ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 242
เปรี้ยง! เสียงปะทะกันดังสนั่น เงาร่างในชุดสีดำเคลื่อนไหวด้วยความเร็วต่อสู้กับรูปปั้นหินหลายสิบตัวอย่างดุเดือด เกิดเป็นเงาแสงของคลื่นพลังธาตุหลากสีวูบวาวไปมา
วูบ เคร้ง! คมกระบี่อันแหลมคมปะทะกับคมดาบธาตุทองอันแหลมคม เกิดเป็นพายุอันคมกริบกระจัดกระจายออกไปเป็นวงกว้าง เสื้อผ้าของจิวโมไป๋โบกสะบัดอย่างรุนแรง จนเกิดการฉีกขาดตามแขนเสื้อทั้งสองข้าง ใต้เสื้อผ้าเขาใช้เกล็ดมังกรทองป้องกันผิวหนังเอาไว้ ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บจากคลื่นพลัง
รูปปั้นหินดาบธาตุทองกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว บนร่างมีร่องรอยแตกร้าวจำนวนมาก
จิวโมไป๋ไม่รอช้าพุ่งเข้าไปโจมตีรูปปั้นหินดาบอีกครั้ง
แต่ก่อนที่จะไปถึง รูปปั้นหินถือหอก 2 ตัว ก็เข้ามาขัดขวาง หอกยาวทั้งสองเล่มแฝงไปด้วยกฎแห่งธาตุลมและน้ำหลอมรวมกัน กลายเป็นพายุทะเลอันบ้าคลั่ง คมหอกทั้งสองกวาดทำลายพื้นที่เบื้องหน้าเป็นวงกว้าง ยากที่จะหลบหนี แต่จิวโมไป๋โน้มตัวไปข้างหน้าและพุ่งเข้าไปฟันกระบี่เฉือนขึ้นไปด้วยความเร็วสูง กระแทกคมหอกเปิดเส้นทางเล็กๆ ก่อนจะก้มตัวหลบคมหอกทั้งสองได้ และในเวลานั้นเองเขาก็หมุนตัวฟันไปที่มือที่ถือหอกของรูปปั้นหินหอกธาตุน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด
เปรี้ยง! แขนขวาที่สร้างจากหินอันแข็งแกร่งแตกกระเด็น ร่างของจิวโมไป๋ก็หายวับไป ก่อนจะไปปรากฏตัวด้านซ้าย ที่กำลังประคองถือหอกด้วยมือเดียว เขาแทงกระบี่ทะลุคอ ก่อนจะตัดหัวรูปปั่นหินออกมา ก่อนที่ร่างของมันจะสลายกลายเป็นฝุ่นผง
รูปปั้นหินหอกธาตุลมหันกลับมาแทงหอกเข้าใส่จิวโมไป๋ด้วยความเร็ว
จิวโมไป๋ก็ใช้กระบี่ป้องกันพร้อมกับใช้ท่าร่างก้าวถอยหลัง เพราะรูปปั้นหินตัวอื่นๆต่างก็เข้ามารุม เขาถอยมาจนแผ่นหลังของเขาชนเข้ากับพนัง
รูปปั่นหินที่เหลือ 70 ตัว กระจายตัวเข้าล้อมรอบร่างของจิวโมไป๋ พวกมันเคลื่อนตัวสลับตำแหน่งด้วยความรวดเร็ว เกิดเป็นค่ายกลเล็ก 9 อัน ซ้อนทับกัน 9 ชั้น พลังกดดันอันรุนแรงโหมกดทับไปที่ร่างของจิวโมไป๋ เหมือนมีภูเขาอันหนักอึ้งกดทับ ทำให้การเคลื่อนไหวยากลำบากมากขึ้น ในเวลาเดียวกันคลื่นพลังธาตุนับไม่ถ้วนปกคลุมทั่วห้องทดสอบ พวกมันหลอมรวมกันจนเกิดเป็นทิวทัศน์อันไม่สมจริง
จิวโมไป๋สูดลมหายใจลึกๆ นัยน์ตาส่องประกายระริก เลือดมังกรภายในร่างกำลังเดือดพล่าน กลิ่นอายกระหายการต่อสู้อาบไล้ไปทั่วร่าง กระบี่เลือนเร้นแผ่กระจายรัศมีอันแหลมคม
รูปปั้นหินขยับค่ายกลเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
จิวโมไป๋ก็มองไปยังส่วนหนึ่งของค่ายกลที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะเขาได้ทำลายรูปปั้นหินไป 11 ตัว ทำให้พวกมันต้องปรับเปลี่ยนค่ายกลให้สอดรับกับค่ายกลอื่นๆ แต่มันก็ส่งผลให้ตรงส่วนนั้นอ่อนแอกว่าค่ายกลอื่น
