ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 229
1 วันหลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารนักศึกษาโดดเด่นของมหาวิทยาลัยเทียนซู ทั่วประเทศมังกรเกิดความโกลาหนอีกครั้ง ทุกๆมหาวิทยาลัยต่างเข้าสู่สภาวะฉุกเฉิน เฝ้าคุ้มครองความปลอดภัยให้กับนักศึกษาของตัวเอง
ข่าวการลอบสังหารเป็นที่พูดคุยของทุกคน เพราะนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่นักฆ่าของทวีปตะวันตกลงมือสังหารคนของประเทศมังกรอย่างโจ่งแจ้ง แทบจะไม่ปกปิดตัวตน เป็นการกระทำที่เหยียดหยามการรักษาความปลอดภัยของประเทศถึงขีดสุด
สร้างความโกรธแค้นให้กับประชาชนอย่างมาก ทุกๆวินาทีจะมีข้อความส่งไปยังหน่วยงานของรัฐบาล ให้พัฒนาการรักษาความปลอดภัยของประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ระบบ Nuwa ก็ถูกประชาชนร้องเรียนเช่นกัน ว่าไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะตรวจสอบความปลอดภัยของประเทศ
ใน 1 วัน รัฐบาลต้องออกคำสั่งปรับปรุงพัฒนาระบบต่างๆของประเทศ เพื่อทำตามร้องรับคำเรียกร้องของประชาชน
โดยเฉพาะเมืองเทียนซู ที่เป็นสถานที่เกิดเหตุการลอบสังหารถึง 2 ครั้ง รัฐบาลทุกภาคส่วนต่างส่งบุคลากรระดับสูงมาตรวจสอบ
ทำให้ในตอนนี้แทบจะทุกพื้นที่ของเมืองเทียนซู มีเจ้าหน้าที่ราชการ ตำรวจ ทหาร เดินไปมาขวักไขว่
ชาวเมืองเทียนซูถูกบังคับให้อยู่แต่ที่พัก เพื่อรอการตรวจสอบ
ห้องประชุมลับของหน่วยลับเมืองเทียนซู
ตรงที่นั่งหัวโต๊ะประชุมหลงเทียนหลานที่ใบหน้าอิดโรยเล็กน้อยกล่าวขึ้น
“สืบได้อะไรมาบ้าง”
ชายในชุดคลุมเขียวอ่อนที่นั่งไกลออกไปลุกขึ้นรายงาน
“ผลสืบสวนจากหน่วยเก็บข้อมูลและข้อมูลจาก Nuwa มีผู้เข้าข่ายที่จะเป็นผู้ว่าจ้างนักฆ่าขององค์กรโลหิตนิรันดร์มีทั้งหมด 67 ราย แต่ถ้าเอาเฉพาะผู้ที่เข้าข่ายมากที่สุดมี 1 ราย”ชายชุดคลุมเขียวอ่อนเงียบเล้กน้อย และกวาดสายตามองผู้คนโดยรอบ ก่อนที่หางตาจะเหลือบไปยังชายวัยกลางคนในชุดม่วงที่นั่งฝั่งตรงข้ามห่างออกไป 3 ที่นั่ง แล้วกล่าวต่อ
“ผู้ที่เข้าข่ายอันดับ 1 คือ ตระกูลเซียว ก่อนที่นักฆ่าจะเข้ามาถึงสถานที่ลอบสังหาร 23.15 นาที มีคนของตระกูลเซียว ติดต่อไปยังประเทศหมีสีน้ำตาล ซึ้งเป็นประเทศที่เราไม่สามารถขอให้พวกเขาส่งข้อมูลของผู้ติดต่ออีกฝั่งได้”
ปัง!”ไร้เหตุผลสิ้นดี”ชายวัยกลางคนชุดคลุมม่วงตบโต๊ะเบื้องหน้าอย่างรุนแรง พลังกดดันอันมหาศาลโหมกระหน่ำออกมาราวพายุ
“ตระกูลเซียวของพวกเราไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ นี้เป็นการใส่ร้ายพวกเราอย่างไร้เหตุผล!”
