ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 231
ดวงตาของจิวโมไป๋หรี่มองไปยังฟงอี้เฟยอย่างจริงจัง กระบี่อ่อนในมือพลันเหยียดตรง กลิ่นอายกระบี่ละลายหิมะที่ตกลงมาบริเวณนั้นจนกลายเป็นไอน้ำสีขาว
ฟงอี้เฟยสบตาจิวโมไป๋ด้วยแววตาสงบนิ่ง ก่อนจะกลายเป็นประกายแหลมคมและในชั่วพริบตานั้นเอง
“รับมือ!”เสียงร้องเตือนดังขึ้น ก่อนที่ร่างของฟงอี้เฟยก็ฟันฉับลงมาที่จิวโมไป๋อีกครั้ง
แต่ก่อนที่ดาบจะฟันถึงตัว จิวโมไป๋ก็บิดข้อเท้าหมุนตัวเป็นวงกลมไปด้านซ้าย หลบดาบที่ฟันลงมาก่อนถึงตัวหนึ่งฝามือ กระบี่อ่อนในมือแทงฉึกตรงไปที่ข้างลำตัว ฟงอี้เฟยควงฝักดาบเป็นวงกลมป้องกันได้ทันและใช้ท่าร่างบาทาไร้เงาหายวับออกไป
จิวโมไป๋ไม่ปล่อยให้ฟงอี้เฟยได้ตั้งตัว เขาใช้ท่าร่างย่างก้าวประกายภูต เข้าประชิดไม่ปล่อยให้หลบหนี เขารู้จุดแข็งและจุดอ่อนของวิชาดาบสายลมกรรโชกเป็นอย่างดี ว่ามันต้องสร้างระยะเพื่อสะสมพลังในการโจมตี ถ้าเขาเข้าประชิดและโจมตีต่อเนื้อง ฟงอี้เฟยก็ไม่สามารถใช้วิชาดาบสายลมกรรโชกได้
ใบหน้าของฟงอี้เฟยยังคงสงบนิ่ง ดาบในมือฟันต้านทานการโจมตีของจิวโมไป๋ด้วยความเร็วสูง ทุกดาบรวดเร็วแม่นยำไม่พลาดเลยสักกระบวนท่าเดียว ทั้งสองแรกกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว เพียงหนึ่งลมหายใจ ทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันกว่า 25 ครั้ง
จิวโมไป๋มองกระบวนท่าดาบเร็วของฟงอี้เฟย ที่ไม่เสียเปรียบกระบี่ของเขาแม้แต่น้อย แล้วลอบถอนหายใจ
วิชาดาบสายลมกรรโชกระดับตระหนักรู้จริงๆ!
พรสวรรค์ของฟงอี้เฟยเหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก การที่ฟงอี้เฟยตระหนักกฎแห่งธาตุลม มันไม่ได้น่าแปลกอะไร เพราะเคล็ดบ่มเพาะพลังตาพายุ ที่ฟงอี้เฟยฝึกฝน เป็นเคล็ดบ่มเพาะพลังธาตุลมระดับสูง มันมีส่วนช่วยส่งเสริมผู้ฝึก ให้ตระหนักกฎแห่งธาตุลม
ถ้ามีธาตุแรกกำเนิดธาตุลมและมีพรสวรรค์เพียงพอ ก็จะสามารถตระหนักกฎแห่งธาตุลมได้ ก่อนขั้นที่ 6
ตระกูลฟงเป็นตระกูลของผู้บ่มเพาะพลังธาตุลม ไม่แปลกที่ฟงอี้เฟยจะมีธาตุแรกกำเนิดธาตุลม การตระหนักกฎแห่งธาตุลมเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
แต่ที่น่าตกใจจริงๆคือ การที่ฟงอี้เฟยสามารถฝึกฝนวิชาดาบสายลมกรรโชกถึงระดับตระหนักรู้
วิชาดาบสายลมกรรโชก เป็นวิชาดาบระดับสูง ที่มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆของวิชาดาบระดับสูง
วิชาต่อสู้ระดับสูงจะยากที่จะฝึกฝน แตกต่างจากวิชาต่อสู้พื้นฐาน ที่มีความง่ายในการฝึกฝนทำความเข้าใจมากกว่าหลายเท่า การฝึกฝนวิชาต่อสู้พื้นฐาน เพียงแค่มีพรสวรรค์เล็กน้อยและมีความอุสาหะพยายามอย่างสูง ถ้าไม่ย่อท้อล้มเลิกกลางคัน ก็สามารถบรรลุผลความเข้าใจระดับเจตจำนงได้
แต่การฝึกวิชาต่อสู้ระดับสูงนั้น เพียงแค่เริ่มฝึก ใช่เพียงแค่ความพยายามอย่างเดียว ก็อาจจะไม่สามารถฝึกฝนได้ จะต้องมีพรสวรรค์ในความเข้าใจวิชาต่อสู้ที่เหนือคนปกติทั่วไป แค่เริ่มก็ว่ายากแล้ว ถ้าต้องการที่จะเข้าใจวิชาต่อสู้ระดับสูงให้สูงขึ้น ต้องใช้พรสวรรค์และความพยายามมากกว่าการฝึกฝนวิชาต่อสู้พื้นฐานหลายเท่า
ไม่แปลกเลยที่ยากจะหาผู้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ระดับสูง จนถึงระดับเจตจำนง แค่ระดับตระหนักรู้ ก็มีเพียงอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเท่านั้นที่ฝึนฝนจนสำเร็จ
แต่ฟงอี้เฟยสามารถเข้าใจวิชาดาบระดับสูงในระดับตระหนักรู้ ก่อนขั้นที่ 6 โลหิต!
พรสวรรค์เช่นนี้น่าชื่นชม แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเข้าถึงระดับเจตจำนงได้ก่อนขั้นที่ 6 โลหิต
ถ้าฟงอี้เฟยสามารถเข้าถึงระดับเจตจำนงได้ก่อนขั้นที่ 6 โลหิต
แม้ว่าจะไม่ฝึกฝนวิชาต่อสู้พื้นฐาน เพื่อปูพื้นฐานวิชาต่อสู้ ไม่สามารถตระหนักกฎแห่งศาสตราวุธได้ แต่ฟงอี้เฟยก็ยังมีโอกาสที่จะตระหนักกฎแห่งความไวและกฎแห่งความคมชัด สองคุณสมบัติโดดเด่นของวิชาดาบสายลมกรรโชกได้
กฎทั้งสองอ่อนแอกว่ากฎแห่งศาสตราวุธเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จิวโมไป๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจแทนฟงอี้เฟย
มันเป็นเรื่องน่าเสียดาย อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงก้าวเดียว แต่มันก็เป็นก้าวที่แบ่งระหว่างอัจฉริยะกับสัตว์ประหลาด
แม้แต่เขาเอง ที่วิชากระบี่พื้นฐานถึงระดับตระหนักรู้แล้ว เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จระดับเจตจำนงได้
แม้ในอดีตเขาจะฝึกฝนวิชากระบี่พื้นฐานถึงระดับเจตจำนงก็จริง แต่ในการเข้าถึงระดับเจตจำนงในอดีต มันมาจากความพยายาม เขาฝึกฝนวิชากระบี่พื้นฐานอย่างไม่ย่อท้อตลอดระยะเวลาหลายปี จนร่างกายซึมซับการฝึกฝน และเข้าถึงความสำเร็จระดับเจตจำนง มันไม่เกี่ยวข้องกับการตีความเข้าใจในวิชาต่อสู้ เพราะเหตุนี้ระดับวิชากระบี่พื้นฐานของเขาในอดีต จึงถูกหยุดอยู่เพียงแค่ระดับเจตจำนงเท่านั้น ไม่สามารถก้าวไปได้อีก
เขาไม่มีพรสวรรค์ในการต่อสู้และเข้าใจในวิชาต่อสู้ ได้แต่ใช้ความพยายามเท่านั้น และกว่าเขาจะสำเร็จวิชากระบี่พื้นฐานระดับเจตจำนง ระดับการฝึกตนของเขาก็อยู่ในระดับสูงแล้ว ไม่มีโอกาสเข้าใจกฎที่สูงกว่า
