ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 249
ประตูเขตชั้นที่ 2 ของวัดเปิดออกอย่างช้าๆ พร้อมกับนักบวชกลุ่มใหญ่เดินออกมา ผู้บ่มเพาะที่ขวางทางอยู่รีบเปิดทางทันที
นักบวชหนุ่มผู้เดินนำหน้าสุด เขาหยุดอยู่ที่หน้าหอทดสอบ ดวงตามองไปยังหมายเลข 4 สีเงินที่ส่องแสงเจิดจ้าด้วยแววตาไร้ประกาย ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
นักบวชหนุ่มอีกสองคนด้านข้าง พวกเขาต่างก็มองไปยังหมายเลข 4 สีเงินด้วยเช่นกัน ก่อนจะมองไปยังศิษย์พี่ที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์
ในตอนนั้นเอง เสียงอ่อนโยนแหบแห้งก็ดังขึ้นในใจของนักบวชหนุ่มคนหน้าสุด
“ศิษย์ข้า เจ้าจงเดินทางไปยังมิติบรรพบุรุต และรับตัวผู้ผ่านการทดสอบมาที่นี่ ถ้าเขาไม่ต้องการออกบวช เจ้าไม่ต้องบังคับ ให้เขาเลือกด้วยตัวเอง”เสียงในใจเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ”มิติบรรพบุรุตจะเปิดในอีก 1 ปี ระหว่างนี้เจ้าพาศิษย์น้องของเจ้า ออกเดินทางช่วยเหลือสรรพสิ่ง สร้างกรรมดีและทำความเข้าใจหลักธรรม”
“ขอรับท่านอาจารย์”นักบวชหนุ่มตอบ ก่อนจะส่งเสียงผ่านจิตไปยังเหล่าศิษย์น้องของตนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
เมื่อนักบวชเหล่านั้นได้ยินก็ประหลาดใจ แต่ก็รักษาความสงบได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะต้องเดินทางไปยังมิติบรรพบุรุต ที่พวกเขาเคยได้ยินเป็นตำนาน
นักบวชหนุ่มเดินนำไปยังประตูทางออกวัดพร้อมกับนักบวชคนอื่นๆ
ผู้บ่มเพาะที่เห็นก็เกิดความสงสัยลอบติดตามไปห่างๆ จากหนึ่ง เป็นสอง จากสอง กลายเป็นร้อย จำนวนผู้บ่มเพาะพลังที่ตามไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…
พระราชวังสีขาวกลางท้องฟ้า แห่งหนึ่งในดินแดนที่ห่างไกล
ภายในห้องประชุมที่ตกแต่งอย่างดงาม กลางห้องมีโต๊ะกลมสร้างจากหินล้ำค่า รอบโต๊ะกลมมีที่นั่ง 8 ตัว ในเวลานี้มีมีผู้คนนั่งประจำที่ 7 คน
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว! ให้สังหาร’ชายคนนั้น’ทันที อย่าเก็บเขาเอาไว้! ดูสิ ตอนนี้มันเป็นยังไง!”เสียงคำรามดังกระหึม พลังกดดันอันมหาศาลแผ่พุ่งออกจากพระราชวังจนสายลมเกิดการหมุนวน หมอกสีขาวลอบพระราชวังถูกพัดกระจายออกไป
“ใจเย็นๆก่อน มันยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า’ชายคนนั้น’หลบหนีไป เขาอาจจะฆ่าตัวตาย เพราะทนรับการทรมานไม่ไหวก็ได้”เสียงสงบใจเย็นดังขึ้นสยบพลังกดดันอันรุนแรงลง บรรยากาศรอบพระรายวังสีขาวกลับมาสงบอีกครั้ง
“จะให้ข้าใจเย็นๆได้ยังไง! ปัดโธ่เว้ย!”ชายวัยกลางคนใบหน้าหยาบกร้านคำรามด้วยความโกรธแค้น แต่เขาไม่ใช้พลังกดดันอีก
ชายวัยกลางคนผู้มีท่าทางสุขุมมองสหายที่รู้จักกันมานานด้วยแววตาอ่อนใจ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดต่อ
ชายชราเคราแพะที่นั่งเงียบอยู่นานก็กระแอมเบาๆ ให้ทุกคนหันมาที่ตัวเอง ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมา”ข่ายอาคมหมื่นลงทัณฑ์ที่ข้าคิดค้น ถูกสร้างด้วยของล้ำค่าในตำนาน และใช้พลังของปรมาจารย์มากมายในการจัดวางข่ายอาคม ทำให้ข่ายอาคมแข็งแกร่งทรงพลังถึงขีดสุด แม้แต่เทพยุทย์ระดับจอมเทพก็ต้องไม่สามารถทำลายได้ วิธีที่จะทำลายมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น”ชายชราเคราแพะมองไปยังทุกคนด้วยสายตาเย่อหยิ่ง
“คือ คนที่ถูกกักขังในข่ายอาคมตาย ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว เหตุผลที่ดาวเคราะห์กักขังถูกทำลาย เป็นเพราะ’ชายคนนั้น’ฆ่าตัวตายเพราะไม่สามารถทนการทรมานได้!”