“หยุด!”หลงเทียนหลานกล่าวเสียงแผ่วเบา แต่พลังกดดันที่ส่งออกมา ทำให้ชายชุดม่วงต้องรีบเก็บพลังกดดันของตัวเอง แต่สายตาดุร้ายยังไม่ละไปจากชายชุดคลุ่มสีเขียวอ่อน
ผู้เข้าร่วมการประลองชุมนิ่งเงียบไม่ขยับตัว พวกไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทที่จะเกิดขึ้น
“พูดต่อ”หลงเทียนหลานหันไปพูดกับชายชุดคลุมสีเขียวอ่อน
ชายชุดคลุมสีเขียวอ่อนสูดลมหายใจลึกๆก่อนจะกล่าว
“ขออภัยหัวหน้าหน่วยเซียวหนานเจียง ผมรายงานตามข้อมูลที่ได้รับมาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะใส่ร้ายใดๆทั้งสิ้น”ชายชุดคุลมเขียวอ่อนหันไปพูดกับเซียวหนานเจียงด้วยความสุภาพ
แต่อีกฝ่ายไม่รับฟัง เขาแค่นเสียงเย็นชาและหลับตาลงไม่ตอบรับใดๆทั้งสิ้น
ชายชุดคลุมเขียวอ่อนเห็นดังนั้นก็ไม่สนใจเช่นกัน เขารายงานผลการสืบสวนต่อ”แม้จะไม่สามารถตรวจสอบผู้ที่คนของตระกูลเซียวติดต่อไปได้ เราก็ได้ทำการตรวจสอบข้อความที่ส่งไปและตรวจสอบข้อความและการติดต่อย้อนหลังไป 1 ปี ข้อความที่ส่งไปเหมือนเป็นการติดต่อหาญาติที่ทำงานที่ประเทศหมีสีน้ำตาลธรรมดา ไม่พบอะไรผิดปกติอะไร”
ได้ฟังถึงตรงนี้คนที่นั่งอยู่ในที่ประชุมก็ลอบมองคนพูดด้วยหางตา เซียวหนานเจียงลืมตาขึ้น
ชายชุดคลุมสีเขียวอ่อนไม่เกรงกลัวการคุกคาม เขายังพูดต่อไป
“แต่เราได้เปรียบเทียบเวลาในการส่งข้อความในครั้งนี้ กับการติดจ่อครั้งก่อนๆ เราก็พบว่าการส่งข้อความครั้งนี้ มันไม่เหมือนการติดต่อก่อนหน้า
แม้ว่าเราจะยังจะไม่สามารถสรุปได้ว่าตระกูลเซียวเกี่ยวข้องกับการจ้างนักฆ่าจริงๆ แต่มันก็สามารถทำให้เราสามารถระบุการสืบสวนได้ชัดเจนขึ้น ข้อความที่ส่งไปมันอาจเป็นจดหมายลับก็เป็นได้ ตอนนี้พวกเรากำลังให้ผู้เชียวชาญตรวจสอบอยู่”
“เหตุผลไร้น้ำหนักสิ้นดี”เซียวหนานเจียงยิ้มเย็นชา สายตาแข็งกร้าวขึ้น
หลงเทียนหลานเงียบเหมือนคุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะถามว่า
“ถ้าข้อมูลการคาดคะเนมีแค่นั้น มัยไม่น่าจะทำให้ตระกูลเซียว เป็นอันดับ 1 ของผู้ต้องสงสัย มีข้อมูลอะไรที่ยังไม่ได้รายงานใช่ไหม?”