ในปัจจุบันที่เขาสามารถถึงระดับตระหนักรู้ได้เร็ว เพราะความรู้สึกที่เขาเคยใช้วิชากระบี่พื้นฐานที่ยังจดจำได้ ไม่ได้มาจากความเข้าใจ แม้ความรู้สึกจะช่วยทดแทนความเข้าใจในวิชากระบี่พื้นฐาน แต่มันก็ไม่ช่วยทั้งหมด
ถ้าเขาต้องการที่จะเข้าถึงระดับเจตจำนงกระบี่พื้นฐาน เขาต้องฝึนฝนจนร่างกายจดจำให้ได้อีกครั้ง ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมาก ระดับตระหนักรู้และระดับเจตจำนง เป็นเส้นแบ่งที่กว้างใหญ่ยากที่จะข้ามไปได้
เพราะเหตุนี้ เขาจึงอิจฉาพรสวรรค์ในการเข้าใจกระบี่ของเซี่ยลี่เยว์ ที่สามารถฝึกกระบี่พื้นฐานระดับเจตจำนง ในขั้นที่ 3 เส้นเอ็นปลายเท่านั้น พรสวรรค์ระดับนี้ เป็นใครก็ต้องอิจฉา…
แกร็ง! ดาบและกระบี่อ่อนปะทะกันต่อเนื่อง พลังในแต่ละการฟาดฟันไม่ได้อ่อนแอ ทุกดาบสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บสาหัสได้ในกระบวนท่าเดียว แต่น่าแปลกที่ในรัศมีการต่อสู้ของทั้งสอง นอกจากกองหิมะที่ตกทับถมบนพื้นถูกพลังกดดันทำลายเป็นชิ้นๆหรือกลายเป็นไอน้ำ พื้นที่ดังเดิม ไม่มีอะไรเสียหายเลย
ทั้งสองใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายในการต่อสู้และกระบวนท่าในการต่อสู้ เพราะความเชี่ยวชาญในการควบคุมอาวุธ มันจึงไม่ส่งผลกับพื้นที่โดยรอบ
เวลาผ่านไปอีก 5 นาที ทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่า ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ จิวโมไป๋เห็นว่าเริ่มสายไปแล้ว เขายังต้องไปตามสืบคดีอีก ไม่สามารถเสียเวลาได้อีก จิวโมไป๋พลันเปลี่ยนท่วงท่า ควงกระบี่อ่อน คล้ายพลังที่ยึดกระบี่อ่อนให้ตั้งตรง กลับมาเป็นกระบี่อ่อน คมกระบี่พลันแยกเป็นหลายสายราวงูเลื่อย ฟาดฟันไปยังรั่วร่างของฟงอี้เฟย จากเฉียบคม กลายเป็นลื่นไหลไร้ทิศทาง
ฟงอี้เฟยก็รู้ว่าจิวโมไป๋เริ่มเอาจริงแล้ว ใบหน้าสงบนิ่งของฟงอี้เฟยค่อยๆกลายเป็นจริงจัง ดวงตาสาดประกายคมกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ดาบยาวในมือเพิ่มความไวไปอีกเท่าตัว ฟันฉับลงไป ดาบเคลื่อนตัวทิ้งเงาเป็นเส้นตรงไร้ตำหนิ ฟันตัดทำลายเส้นทางกระบี่เข้าไปหาร่างของจิวโมไป๋
คมดาบเข้ามาในระยะประชิด กระบี่อ่อนที่ถูกฟันพลันบิดพลิ้วรูดไปตามตัวดาบ ร่างของจิวโมไป๋ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวร่างเอียงหลบดาบ ก่อนที่กระบี่อ่อนจะวูบกลายเป็นลำแสงแทงไป 8 จุดสำคัญทั่วร่างของฟงอี้เฟย
ฉึก ฉึก แกร็ง! แกร็ง! เลือดสีแดงสดสาดกระจายชุ่มชุดคุมสีม่วง กระบี่แทงไปที่ไหล่ซ้ายและตรงเอวข้างขวา สองจุด นอกนั้นฟงอี้เฟยยกฝักดาบขึ้นมาป้องกันไว้ได้ ในเสี้ยววินาทีประชิดตัว
