ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 63
“อะไรนะ!!!”ทั้งสามร้องอย่างตกใจ มองใบหน้าจิวโมไป๋ด้วยความตกใจ สีหน้าของพวกเขาในตอนนี้แสดงออกแปลกๆ ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน
ต้องเข้าใจก่อนว่าเคล็ดบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่ง ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของคนที่คิดค้น เมื่อพวกเขาก่อตั้งสำนักยุทธขึ้นมา การที่จะสร้างเคล็ดบ่มเพาะพลังให้สมบูรณ์ เป็นเรื่องยากมากต้องใช้เวลาและพลังอย่างมหาศาล เมื่อเคล็ดบ่มเพาะพลังสมบูรณ์ดีแล้ว ผู้สร้างจะเก็บเคล็ดบ่มเพาะไว้กับตัวเอง และส่วนใหญ่จะสร้างสำนักของตัวเอง เคล็ดบ่มเพาะจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนเข้าร่วมสำนักยุทธของตัวเอง
ดังนั้นจึงไม่มีใครมอบเคล็ดบ่มเพาะพลังของตนเอง ให้แก่คนนอกได้ง่ายๆ
เมื่อได้ยินว่าจิวโมไป๋ขออาจารย์ให้มอบเคล็๋ดบ่มเพาะพลัง ให้กับพวกเขา มันเป็นการกระทำที่อุกอาจและไม่มีหัวคิดอย่างมาก เพราะถ้าอาจารย์โกรธขึ้นมา จิวโมไป๋อาจถูกทำร้ายและถูกขับไล่ออกจากการเป็นศิษย์เลยก็ได้
พวกเขาทั้งสามเผลอกำหมัดตัวเองแน่น ด้วยความตื้นตันใจ น้องเล็กยอมเสี่ยงขอเคล็ดบ่มเพาะให้แก่พวกเขา จะไม่ให้พวกเขาไม่รู้สึกซาบซึ้งได้ยังไง
“ฮ่าๆไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอาจารย์ไม่โกรธ และยังมอบเคล็ดบ่มเพาะพลังให้พวกพี่ทั้งสามด้วย”จิวโมไป๋ยิ้มเบาๆ
ทั้งสามคนถอนหายใจโล่งอก ก่อนที่จะยิ้มขึ้นอย่างตื่นเต้น พวกเขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าพวกเขาได้เคล็ดบ่มเพาะพลังจริงๆ
จิวโมไป๋ไม่รอให้พวกเขาได้ถามอะไรขึ้นอีก เขาชี้ไปที่ขวดแก้วทั้ง 3 ขวดบนโต๊ะ
“โอสถพวกนี้คือโอสถกลั่นตำหนักยุทธ มันเป็นโอสถที่จะทำลายเคล็ดบ่มเพาะเดิมที่เคยฝึก”จิวโมไป๋สบตาหวังเสี่ยวเปา เฉินหู และอูเหวิน ทีละคน ก่อนที่จะพูดขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าเชื่อใจฉันก็กินมันได้เลย หลังจากนั้น ฉันจะมอบเคล็ดบ่มเพาะพลังให้พวกพี่ได้เริ่มบ่มเพาะ”จิวโมไป๋พูดช้าๆ
สามพี่น้องมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มและเดินมาเปิดขวดโอสถกลั่นตำหนักยุทธขึ้นดื่มอย่างไม่ลังเล
“ผมลืมบอกไปว่า มันจะเจ็บเล็กน้อย…”จิวโมไป๋รีบพูดขึ้น แต่มันก็สายไปแล้ว ทั้งสามจ้องมองอย่างดุร้ายมาทางจิวโมไป๋ ก่อนที่จะทรุดนั่งสมาธิและหลับตาลง ใบหน้าของพวกเขาในตอนนี้แดงก่ำ เต็มไปด้วยเหงื่อ