ชายชุดคลุมเขียวอ่อนพยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อ
“พวกเราได้ทำการสืบสวน การกระทำของตระกูลเซียวในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้า เราได้รับว่าตระกูลเซียวกำลังเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับเหมืองแร่เหล็กดำ การเข้ามาของนักฆ่า ทำให้ตระกูลเซียวได้ประโยชน์สูงสุด มันทำให้ความน่าสงสัยของตระกูลเซียวเพิ่มขึ้น”
นัยน์ตาของเซียวหนานเจียงลุกไหม้ด้วยความโกรธ แต่เขาก็ต้องสะกดข่มมันเอาไว้
หลงเทียนหลานเงียบไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ก่อนจะถามอีก
“แล้วมีหลักฐานอะไรอีกไหม”
ชายชุดคลุมเขียวเงียบไปเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้าและกล่าวว่า
“ข้อมูลอื่นๆ เป็นเพียงแค่ความขัดแย่งเล็กๆของผู้สืบทอดตระกูลเซียวเท่านั้น มันไม่น่าจะเป็นชนวนให้ตระกูลเซียวต้องลงมือทำอะไรแบบนี้”
หลงเทียนหลานพยักหน้า ก่อนจะกล่าว
“ดีมาก รีบไปตรวจสอบผู้เข้าข่ายผู้ต้องสงสัยคนอื่นๆ โดยเฉพาะตระกูลเซียวตรวจสอบอย่างละเอียด ตอนนี้ประชาชนกำลังไม่ไว้วางใจความสามารถของรัฐบาล เราต้องรีบปิดคดีให้เร็วที่สุด”
“ครับ”คนในห้องประชุมร้องรับคำ
เมืองเทียนซู บ้านตระกูลจิว
จิวโมไป๋เดินลงมาชั้นล่าง พ่อ แม่ และจิวเสวี่ยเหม่ยลงมาก่อนแล้ว
แม่ฮันหวูเหยากำลังเตรียมอาหารเช้า พ่อจิวโมเทียนนั่งจิบกาแฟอ่านข่าวอยู่โต๊ะทานอานหาร
จิวเสวี่ยเหม่ยนั่งหน้ามุ่ยดูทีวีโฮโลแกรมอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น เห็นจิวโมไป๋เดินลงมาเธอก็ไม่ลุกขึ้นมาเกาะเหมือนทุกที เธอกำลังเศร้าที่เตี๋ยเสวี่ยเจียวกลับไป จิวโมไป๋เดินมานั่งข้างๆยกมือลูบหัวเด็กสาวปลอบใจ
จิวเสวี่ยเหม่ยเม้มปาก ก่อนจะเอนตัวให้จิวโมไป๋กอด
แม่ฮันวูเหยาเดินผ่านห้องนั่งเล่น เธอก็ยิ้มอ่อนโยน
จิวโมไป๋เห็นแม่ฮันหวูเหยาถือจานชามใส่อาหารเดินผ่านไป เขาก็ดึงเด็กสาวให้ลุกไปช่วยถือ
เด็กสาวลุกไปช่วยตามแรงดึงของพี่ชาย
หลังจากที่พวกเขาทานอาหารเช้าด้วยกัน จิวโมไป๋มองไปที่พ่อและแม่ ก่อนจะกล่าวขึ้น
“พ่อ แม่ อยากที่จะบ่มเพาะพลังอย่างจริงจังเหรือเปล่า”
จิวโมเทียนหันมามองสบตาฮันหวูเหยาเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองลูกชายของตัวเองด้วยความสงสัย
“ทำไมลูกถึงความแบบนั้นละ”