คนในห้องต่างก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไร แม้แต่ชายหยาบกร้านก็ไม่กล้าส่งเสียง เพราะชายชราเคราแพะเป็นยอดฝีมืออันดับ 3 ของดินแดนแห่งนี้และเขายังเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆของดินแดนแห่งความโกลาหล
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดกัน หญิงสาวผู้มีใบหน้าบริสุทธิ์งดงาม ที่นั่งอยู่ข้างที่นั่งว่างเบาก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ในช่วงเวลาที่ดาวเคราะห์กักขังถูกทำลาย ข้ารู้สึกได้ถึงวิญญาณส่วนหนึ่งของข้าที่ผูกไว้ในหอทดสอบวัด…ของมิติบรรพบุรุต ข้าคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง”หญิงสาวพูดอย่างช้าๆ แววตาค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ
ผู้คนในห้องต่างก็ตัวเกร็งด้วยความเกรงกลัว ใบหน้าของชายวัยกลางคนใบหน้าหยาบกล้านและชายวัยกลางคนท่าทางสุขุมต่างก็เปลี่ยนไป เมื่อได้ยินคำว่ามิติบรรพบุรุต
หญิงสาวเหลือบนัยน์ตาอันเย็นเฉียบมองไปยังทั้งสองเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“ในอดีตข้า ท่านจ้าว และ’ชายคนนั้น’ ต่างก็ได้รับบุญคุณของวัด… และได้มอบส่วนหนึ่งของวิญญาณไว้ในหอทดสอบ เมื่อข้าสัมผัสได้ว่ามีผู้คนเข้าไปในวัด…ได้ แสดงว่ามิติบรรพบุรุต กำลังจะถูกเปิดออกอีกครั้ง
‘ชายคนนั้น’อาจใช้เคล็ดวิชาบางอย่าง ทำลายร่างและย้ายวิญญาณไปยังหนึ่งส่วนของวิญญาณที่อยู่ในหอทดสอบก็เป็นได้”
เมื่อหญิงสาวพูดจบผู้คนต่างก็ตื่นตกใจ บางคนกลัวจนตัวสั่นระริก ท่าทางของพวกเขาในตอนนี้ไม่สมกับเป็นสุดยอดฝีมือแม้แต่น้อย
หญิงสาวรอทุกคนสงบลง เธอก็มองไปยังชายชราเคราแพะที่กำลังจะอ้าปากค้านที่เธอพูด หญิงสาวก็พูดตัดหน้า
“มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ ที่ข้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณของตัวเองที่หอทดสอบและดาวเคราะห์กักขังก็ถูกทำลาย ในเวลาใกล้เคียงกัน แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าความเป็นไปได้จะมีเพียงน้อยนิด พวกเราก็ไม่สามารถประมาทได้ ทุกคนก็รู้ดีว่า’ชายคนนั้น’ไม่มีทางยอมปล่อยให้ใครที่ทรยศตัวเองให้ลอยนวลไปได้”
ทุกคนในห้องต่างก็มีใบหน้าซีดเผือก โดยเฉพาะชายวัยกลางคนใบหน้าหยาบกร้านและชายวัยกลางคนท่าทางสุขุม พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ได้รับการช่วยเหลือและชุบเลี้ยงจาก’ชายคนนั้น’ จนกลายเป็นสุดยอดฝีมือ เป็นคนที่’ชายคนนั้น’ไว้ใจที่สุดและเองนี้แหละที่เป็นคนลอบทำร้ายตัดกำลังของ’ชายคนนั้น’ โดยใช้ความไว้ใจ
แม้พวกเขาทั้งสองจะไม่ได้เป็นอันดับ 1 และ 2 ของคนที่’ชายคนนั้น’ต้องการจะแก้แค้นที่สุด แต่พวกเขาจะต้องอยู่อันดับ 3 และ 4 อย่างแน่นอน
พวกเขามองไปยังหญิงสาวด้วยแววตาขอร้อง
หญิงสาวถอนหายใจ หลบสายตาของทั้งสอง ก่อนจะตัดสินใจ
“จ้าวหมิงคัง ปู้เหลยหยาง พวกเจ้าเป็นคนพื้นเมืองของมิติบรรพบุรุต อาณาเขตจำกัดระดับการบ่มเพาะจะลดความแข็งแกร่งของพวกเจ้า น้อยกว่าคนที่ไม่ได้เป็นคนพื้นเมืองของมิติบรรพบุรุต ดังนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปตรวจสอบว่า’ชายคนนั้น’ได้ย้ายวิญญารไปจริงหรือไม่”
จบคำใบหน้าของชายวัยกลางคนใบหน้าหยาบกร้านและชายวัยกลางคนท่าทางสุขุมก็ซีดเผือกจนไร้สีเลือด ร่างกายของพวกเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้ นี้มันงานอันตรายสุดๆ!
