมา 1 ชิ้น ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องพัก!”
—
คอมเม้นต์