“ก็ช่วงไม่กี่เดือนมานี้มีข่าวร้ายบ่อยๆ ผมกลัวว่าในอนาคตจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมอยากให้พ่อและแม่บ่มเพาะพลัง เพื่อป้องกันตัว”จิวโมไป๋พูดความตั้งใจออกไป
พ่อและแม่นิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนที่จิวโมเทียนจะพูด
“พวกเราก็อยากจะบ่มเพาะพลัง แต่ในช่วงเวลาที่พลังธรรมชาติฟื้นกลับมา พ่อและแม่ของลูก เลยช่วยอายุที่เหมาะกับการบ่มเพาะพลังไปแล้ว”จิวโมเทียนกล่าวด้วยความเสียใจ การที่ไม่สามารถบ่มเพาะพลังในช่วงเวลาแห่งการบ่มเพาะพลัง เป็นความเสียใจอย่างหนึ่งของเขา
ฮันหวูเหยาพยักหน้า
จิวโมไป๋ยิ้ม ก่อนจะหยิบหลอดโอสถออกมา
“ไม่มีอะไรสายเกินไป นี้คือโอสถกลั่นตำหนักยุทธ จะช่วยให้ผู้ที่เริ่มบ่มเพาะพลัง สามารถบ่มเพาะพลังได้เร็ว และมั่นคงมากขึ้น แม้ว่าอายุของพ่อและแม่จะเกิดช่วยเวลาที่เหมาะสมไปแล้ว ก็ไม่มีปัญหา”
พ่อและแม่ประหลาดใจมองหลอดแก้วในมือของลูกชายตัวเอง พวกเขาไม่เคยได้ยินโอสถแบบนั้นมาก่อน
จิวโมไป๋เห็นความสงสัยของพ่อและแม่ เขากล่าวต่อด้วยความมั่นใจ
“พ่อ แม่ ไม่สงสัยเหรอ ว่าทำไมผมถึงสามารถบ่มเพาะพลังได้เร็ว ก็เพราะโอสถในมือผมนี้แหละทำให้ผมสามารถบ่มเพาะพลังได้เร็ว”
แม่ฮันหวูเหยาได้ยินก็หวนคิดไปถึงความแข็งแกร่งของลูกชายตัวเอง ที่ไม่เคยใส่ใจการบ่มเพาะพลัง แต่ในช่วง 3 เดือนหลังจากที่ฟื้นฟูตำหนักยุทธ์ ก็แข็งแกร่งอย่างก้าวกระโดด จนสามารถเข้ารอบสุดท้ายของการประลองภายในมหาวิทยาลัยได้
“ถ้ามันเป็นเหมือนที่ลูกพูดพ่อและแม่ก็ตกลง”จิวโมเทียนกล่าวขึ้น เขาเชื่อมั่นในลูกชายของตัวเอง
จิวโมไป๋ยิ้มดีใจ
จิวเสวี่ยเหม่ยที่ถูกละเลยกระโดดเข้ามาเกาะและพูดอย่างไม่พอใจ
“ขี้โกง ลืมหนูไปแล้วเหรอ”
จิวโมไป๋ยกมือขึ้นมาเคาะหัวเล็กๆเบาๆ
“เด็กน้อย ยังไม่ถึงวันเกิดของเธอเลย ต้องรอให้ถึงวันเกิดอายุ 15 ปีก่อนถึงจะเริ่มบ่มเพาะพลังได้”
จิวเสวี่ยเหม่ยย่นหน้าผาก ก่อนจะปัดมืออกด้วยความไม่พอใจ
“พี่ชายบ้า การฝึกตน ไม่ได้มีแค่การบ่มเพาะพลังซักหน่อย”
จิวโมไป๋ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกุมหน้าผากของตัวเอง
ใช้ เขาลืมไปเลย แม้จะยังไม่บ่มเพาะพลัง แต่ก็สามารถฝึก วิชาต่อสู้ได้
ศิษย์สำนักดังเดิม ก็ใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น
เมื่อคิดได้แล้ว เขาก็ไม่รอช้า พาพ่อแม่และจิวเสวี่ยเหม่ย ไปที่ห้องฝึกด้านหลังบ้าน