จิวโมไป๋ลอบถอนหายใจโล่งอก โอสถกลั่นตำหนักยุทธนอกจากจะทำลายเคล็ดบ่มเพาะเดิมแล้ว ยังช่วยกลั่นตำหนักยุทธให้บริสุทธิ์ ช่วยเพิ่มพรสวรรค์ในการบ่มเพาะมากขึ้น ในอนาคตพรสวรรค์ของทั้งสามคนจะพุ่งทะยานจนน่ากลัว
เหตุผลที่เขาให้ทั้งสามคนแค่ 1 ขวด แตกต่างจากเขาที่ดื่ม 3 ขวด เพราะว่าเขาต้องกลั่นเศษซากตำหนักยุทธ ทั้ง 108 ทำให้ต้องใช้บริมาณมากกว่าปกติ
แค่ 1 ขวด มันก็เกินพอที่พวกเขาจะกลั่นตำหนักยุทธให้บริสุทธิ์แล้ว
จิวโมไป๋นิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะส่ายหน้าเบาๆไล่ความคิด เหตุผลที่เขาอ้างว่ามีอาจารย์มาสอนเขาบ่มเพาะ ก็เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในอนาคต ถ้าเกิดมีคนสงสัยและถามทั้งสามคนว่า ได้เคล็ดบ่มเพาะมาจากไหน ทั้งสามคนจะได้ตอบได้โดยไม่มีคนสงสัย
มองเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าทั้งสามจะเสร็จ จิวโมไป๋จึงเดินไปกินอาหารและทำธุระต่างๆ
…
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงอย่างช้าๆ
จิวโมไป๋ หวังเสี่ยวเปา เฉินหู อูเหวิน ทั้งสี่คนอยู่ที่ห้องบ่มเพาะที่มีราคาแพงที่สุดในอาคารบ่มเพาะพลัง ความหนาแน่นของพลังธรรมชาติมากกว่าภายนอก 50 %
ในตอนนี้นอกจากจิวโมไป๋แล้ว อีกสามคนอยู่ในสภาพซีดเผือกดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก พวกเขากำลังนั่งล้อมวงขณะที่ในมือข้างหนึ่งถือก้อนแร่สีเขียว และอีกข้างถือมีดเล่มเล็ก
“น้องเล็กนายแน่ใจนะ ที่ให้พวกเรา…”อูเหวินพูดขึ้นอย่างลังเล
“ไม่ต้องกลัว นี้คือการหลอมรวมทะเลปราณและทะเลจิตวิญญาณ… พวกพี่คงไม่รู้จักทะเลจิตวิญญาณคืออะไรสินะ ฉันขออธิบายสั้นๆก็แล้วกัน
ปกติแล้วเมื่อเราบ่มเพาะพลัง จะดูดกลืนพลังธรรมชาติ มาหลอมรวมเข้ากับร่างกายเพื่อกลั่นเป็นหยดปราณภายในทะเลปราณ ยิ่งสะสมหยดปราณมากเท่าไหร่ ร่างกายของเรายิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
เมื่อถึงจุดๆหนึ่งจะมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกันไม่ให้สะสมหยดปราณได้อีก
กำแพงพวกนี้เป็น ระดับขั้นในระดับสร้างฐานการบ่มเพาะพลัง มีขั้นหลักทั้งหมด 9 ขั้น คือ ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น อวัยวะภายใน กระดูก โลหิต ไขกระดูก ชีพจร หลอมปราณ แต่ล่ะขั้นแบ่งย่อยอีก 3 ขั้น ต่ำ กลาง สูง รวมเป็นระดับสร้างฐาน 27 ขั้น
หมายความว่ากำแพงในทะเลปราณจะมีทั้งหมด 27 ชั้น
ตรงนี้คงเข้าใจกันอยู่แล้ว ต่อไปผมจะพูดถึง จิตวิญญาณ
การบ่มเพาะจิตวิญญาณจะแตกต่างจากการบ่มเพาะพลังที่ต้องดูดกลืนพลังธรรมชาติ