“ไม่ต้องกังวล ถ้าเขาใช้วิธีย้ายวิญญาณจริงๆ ‘ชายคนนั้น’จะต้องได้รับบาดเจ็บทางวิญญาณอย่างหนัก ไม่อยู่ในสภาพที่จะสามารถต่อสู้พวกเจ้าได้แน่”หญิงสาวพูด
ใบหน้าของทั้งสองก็ดีขึ้นเล็กน้อย
“รีบไปเถอะ ถ้ายังเสียเวลาอยู่อีก’ชายคนนั้น’ อาจฟื้นฟูพลังกลับมาได้”
จบคำของหยิงสาว ชายวัยกลางคนใบหน้าหยาบกล้านและชายวัยกลางคนท่าทางสุขุมก็มองหน้ากัน ก่อนจะหายวับไปทันที โดยไม่มีการกล่าวอำลาใดๆ
หญิงสาวและคนที่เหลือในห้องต่างก็ถอนหายใจ พวกเขาต่างภาวนา ไม่ให้ชายคนนั้นใช้วิชาย้ายวิญญาณจริงๆ
มิติโลก วัดดองบัว
จิวโมไป๋ที่มีใบหน้าซีดเผือกค่อยๆเดินออกจากหอทดสอบด้วยท่าทางโซเซ เขาเดินไปยังพื้นที่โล่งกล้าง ก่อนจะยกกระบี่เลือนเร้นขึ้น และใช้กระบวนท่ากระบี่พื้นฐาน ฝึกใช้กระบวนท่าฟันผ่านอากาศ ความเร็วของกระบี่ค่อยๆช้าลงในทุกๆครั้งที่ใช้กระบวนท่า จนกลายเป็นเชื้องช้าราวหอยทาก
จิวโมไป๋ดูดซับความรู้สึกที่จดจำจากการต่อสู้ แม้จะยังติดอยู่ที่ครึ่งก้าวเจตจำนง แต่ความเข้าของวิชากระบี่พื้นฐานพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
จิวโมไป๋ใช้กระบี่ช้ากว่า 2 ชั่วโมง
เสี่ยวไป๋ เสี่ยวเหมย เสี่ยวจินต่างก็ออกจากหอทดสอบ และมายืนมองจิวโมไป๋อบู่ห่างๆ ทั้งสามมองจิวโมไป๋ด้วยแววตาเป็นประกาย ราวกลับว่ากำลังทำความเข้าใจในวิถีเชื้องช้าอยู่
เวลาผ่านไปอีก 1 ชั่วโมง เสี่ยวหวงเดินออกมาจากหอทดสอบด้วยท่าทางอ่อนแรงแต่มันยังคงยืนหยัด เดินอย่างมั่นคง แม้ว่ามันจะไม่สามารถผ่านชั้นที่ 3 แต่การต่อสู้ทำให้ความแข็งแกร่งของมันพัฒนามากขึ้น มันสังเกตเห็นคนอื่นๆกำลังมองจิวโมไป๋ มันก็เดินไปมองด้วยความงุนงง ก่อนที่มันจะมองไปยังกกระบี่เชื้องช้าของจิวโมไป๋ แววตาของมันก็เหม่อลอยทันที
เสี่ยวหวงโดดเด่นในการโจมตีอันรุนแรง วิถีการต่อสู้ของมัน แตกต่างจากวิถีเชื้องช้าอย่างมาก ทำให้มันแทบจะไม่เข้าใจในการกระทำของจิวโมไป๋เลย
จนกระทั้ง จิวโมไป๋เริ่มเปลี่ยนกระบวนท่าสลับช้าเป็นเร็ว และเร็วเป็นช้า เงากระบี่หมุนวนรอบร่างของจิวโมไป๋ราวกับกำลังระบำกระบี่
ดวงตาของเสี่ยวหวงพลันเปล่งประกาย มันตกอยู่ในห้วงภวังค์เหมือนสัตว์ตัวอื่นๆ
จนเวลาผ่านไปอีก 3 ชั่วโมง จิวโมไป๋ก็หยุดกระบี่ลงก่อนจะปล่อยลมหายใจอย่างช้าๆ
ภานในทะเลสติ ตำหนักยุทธ์เตาหลอม 9 สุริยัน และตำหนักยุทธกระบี่เลือนเร้นพลันหมุนวนอย่างรวดเร็ว หยดปราณจำนวนมากไหลลงไปยังทะเลปราณ จนกระทั้งทะเลปราณทั้งสองขยายออกพร้อมกัน ทะเลปราณทั้งสองขยายออกไปอย่างนิ่งสงบไม่มีแม้แต่การกระเพื่อม
ร่างกายของเขาสั่นระริก ก่อนที่คลื่นความร้อนจะไหลเวียนหมุนวนไปทั่วร่าง อวัยวะภายในของเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อ ผิวหนังและเส้นเอ็นก็แข็งแกร่งขึ้นอีกขั้น
ขั้นที่ 4 อวัยวะภายในกลาง!