จิวโมไป๋หยิบโอสถทำลายตำหนักยุทธและโอสถกลั่นตำหนักยุทธออกมายื่นให่พ่อและแม่
ทั้งสองไม่คิดอะไร ดื่มโอสถทำลายตำหนักก่อน พวกเขาทำตามที่จิวโมไป๋บอก โดยไม่ถามอะไรเลย
ในระหว่างนั้นจิวโมไป๋ ก็ไปสอนวิชาต่อสู้ให้กับจิวเสวี่ยเหม่ย เขาไม่รู้ว่าเด็กสาวถนัดอะไร เพราะเธอเสียชีวิตก่อนที่จะได้บ่มเพาะพลัง
จิวโมไป๋ให้เด็กสาวทดสอบจับอาวุธไม้ในห้องซ้อม เพื่อดูว่าเธอเหมาะกับอาวุธอะไร จนมาถึงดาบ
จิวเสวี่ยเหม่ยฟันดาบอย่างช้าๆ ตามที่เขาแนะนำ ทุกจังหวะการฟันเกือบจะสมบูรณ์แบบ เด็กสาวที่จับดาบครั้งแรกสามารถฟันดาบได้ถึงระดับนี้ มันไม่ธรรมดา
จิวเสวี่ยเหม่ยเหมาะสมกับการฝึกวิชาดาบ
จิวโมไป๋ถ่ายทอดวิชาดาบพื้นฐานให้กับเด็กสาวทันที
จิวเสวี่ยเหม่ยฝึกฝนอย่างยินดี
ผ่านไป 2 ชั่วโมง พ่อแม่ก็ทำลายตำหนักยุทธ และสร้างตำหนักยุทธขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จ
เขาไม่รู้ว่าพ่อและแม่มีกฎแห่งธาตุแรกกำเนิดอะไร เขาจึงสอนเคล็ดบ่มเพาะพลังที่เขาสร้างขึ้นเพื่อผู้ที่ไม่รู้ธาตุแรกกำเนิดโดยเฉพาะ
เคล็ดบ่มเพาะพลังถามฟ้า เคล็ดบ่มเพาะพลังที่ไม่มีธาตุ ไม่มีลักษณะเฉพาะของเคล็ดบ่มเพาะพลัง ทำให้ในระยะแรกเคล็ดบ่มเพาะพลังถามฟ้าอ่อนแอกว่าเคล็ดบ่มเพาะพลังระดับต่ำ แต่ในอนาคตข้อดีของมันจะยิ่งปรากฏ
ความสามารถของเคล็ดบ่มเพาะพลังถามฟ้าคือการพัฒนาตามผู้ฝึก ให้เหมาะสมกับผู้ฝึกที่สุด ทำให้ไม่มีความขัดแย้งของเคล็ดบ่มเพาะพลังและผู้ฝึก
ปัญหาหลักของผู้บ่มเพาะพลังคือ การฝึกเคล็ดบ่มเพาะพลังไม่เหมาะสมกับตัวเอง ถ้าพบว่าเคล็ดบ่มเพาะพลังไม่เหมาะสม จะเปลี่ยนเคล็ดบ่มเพาะพลังก็ทำไม่ได้ ถ้าจะเปลี่ยนก็ต้องทำลายเคล็ดบ้มเพาะพลัง หรือถ้าไม่เปลี่ยนก็จะต้องแก้ไขพัฒนาเคล็ดบ่มเพาะพลังไปเรื่อยๆ ทำให้ยิ่งระดับการบ่มเพาะพลังสูง ยิ่งเห็นถึงความผิดพลาดของเคล็ดบ่มเพาะพลังมากขึ้น
โดยเฉพาะกฎแห่งธาตุ ถ้าไม่ตรงกันกับเคล็ดบ่มเพาะพลังที่ฝึก ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกจะลดลง เพราะดึงประสิทธิ์ภาพของเคล็ดบ่มเพาะพลังและกฎแห่งธาตุออกมาไม่เต็มที่
ทำให้ปรมาจารย์แก้ไขเคล็ดวิชา อย่างจิวโมไป๋ในอดีตเป็นที่เคารพนับถือ เพราะสามารถช่วยในการแก่ไขเคล็ดบ่มเพาะพลังให้เหมาะสมกับพวกเขาได้
เคล็ดบ่มเพาะพลังถามฟ้า ในขั้นที่ 1-5 จะไม่มีลักษณะ แต่เมื่อถึงขั้นที่ 6 ผู้ฝึก จะสามารถสร้างลักษณะเคล็ดบ่มเพาะพลังได้อย่างไม่จำกัดประเภท