จิตวิญญาณจะแข็งแกร่งขึ้นได้ต้องได้รับการฝึกจิตใจหรือพลังสมาธิ ยิ่งจิตใจแข็งแกร่งเท่าไหร่ ทะเลจิตวิญญาณจะยิ่งเข้มข้นขึ้นและทรงพลังขึ้น…
สำหรับวิธีการใช้จิตวิญญาณ มันไม่สามารถนำมาใช้ในการต่อสู้ได้โดยตรง
แต่สามารถใช้จิตวิญญาณ ชักนำพลังธรรมชาติมาใช้ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติหรือเพิ่มประสิทธิภาพของสิ่งต่างๆได้
ตัวอย่างเช่น การปรุงโอสถ ถ้าใช้จิตวิญญาณช่วยในการกลั่นโอสถ สรรพคุณและคุณภาพของมันจะดีขึ้นอย่างมาก เพราะพลังธรรมชาติที่เราดึงดูดมา มันจะช่วยในการกลั่นและหลอมรวมพลังธรรมชาติที่บริสุทธิ์เข้าไปในโอสถ ช่วยเพิ่มสรรพคุณของโอสถมากให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
ที่ผมพูดมาทั้งหมดเป็นการอธิบายเกี่ยวกับจิตวิญญาณคร่าวๆเท่านั้น
พวกพี่ไม่ต้องสนใจก็ได้ การฝังแก่นพฤกษา จะปลุกจิตวิญญาณ ทำให้สามารถใช้จิตสัมผัสได้ มันช่วยในการต่อสู้อย่างมาก และเมื่อทะเลปราณและทะเลจิตวิญญาณหลอมรวมกัน จะเกิดเป็นทะเลสติ ทำให้พลังปราณฟื้นฟูเร็วขึ้น ป้องกันภาพลวงตา…”
จิวโมไป๋อธิบายคร่าวๆ ไม่ได้เจาะลึกมากนัก ทั้งสามคนฟังถึงตรงนี้ ก็เริ่มมีสีหน้างุนงงสับสนไม่เข้าใจ
จิวโมไป๋ก็หยุดไม่พูดอีก เพราะมันเป็นเรื่องยากที่คนจะเข้าใจเกี่ยวกับ จิตวิญญาณ
ค่ายกลในสมัยโบราณจะเป็นการวางสิ่งหรือปรับสภาพภูมิประเทศเพื่อดึงดูดพลังธรรมชาติมาเสริมค่ายกล
แต่ในเวลาต่อมาผู้ใช้จิตวิญญาณหรือปรมาจารย์ ได้สร้างแนวทางค่ายกลขึ้นใหม่ เป็นการสร้างข่ายอาคม
วิธีการใช้ข่ายอาคมจะยุ่งยากกว่าค่ายกลอย่างมาก เพราะข่ายอาคมจะต้องใช้จิตวิญญาณของตนเองในการสร้างและขับเคลื่อนข่ายอาคม
แต่ค่ายกลแค่วางสิ่งของถูกตำแหน่งก็สามารถสร้างค่ายกลที่พิสดารได้แล้ว
แต่พลังและประสิทธิภาพของข่ายอาคมเหนือกว่าค่ายกลหลายเท่า เพราะมันสามารถทำให้เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติได้
เมื่อวันที่จิวโมไป๋วาดข่ายอาคมที่โรงงานร้าง
เขาสร้างข่ายอาคมมีส่วนผสมของเลือดค้างคาว เลือดเสือ และสมุนไพรหลอนประสาท เป็นส่วนเสริม เมื่อเขาใช้จิตวิญญาณดึงพลังธรรมชาติ ให้เข้ามาอยู่ในข่ายอาคม มันจะทำให้ข่ายอาคมแสดงผลออกมา
เป็นหมอกควันหลอนประสาท ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดไม่สามารถใช้ได้ และจะได้ยินเสียงแปลกประหลาดก้องอยู่ในหู
เมื่อรวมเข้ากับรูปแกะสลักภูตผี ที่เขาบรรจงแกะสลักด้วยจิตวิญญาณ มันสามารถสร้างภาพภูตผีลวงตาออกมาและมีคุณสมบัติแฝง หวาดกลัว ทำให้คนที่เห็นหรืออยู่ใกล้จะเห็นภาพภูตผีลวงตา และเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในจิตใจอย่างไม่อาจห้ามได้