ไม่รอช้าจิวโมไป๋ใช้เทคนิคเดิมซ้ำอีกครั้ง เขาใช้ย่างก้าวประกายภูตแยกร่างแยก 9 ร่างพุ่งไปทุกทิศทาง เหล่ารูปปั้นหินที่กำลังจะเข้าโจมตี ก็ชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนจะหันไปยังร่างจริงของจิวโมไป๋ที่เข้าประชิดด้านหนึ่งของค่ายกลเรียบร้อยแล้ว
พวกมันหลงกลจิวโมไป๋อีกเป็นครั้งที่ 2
กระบี่เลือนเร้นเปล่งประกายสีเงินแทงเข้าไปยังรูปปั้นหินมือเปล่าที่ขวางอยู่
รูปปั้นหินมือเปล่าพุ่งเข้าใส่อย่างไม่รีรอ ร่างของมันอาบไปด้วยกฎแห่งธาตุไฟ
แต่มันก็ช้าไป ฉึก! กระบี่แทงทะลุเข้าที่อกอย่างแม่นยำ เพราะความทนทานลดลง 5 ใน 10 ทำให้การทำลายรูปปั้นหินมือเปล่าที่ไร้อาวุธนั้นง่ายขึ้นมาก รูปปั้นหินมือเปล่าสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปในทันที
ในเวลาเดียวกันรูปปั้นหินตัวอื่นๆก็พุ่งเข้ามา จิวโมไป๋ก็หายวับไปด้วยความเร็วสูง โผล่มาอีกด้าน ในจุดที่ค่ายกลอ่อนแอที่สุด กระบี่เลือนเร้นพลันโจมตีออกไปด้วยความเร็ว
เขาเลือกที่จะทำลายรูปปั้นหินมือเปล่าก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อทำลายได้เขาก็ใช้ท่าร่างหลบไปอีกด้านของค่ายกลและทำซ้ำเดิม จนเกิดการชุลมุนขึ้น รูปปั้นหินมือเปล่าค่อยๆลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาทำให้ค่ายกลยุ่งเหยิง รูปปั้นหินเหล่านี้ก็ไม่สามารถคงค่ายกลเอาไว้ได้อีก พวกมันเริ่มแยกตัว เข้าต่อสู้ด้วยตัวเอง ทำให้ง่ายแกการกำจัดมากขึ้น
หลังจากทำลายรูปปั้นหินไปหลายตัว จิวโมไป๋ก็ไม่พอใจเล็กน้อย เพราะรูปปั้นหินเหล่านี้ไม่มีวิญญาณ ทำให้มันอ่อนแอกว่าที่คิด ประโยชน์ที่เขาจะได้จากการต่อสู้ก็ลดลง
จำนวนรูปปั้นหินลดลงจนเหลือน้อยกว่าครึ่ง
รูปปั้นหินมือเปล่าที่ใช้กฎแห่งธาตุสายฟ้า ก็เข้ามาโจมตี
เปรี้ยง! ตูม! จิวโมไป๋โจมตีขัดขวางรูปปั้นหินมือเปล่าตรงหน้า ท่างร่างของมันเมื่อรวมเข้ากับกฎสายฟ้า ความเร็วของมันเหนือกว่าเขาหนึ่งขั้น จากโจมตีกลายเป็นตั้งรับ แต่มันก็ไม่ทำให้เขาตกอยู่ในสถานะการณ์อันตราย
กระบี่เลือนเร้นถูกเร่งความเร็วมากขึ้นจนเกิดเป็นเงาแสงคมกระบี่นับไม่ถ้วนต้านรับการโจมตีอันรวดเร็ว
รูปปั้นหินตัวอื่นๆ ก็ไม่ปล่อยให้เขาต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง พวกมันก็เข้ามาขัดขวางให้การต่อสู้ยากขึ้น
จิวโมไป๋ไม่ลังเล ใช้ท่าร่างประกายภูตแยกร่าง 2 ร่าง คอยหลอกล่อให้รูปปั้นหินตัวอื่นๆไขว้เขว ส่วนตัวเขามุ่งที่จะจัดการรูปปั้นหินมือเปล่าธาตุสายฟ้า
ร่างของจิวโมไป๋เคลื่อนไหวด้วยความเร็ว รุกไล่ไม่หยุด จนกระทั้งกระบี่เลือนเร้นฟันเข้าไปที่ขา ทำให้เกิดร้อยร้าวขนาดใหญ่ไป ความเร็วของรูปปั้นหินมือเปล่าธาตุสายฟ้าลดลงเล็กน้อย ส่งผลให้เขาอาศัยจังหวะนั้น ฟันกระบี่เข้าไปที่ขาอีกครั้งจนแตกหัก ก่อนจะเข้าไปแทงกระบี่ที่อกจนมันสลายกลายเป็นฝุ่นผง
รูปปั้นหินตัวอื่นก็เข้ามาอีกครั้ง กฎแห่งธาตุมากมายถูกใช้ออก จิวโมไป๋ก็ใช้ความเร็วหลบและเลือกที่จะค่อยๆหาโอกาสลอบโจมตี เพื่อลดจำนวนฝ่ายตรงข้ามลง ไม่เสี่ยงที่จะปะทะโดยตรง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จิวโมไป๋ก็ทำลายรูปปั้นไปจนเหลือ 25 ตัว