จิวโมไป๋ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เขาขยับร่างกายที่หายเจ็บปวดเป็นปลิดทิ้ง เขาประหลาดใจเล็กน้อยที่อยู่ๆระดับการบ่มเพาะพลังก็เพิ่มขึ้น เขาคิดว่าจะรอให้จบการทดสอบก่อนจะใช้กรรมชั่วของผีน้ำ เพื่อพัฒนาการบ่มเพาะพลัง มันจะได้ไม่เป็นที่สังเกตจากหน่วยลับ ว่าทำไมความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาเร็วเกินไป
แต่ไม่นานจิวโมไป๋ก็ปัดความคิดนั้นไป ถึงยังไงความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมันก็ดีกว่า
จิวโมไป๋มองไปยังสัตว์ทั้ง 4 ตัวของเขาที่กำลังอยู่ตกในภวังค์เขาก็ไม่เรียก เขาเดินไปยังพื้นที่ใต้ต้นไม้และลงมือทำอาหารที่มีกลิ่นอ่อน เพราะไม่อยากเรียกความสนใจจากสัตว์ทั้ง 4 ทำให้พวกมันออกจากภวังค์
ทำอาหารจนเสร็จ สัตว์ทั้ง 4 ตัวก็เริ่มรู้สึกตัว พวกมันมองซ้ายมองขวาหาจิวโมไป๋ ก่อนจะเห็นว่าจิวโมไป๋กำลังทำอาหาร พวกมันก็เข้ามาหาจิวโมไป๋ด้วยความตื่นเต้น จิวโมไป๋มองไปยังพวกมัน แม้ว่าจะไม่สามารถสัมผัสความแข็งแกร่งของพวกมันได้ แต่เขาก็มันใจว่าทั้ง 4 ตัว จะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน
หายากที่สัตว์ จะสามารถเขาใจวิถีการต่อสู้ได้
การที่ทั้ง 4 ตัว สามารถเข้าใจวิถีการต่อสู้ ความสำเร็จของพวกมันจะพัฒนามากขึ้น
จิวโมไป๋และสัตว์ทั้ง 4 ตัว ก็เริ่มลงมือทานอาหาร
ชายซอมซ่อก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีที่อาหารส่วนของเขาวางลงบนโต๊ะ ชายซอมซ่อลงมือทานอาหารอย่างรวดเร็ว
จิวโมไป๋และสัตว์ทั้ง 4 ตัว ไม่สนใจท่าทางของชายซอมซ่อ พวกเขาลงมือทานอาหารของตัวเอง
หลังจากทานอาหารเสร็จ ชายซอมซ่อก็ไม่หายไปเหมือนทถกที เขามองไปยังจิวโมไป๋ ก่อนจะกล่าว
“หลังจากผ่านการทดสอบชั้นที่ 4 ของหอทดสอบ เจ้าถือว่าเป็นศิษย์ของวัดแห่งนี้ครึ่งหนึ่ง หลังจากที่เจ้าเข้าไปในเขตชั้น 2 ของวัด เจ้าสามารถใช้งานอาคารต่างๆภายในชั้นนั้นได้เหมือนศิษย์ที่แท้จริง แต่ค่าใช้จ่ายในการเข้าใช้จะมากกว่าศิษย์ที่แท้จริง 4 เท่า”
จิวโมไป๋ที่ได้ยินก็ไม่ประหลาดใจ เพราะมีหลายสำนักที่ตั้งกฎแบบนี้ จิวโมไป๋สนใจภานในเขตชั้น 2 ของวัดเช่นกัน โดยเฉพาะเปลวเพลิงที่เขาสัมผัสตอนอยู่บันไดขึ้นเขา เขาไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหนของวัด
“ผู้อาวุโส ผมขอถามได้ไหมว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นศิษย์ที่แท้จริง”จิวโมไป๋ถามอย่างไม่จริงจังนัก
ชายซอมซ่อมองจิวโมไป๋และยิ้มอย่างแผ่วเบา
“วิธีง่ายๆ แค่ออกบวช เท่านั้นเอง”
—
คอมเม้นต์