มันเป็นเพียงหนึ่งในวิธีใช้จิตวิญญาณของปรมารจารย์เท่านั้น
วิธีใช้จิตวิญญาณยังมีอีกมากมาย เช่นปรมาจารย์วาดภาพระดับทองขึ้นไป พวกเขาสามารถสร้างภาพวาด ที่สามารถดึงจิตใจผู้คนเข้าไปในภาพได้ หรือภาพวาดที่สามารถถ่ายทอดความรู้ต่างๆให้แก่ผู้ที่จ้องมองมัน
หรือช่างจารึก ที่สามารถเขียนอักขระ ต่างๆลงไปบนสิ่งของ ทำให้สิ่งของต่างๆเกิดคุณสมบัติพิเศษ หรือคุณสมบัติแฝงขึ้น เช่นเพิ่มความทนทาน กันความร้อนความเย็น กันผี ไล่ปีศาจ ป้องกันการโจมตีถึงชีวิต…
ยันต์ม่านขี้เถ้า ที่เขาสร้างก็เกิดจากการจารึก
ในอดีตปรมาจารย์แกะสลักอันดับหนึ่ง ได้สร้างรูปแกะสลักกิเลนยักษ์ ไว้หน้าเมืองของตัวเอง ใครก็ตามที่อยู่ในเมือง ถ้าเกิดจิตคิดร้ายต่อเมืองจะต้องกระอักเลือดและหมดสติไปในทันที
ทำให้เมืองแห่งนั้นกลายเป็นเมืองที่สงบสุขอย่างยิ่ง
จิวโมไป๋พูดอีกเล็กน้อย เฉินหูเป็นคนแรกที่เริ่มกรีดหน้าผากและฝั่งแก่นพฤกษาลงไป
ตามมาด้วยหวังเสี่ยวเปา และอูเหวิน เมื่อทำการฝังแก่นฟฤกษาแล้ว พวกเขาก็หมดสติไปในทันทีเพราะความเจ็บปวด อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อทั้งสามก็ฟื้นขึ้น พวกเขาก็แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา
จิวโมไป๋สอนวิธีใช้จิตสัมผัสให้ทั้งสามคนทันที เขาอธิบายการใช้จิตสัมผัสในสถานะการณ์ต่างๆและวิธีใช้มันในการต่อสู้
ครู่ใหญ่ต่อมา เมื่อทั้งสามคนเคยชินกับการใช้จิตสัมผัสแล้ว จิวโมไป๋ก็สอนเคล็ดบ่มเพาะให้กับทั้งสามคน
เคล็ดบ่มเพาะพลังที่เขาจะสอนทั้งสาม เป็นเคล็ดบ่มเพาะพลังในอดีตที่พวกเขาได้ฝึก ยกเว้นพี่สามที่เขาต้องเปลี่ยนเคล็ดบ่มเพาะพลังให้ใหม่
หวังเสี่ยวเปาได้รับเคล็ดบ่มเพาะวังวนผ่านสวรรรค์ เป็นสุดยอดเคล็ดบ่มเพาะพลังที่สามารถสร้างคลื่นพลังไร้สภาพ โจมตีหรือป้องกัน ในเวลาเดียวกันก็ได้โดยไม่มีเงื่อนไข
เมื่อสามารถปลุกอวตารได้ ในรัสมีของอวตารจะไม่มีใครสามาถเข้าใกล้ตัวผู้ใช้ได้
เคล็ดบ่มเพาะวังวนผ่านสวรรรค์ เป็นเคล็ดบ่มเพาะพลังที่สมบูรณ์แบบทั้งรับและรุกไร้ช่องโหว่แทบจะไร้เทียมทาน
ในวันที่สำนักถูกทำลาย หวังเสี่ยวเปาสามารถต้านทานผู้บ่มเพาะหลายพันคน โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ แต่เพราะต้องทำตามแผนที่วางไว้ เขาจึงต้องแกล้งบาดเจ็บ และเสียชีวิตลง โดยก่อนตายเขาได้สังหาร ผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งไปหลายร้อยคน