จิงโมไป๋เหนื่อยหอบเล็กน้อย เพราะตลอดเวลาเขาต้องใช้พลังเต็มที่ในการต่อสู้
การใช้กระบี่ของเขาก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เขาเกือบจะสัมผัสประตูครึ่งก้าวเจตจำนงได้แล้ว เหลืออีกเพียงนิคเดียวเท่านั้น น่าเสียดายในตอนนี้นี้เหลือรูปปั้นหินอีกไม่กี่ตัว
แต่ในตอนนั้นเอง พื้นที่เขายืนอยู่ก็ถูกน้ำแข็งปกคลุมอันหนาวเย็น ไอเย็นสีขาวค่อยๆลอยขึ้นมาจากน้ำแข็ง
“ผู้ใช้กฎแห่งธาตุน้ำแข็ง”จิวโมไป๋มองไปยังรูปปั้นหินผู้หญิงถือดาบ คลื่นพลังกฎแห่งธาตุน้ำแข็งอันหนาวเย็นปกคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งในห้าของห้องโถง
จิวโมไป๋เร่งเคล็ดบ่มเพาะพลังเตาหลอม 9 สุริยัน คลื่นความร้อนในร่างกระทบกับความหนาวเย็นจนเกิดเป็นไอน้ำสีขาวอาบทั่วร่างของเขา
แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็มีผู้ใช้หอกพุ่งเข้ามา กฎแห่งธาตุสายฟ้าอันรุนแรง อาบไปที่ใบหอกความเร็วในการโจมตีรวดเร็วเหนือจิตนาการ เพียงพริบตาก็เข้าปะชิดร่างของเขาได้
รูปปั้นหินดาบธาตุน้ำแข็งก็เข้าโจมตีด้วยเช่นกัน คมดาบน้ำแข็งส่งกลิ่นอายอันตรายไม่สามารถประมาทได้
คนหนึ่งลดความเร็ว อีกคนใช้ความเร็วสูงสุดเข้าโจมตี แม้จะเป็นความคิดง่ายๆ แต่รูปปั้นหินทั้งสอง มันไม่มีวิญญาณและความคิด ที่รูปปั้นหินสามารถคิดวิธีร่วมมือต่อสู้ด้วยตัวเองได้ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างมาก
จิวโมไป๋ใช้กระบี่ต้านรับการโจมตีอย่างใจเย็นที่สุด สมาธิถูกเร่งให้ถึงขีดสุด การโจมตีของรูปปั้นหินทั้งสองเริ่มทำให้เขาลำบาก การโจมตีที่สอดรับกันของหอกและดาบอย่างยอดเยี่ยม ดูเหมือนว่ารูปปั้นหินทั้งสองจะเป็นรูปปั้นหินที่แข็งแกร่งที่สุดของชั้นที่ 3
รูปปั้นหินที่เหลือก็เข้ามารุมล้อม
การโจมตีจากทุกทิศทาง หลากอาวุธและหลากกฎแห่งธาตุ ทำให้จิวโมไป๋เริ่มรับมือด้วยความยากลำบาก เสื้อผ้าบนร่างกายของจิวโมไป๋เริ่มปรากฎรอยฉีกขาดอันน่ากลัวหลายจุด แต่พวกมันก็ไม่สามารถทะลุเกล็ดมังกรทองได้
เปรี้ยง! หัวของรูปปั้นหินแตกออก ก่อนที่คมกระบี่จะแทงไปที่รูปปั้นหินอีกตัว
ยิ่งต่อสู้คมกระบี่ก็เริ่มแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเริ่มเหนื่อยแล้วก็ตาม มันไม่เกี่ยวกับพลังของ่ายกาย แต่เกี่ยวกับความเข้าใจของวิชากระบี่ แค่เปลี่ยนการขยับเล็กน้อย ผลลับก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ร่างกายของเขา เริ่มจดจำความรู้สึกของการใช้วิชากระบี่พื้นฐานระดับเข้าใจในอดีตได้อย่างช้าๆ
รูปปั้นหินหอกสายฟ้าพัวพันโจมตีเข้ามาไม่หยุด รูปปั้นหินดาบน้ำแข็งก็ฟาดฟันเข้ามาไม่หยุดตามติดไม่ห่าง
จิวโมไป๋ก็ยังใช้แต่วิชากระบี่พื้นฐาน
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ สภาพของจิวโมไป๋แย่ลงเรื่อยๆ แม้จะไม่สามารถโจมตีผ่านเกล็ดมังกรทองเข้าไปได้ แต่มันก็ทำให้ร่างกายเกิดความบอบช้ำและเหนื่อยล้าไม่น้อย