และถ้ามีสามารถตระหนักกฎแห่งธาตุ ก่อนขั้นที่ 6 เคล็ดบ่มเพาะพลังถามฟ้า จะกลายเป็นเคล็ดบ่มเพาะพลังธาตุ ตามธาตุที่ตระหนักทันที
และนี้เป็นข้อเสียของเคล็ดบ่มเพาะพลังถามฟ้า ถ้าไม่สามารถตระหนักกฎแห่งธาตุก่อนขั้นที่ 6 มันก็จะเหมือนกับเคล็ดบ่มเพาะพลังไร้ธาตุอื่นๆ ที่จะต้องใช้ หินธาตุมาพัฒนา
ที่จิวโมไป๋สอนเคล็ดบ่มเพาะพลังถามฟ้าให้กับพ่อและแม่ เพราะเขาจะพาทั้งสองไปที่เกาะโดดเดี่ยวในอนาคต ด้วยพลังธรรมชาติและกฎแห่งธาตุที่หนาแน่น ไม่แน่พ่อและแม่อาจจะตระหนักกฎแห่งธาตุ ก่อนขั้นที่ 6 ก็ได้
พ่อและแม่ฟังเคล็ดบ่มเพาะพลังที่จิวโมไป๋สอน พวกเขาก็นั่งสมาธิ จิวโมไป๋คอยชี้แนะอยู่ข้างๆตลอด
ผ่านไป 3 วัน สถานะการณ์ของเมืองเทียนซูเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่ยังมีทหารและตำรวจ จำนวนมากอยู่ตามจุดต่างๆเพื่อสอดส่องความเรียบร้อย
พ่อและแม่ เข้าใจเคล็ดบ่มเพาะพลังถามฟ้าและวิชาพื้นฐานที่จิวโมไป๋สอนอย่างละเอียด แต่พวกเขามีภาระหน้าที่ต้องทำ พวกเขาไปเปิดร้านอาหารตระกูลจิว แต่ก็ไม่ละเลยการฝึก เมื่อว่างพวกเขาก็จะบ่มเพาะพลัง
เหลือเพียงจิวเสวี่ยเหม่ยที่โรงเรียนยังไม่เปิด เธออยู่บ้านเพื่อฝึกฝนดาบพื้นฐานกับจิวโมไป๋
ในขณะที่จิวโมไป๋กำลังฝึกกระบี่พื้นฐาน อีกด้านของห้องฝึก กำไลข้อมือก็ดังขึ้น
จิวโมไป๋ยังฝึกกระบี่พื้นฐานต่อไม่หยุด จนครบกระบวนท่าทั้งหมด เขาก็ผ่อนลมหายใจ หยุดกระบี่ ก่อนจะก้มลงกดกำไลข้อมือ ข้อความโฮโลแกรมก็ลอยออกมา
‘ขอเชิญคุณจิวโมไป๋ เข้ารับการทดสอบเข้าร่วมหน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติ การทดสอบไม่เป็นการบังคับ คุณสามารถกดที่’ยอมรับ’เพื่อเลือกที่จะเข้ารับการทดสอบ หรือกดที่’ปฏิเสธ’ถ้าคุณไม่ต้องการเข้ารับการทดสอบ
ถ้าคุณเข้าร่วมการทดสอบ อีก 7 วัน จะมีคนไปรับคุณ เพื่อไปยังสถานที่ทดสอบโดยตรง…’
จิวโมไป๋ยิ้ม หน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นชื่อปลอมของหน่วยลับ ที่เป็นฉากหน้าเท่านั้น
จิวโมไป๋ดูเวลานัดหมาย เขาก็กด’ยอมรับ’ ข้อความที่ส่งมาก็หายไป เหมือนไม่เคยมีมาก่อน จิวโมไป๋ไม่แปลกใจกับการทำลายหลักฐานการติดต่อของหน่วยลับ เขาเดินไปบอกให้เด็กสาวให้ตั้งใจฝึก ก่อนที่ตัวเองจะเดินขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง
ได้เวลาทะลวงขั้นที่ 3 เส้นเอ็นสูงสุดแล้ว
—
คอมเม้นต์