ฟงอี้เฟยพ่งตัวหลบออกไป ใบหน้าใต้ชุดคลุมซีดเผือก แต่แววตายังคงสงบนิ่ง ราวกับว่าบาดแผลบนร่าง ไม่ทำให้เขาคิดว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้
จิวโมไป๋มองไปที่ขาซ้ายที่มีรอยฟันเล็กน้อย เลือดสีแดงไหลออกมา ก่อนที่เลือดจะหยุดไหล เขาเงยหน้ามองฟงอี้เฟยด้วยสีหน้าชื่นชม เขาไม่ได้ลงมือสุดกำลัง เขาเพียงแค่จะสร้างบาดแผลให้อีกฝ่ายยอมแพ้เท่านั้น แต่เขาไม่คิดเลยว่าฟงอี้เฟยจะเด็ดเดียวถึงขนาดยกฝักดาบขึ้นมาป้องกัน และโจมตีสุดกำลังต่อไป
ถ้าเขาไม่ขยับเท้าหลบ ฟงอี้เฟยจะต้องถูกกระบี่ของเขา 4 หรือ 5 บาดแผล แต่เขาจะต้องถูกฟันขาซ้ายจนบาดเจ็บสาหัส ถ้าเทียบกับที่เขายั้งแรงเอาไว้ บาดแผลบนร่างของฟงอี้เฟยแม้จะเยอะกว่า แต่เขาจะบาดเจ็บมากกว่า
ดีที่เขาเลือกที่จะขยับเท้าหลบ ไม่อยากนั้นเขาจะพ่ายแพ้ไปในทันที
ในขณะที่จิวโมไป๋กำลังครุ่นคิดอยู่ ฟงอี้เฟยก็พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงทิ้งรอยเท้าไว้บนหิมะ คมดาบหมุนควงเป็นวงกลมหิมะที่กำลังตกและกองหิมะบนพื้นถูกม้วนขึ้นเป็นวงกลม กลายเป็นคลื่นดาบสีขาว
จิวโมไป๋สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิในลดลงต่ำ เขาก็เพ่งมองตรงเข้าในรัศมีคมดาบ กระบี่อ่อนส่งกลิ่นอายคมกริบออกมา ก่อนจะแทงตรงไปอย่างฉับไว คลื่นกระบี่กลายเป็นเงาแทงตรงเข้าไปใจกลางคมดาบอย่างแม่นยำ แหวกพลังโจมตีทั้งหมดตรงเข้าไปยังร่างของฟงอี้เฟย
ฉึก!
ตูม!คมดาบสีขาวแตกกระจายเป็นไอสีขาวกระจายไปทั่วบริเวณ ปกคลุมร่างของทั้งสอง
จิวโมไป๋ยิ้มมุมปากอย่างแผวเบา กระบี่อ่อนพลิ้วไหวกลายเป็นเส้นแสง แทงออกไปนับไม่ถ้วนไปยังทิศทางหนึ่ง ในเวลาเดียวกันคมดาบสายลมนับไม่ถ้วนก็ฟันเข้ามา
แกร็ง!ๆๆๆๆ คมดาบและคมกระบี่ปะทะกันถี่ยิบ
น่าเสียดายที่คนที่ต่อสู้ด้วยเป็นเขา ที่ศึกษาวิชาดาบสายลมกรรโชกมาจนทะลุปรุโปร่ง จุดอ่อนจุดแข็งของวิชานี้เขารู้จนหมดสิ้น
แม้จะอยู่ระดับตระหนักรู้ ที่สามารถใช้กระบวนท่าได้โดยไม่ยึดติดกับแบบแผนก็ตาม เขาก็สามารถคาดเดาการโจมตีได้ไม่ยากเย็นนัก
ถ้าคู่ต่อสู้ของฟงอี้เฟยเป็นคนอื่น ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางจับการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วได้แน่
เหตุผลที่เขายอมเสียเวลาต่อสู้ด้วย ก็เพื่อช่วยชี้แนะจุดแข็งจุดอ่อนให้กับฟงอี้เฟย หลังจากนี้ก็ต้องแล้วแต่ความสามารถ แล้วว่าจะสามารถเข้าใจวิชาดาบสายลมกรรโชกถึงระดับเจตจำนงก่อนขั้นที่ 6 ได้่หรือไม่
กระบี่และดาบปะทะกันพัดไอสีขาวออกไป