แต่ในระหว่างนี้เขาก็ลดจำนวนรูปปั้นหินจนเหลือแค่ 10 ตัว
แม้ร่างกายจะเหนื่อย แต่จิตใจของจิวโมไป๋ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง คมกระบี่ยิ่งโจมตียิ่งแหลมคมและแม่นยำมากยิ่งขึ้น เมื่อจำนวนรูปปั้นหินเหลือน้อย จิวโมไป๋ก็สามารถมุ่งสมาธิไปที่รูปปั้นหินหอกสายฟ้าและรูปปั้นหินดาบน้ำแข็งได้
เปรี้ยง! คมกระบี่เริ่มกดดันรูปปั้นหินอย่างช้าๆ จิวโมไป๋เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เหมือนไม่เหน็ดเหนื่อย คมกระบี่เรียงร้อยกันเป็นลำแสงเข้าฟันแทงออกไป
ร่างของรูปปั้นหินหอกสายฟ้าที่อยู่หน้าสุดเริ่มเกิดรอยแตกขึ้นเรื่อยๆ
เร็วขึ้น เร็วขึ้น ประสาทสัมผัสทั้งหมดถูกกระตุ้นให้ถึงขีดสุด ความคิดทั้งหมดจดจ่อไปยังกระบี่เพียงเท่านั้น
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เสียงอาวุธปะทะกันดังถี่ยิบ จิวโมไป๋ก็เร่งความเร็วในการโจมตีมากขึ้นไปอีก เขารู้สึกว่าอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น เขาก็จะผ่านไประดับครึ่งก้าวเจตจำนงได้แล้ว
แต่น่าเสียดาย มันไม่เป็นอย่างที่คิด คมกระบี่ของจิวโมไป๋แทงไปที่หัวรูปปั้นหินหอกสายฟ้า ก่อนจะทำลายรูปปั่นที่เหลือจนหมด เหลือเพียงรูปปั้นหินดาบน้ำแข็งเท่านั้น
เขาสามารถกำจัดรูปปั้นหินจนหมดก่อนอีกครั้ง
จิวโมไป๋ถอนหายใจเล็กน้อย เขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ง่ายที่จะถึงระดับเจตจำนง แต่เมื่อเขาเริ่มรู้สึกถึงกำแพงแล้ว มันอดไม่ได้ที่จะคาดหวัง
จิวโมไป๋ตวัดกระบี่ออกไป ยังไม่ทันที่รูปปั้นหินดาบน้ำแข็งจะได้ทำอะไร หน้าอกของมันก็แตกออก ก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่น
อย่างน้อยวิถีกระบี่ของเขาก็ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด จิวโมไป๋ปลอบใจตัวเอง
“จบการทดสอบชั้นที่ 3 สามารถเลือกเคล็ดวิชา ภายในชั้นที่ 3 ได้ 1 เล่ม”เสียงจบการทดสอบก็ดังเข้าไปที่หัวของเขา
ภาพเบื้องหน้าของจิวโมไป๋ก็เปลี่ยนไปกลับมาที่หน้าทางขึ้นชั้น 4 เสื้อผ้าของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเหนื่อยล้าในการต่อสู้ครั้งนี้ มันมากกว่าการทดสอบก่อนหน้าหลายเท่า เขาต้องนั่งลงและเริ่มทำสมาธิ ฟื้นฟูพลัง
ในเวลาเดียว วัดบนดินแดนแห่งหนึ่งในจักวาลอันห่างไกล
ประตูหน้าหอทดสอบ เลข 3 สีเงินเปล่งประกายเจิดจ้า ส่องสว่างจนสามารถมองเห็นได้แม้จะอยู่ห่างไกลออกไป
ผู้บ่มเพาะพลังนับไม่ถ้วนต่างก็ตกตะลึง พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครที่จะสามารถเข้าหอทดสอบเพียงครั้งแรก ก็สามารถเอาชนะชั้นที่ 3 ได้ ถ้าเขาได้รับการชี้แนะไม่รู้ว่าจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน
ผู้บ่มเพาะพลังจำนวนมากกำลังเฝ้ารอให้คนที่ทดสอบออกมา
ในตอนนั้นเองประตูเข้าไปวัดชั้น 2 ก็เปิดออก พร้อมกับพระ 10 องค์ เดินออกมาอย่างช้าๆ
ผู้บ่มเพาะพลังแถวนั้น ต่างก็รีบเปิดทางให้พระเหล่านี้เดินไปจนถึงหน้าหอทดสอบ
—
คอมเม้นต์