เฉินหูได้รับเคล็ดบ่มเพาะพยัคฆ์ทองคำ 8 เนตร เป็นสุดยอดเคล็ดบ่มเพาะพลังที่เสริมสร้างร่างกายของผู้ฝึกให้แข็งแกร่งทรงพลัง จนเกินขีดจำกัดของมนุษย์ เหนือล้ำยิ่งกว่าเคล็ดบ่มเพาะพลังประเภทเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อปลุกอวตารได้แล้ว เนตรพยัคฆ์ทั้ง 8 จะมีคุณสมบัติพิเศษในการก่อกวนช่วยเสริมเคล็ดบ่มเพาะที่มีแต่พลังกายภาพ ดวงตาแต่ละข้างของพยัคฆ์ทองคำจะมีคุณสมบัติ 8 อย่างไม่ซ้ำกัน หวาดกลัว อ่อนแรง ลวงตา มึนงง สับสน ปั่นป่วน ตาบอด หูหนวก
แค่ร่างการเพียงอย่างเดียวก็ทำให้ผู้คนกลัวเกรง เนตรทั้ง 8 ยังทำให้ผู้คนต้องหัวปั่นเข็ดขยาด
พูดได้ว่าผู้บ่มเพาะพยัคฆ์ทองคำ 8 เนตร เหมาะสมกับฉายา ราชันไร้พ่าย ของเฉินหูอย่างแท้จริง
สำหรับอูเหวิน เขาเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด กว่าเขาจะรู้ถึงพรสวรรค์ของตัวเอง เขาก็บ่มเพาะถึงระดับปราณปฐพีต้นแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถทำลายตำหนักยุทธและเริ่มฝึกใหม่ได้
เขาทำได้แต่ปรับปรุงเคล็ดบ่มเพาะเดิมให้ดีที่สุดเท่านั้น
อูเหวินมีพรสวรรค์ในด้านพลังธาตุ เขามีความเข้าใจกฏแห่งลมสูงอย่างน่ากลัว พูดได้ว่าเขาไม่เคยพบใคร ที่มีความเข้าใจกฏแห่งลมมากกว่าอูเหวินมาก่อน ถ้าอูเหวินเกิดที่ทวีปตะวันตกและได้บ่มเพาะเวทมนต์ เขาจะกลายเป็นจอมเวทลมที่แข็งแกร่งจนน่าสะพรึง
ในอดีต อูเหวิน ฝึกเคล็ดบ่มเพาะพลังในด้านสนับสนุน กฏแห่งธาตุที่เขาฝึกคือธาตุไม้ ทำให้เขาไม่สามารถดึงประสิทธิภาพของตัวเองออกมาได้ กว่าจะพบพรสวรรค์ของตัวเองมันก็สายเกินไปแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งอูเหวินได้ขอให้เขา สร้างเคล็ดบ่มเพาะที่เหมาะกับตัวเอง เขาใช้เวลาหลายปีก็สามารถสร้างเคล็ดบ่มเพาะพลังที่ผสมระหว่าง การบ่มเพาะพลังระบบปราณและการบ่มเพาะพลังระบบเวทมนต์จนสำเร็จ แต่อูเหวินก็ไม่กล้าที่จะทำลายตำหนักยุทธของตัวเอง
เมื่อย้อนกลับมาเขาก็ไม่ลังเลที่จะให้อูเหวินฝึกเคล็ดบ่มเพาะนี้
เคล็ดบ่มเพาะพลังอาภรณ์สายลม สุดยอดเคล็ดบ่มเพาะพลังแห่งธาตุลม สามารถเปลี่ยนร่างกายผู้บ่มเพาะ ให้กลายเป็นสายลมที่ไม่อาจจับต้องได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อถูกโจมตีการโจมตีทั้งหมดจะผ่านร่างกายไปโดยไม่อาจสัมผัสได้ และสามารถควบคุมลมให้ทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ
—
เคล็ดบ่มเพาะพลังของอูเหวินก็คือ… ความสามารถของผลปีศาจสายโรเกี… ในวันพี… นั้นแหละฮ่าๆ
ถือโอกาสอธิบาย การบ่มเพาะจิตวิญญาน ลงในตอนนี้เลย ฮ่าๆ ยาวอีกแล้ว
คอมเม้นต์