ก่อนที่กระบี่จะฟันฉับไปที่แขนขวาของฟงอี้เฟย เลือดสีแดงไหลออกมาอย่างน่ากลัว กระบี่นี้ใช้แรกเพิ่มไปเล็กน้อยทำบาดแผลสาหัสกว่าสองกระบี่ก่อนหน้า
ฟงอี้เฟยหยุดดาบและถอยออกมา เขารู้โดยไม่ต้องต่อสู้อีก ไม่ว่าเขาจะต่อสู้ต่อไปอีกกี่ครั้ง ยังไงเขาก็ต้องแพ้ สายตาของฟงอี้เฟยมืดลงเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าทำไมจิวโมไป๋สามารถรู้กระบวนท่าของเขาได้ทั้งหมด ไม่ว่าเขาจะโจมตีไปยังไง ก็ถูกการโจมตีกลับมาอย่างแม่นยำ ทั้งๆที่ดาบของเขาแข็งแกร่งกว่ากระบี่อ่อน ถ้าเป็นการปะทะกันตรงๆ กระบี่อ่อนไม่มีทางปะทะตรงๆได้
เขาเห็นว่า จิวโมไป๋อ่านการเคลื่อนไหวของเขาล่วงหน้า และโจมตีออกมาก่อน ทำให้แรงปะทะลดลงไปอย่างมาก
มันหมายความว่า ถ้าจิวโมไป๋ต้องการที่จะเอาชนะเขา ก็สามารถเอาชนะไปได้ง่ายๆ
ฟงอี้เฟยเสียบดาบลงไปที่ฝักดาบแล้วถอนหายใจ นิ่งครุ่นคิดถึงการต่อสู้ที่ผ่านมา
จิวโมไป๋เห็นว่าฟงอี้เฟนกำลังคิดทบทวนการต่อสู้อยู่ เขาไม่รบกวน เก็บดาบที่เอว ก่อนจะหันหลังเดินไปหยิบพลองสีเงิน
ในระหว่างที่เขากำลังจะเดินจากไป
ฟงอี้เฟยก็รู้ตัว เขามองไปยังจิวโมไป๋ด้วยแววตาสงบนิ่งเหมือนเดิม เขาไม่มีความรู้สึกเสียใจที่พ่ายแพ้อยู่เลย
“หยุดก่อน!”ฟงอี้เฟยร้องให้จิวโมไป๋หยุด ก่อนจะหายวับมาหยุดเบื้องหน้าจิวโมไป๋
จิวโมไป๋ชะงักเท้าลง มองไปยังฟงอี้เฟยที่ข้างทางอยู่ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร
ฟงอี้เฟยมองไปยังจิวโมไป๋ ก่อนจะคุกเข่าบนกองหิมะด้วยท่าทางทำความเคารพอย่างสูง
จิวโมไป๋ตกใจรีบเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน
“นายกำลังจะทำอะไร?”
ฟงอี้เฟยเงยหน้าขึ้นและหันตัวขวับไปทางจิวโมไป๋อย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกมือประสานกันกลางอกด้วยท่าทางจริงจัง ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า
“ผมฟงอี้เฟย ผู้สืบทอดอันดับ 2 แห่งตระกูลฟง ขอสาบานว่าจะติดตามรับใช้นายท่านจนกว่าจะสิ้นชีวิต ไม่มีวันทรยศหักหลัง ถ้าผิดคำสาบาน ขอให้ตำหนักยุทธ์ถูกทำลายอย่างไม่สมบูรณ์ กลายเป็นคนพิการไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ตลอดชีวิต!”
จิวโมไป๋ถูกท่าทางเด็ดเดียวจริงจังของฟงอี้เฟยจนตกตะลึง กว่าจะรู้สึกตัวอีกฝ่ายก็กล่าวคำสาบานยาวเหยียดจนจบในอึดใจเดียว
ใบหน้าใต้ชุดคลุมของจิวโมไป๋ เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ร้องออกมาด้วยความสับสน
“เกิดอะไรขึ้น!”
ตอนนี้มันยุคสมัยไหนกัน ยุคทาสรับใช้มันหมดไปหลายพันปีแล้ว คนตรงหน้าหลงมาจากไหน
—
คอมเม้นต์