ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 149
เมื่อจบการต่อสู้ เย่จื่อหยวนก็มองกงหนานด้วยความโกรธ ก่อนจะกดกำไลข้อมือ เพื่อส่งสัญญาการเช่าห้องบ่มเพาะพลังพิเศษ 6 เดือน ให้กลุ่มหัวใจเหล็กกล้า หลังจากนั้นเขาก็เดินหนีฝูงชนไปทางออกด้านหลัง เขาไม่อยู่รอพูดคุยกับเหยาติงหลง เขารีบร้อนจากไปทันที
แต่ในตอนนั้นเอง หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงาม อ่อนเยาว์ราวรูปสลัก แต่บรรยากาศรอบตัวนั้นเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง ทำให้เธอเหมือนรูปสลักน้ำแข็งอันงดงาม เมื่อเธอเดินเข้ามาในสนามต่อสู้กลางแจ้ง บรรยากาศรอบสนามต่อสู้เหมือนมีหิมะตก บรรยากาศหนาวยะเยือกทำให้ผู้คนทั้งหมดตัวสั่น ไม่มีใครกล้าขยับตัว
เย่จื่อปิง ผู้แข็งแกร่งอันดับที่ 3 ของมหาวิทยาลัยเทียนซู ระดับการบ่มเพาะพลัง ขั้นที่ 4 อวัยวะภายใน ปลาย!
เมื่อผู้ชมที่เห็นเย่จื่อปิง พวกเขาก็เต็มไปด้วยความนับถือ ยกย่อง แต่ก็มีการแสดงถึงความหวาดกลัวออกมา อย่างไม่อาจปิดบังได้
เย่จื่อปิงแตกต่างจากเย่จื่อหยวน ที่อาศัยอิทธิผลของพ่อที่เป็นผู้บริหาระดับสูงของมหาวิทยาลัยเทียนซู เพื่อสร้างกลุ่มของตัวเอง และค่อยรังแก สร้างปัญหาให้กับนักศึกษาคนอื่นแทบทุกวัน
เย่จื่อปิงไม่เคยใช้อิทธิพลของครอบครัว เพื่อสร้างอิทธิพลให้กับตัวเอง ตลอดระยะเวลา 4 ปี เย่จื่อปิงได้ต่อสู้นับคนนับไม่ถ้วน เพื่อรวบรวมทรัพยากรการบ่มเพาะมาด้วยกำลังของตัวเธอเอง เพราะความแข็งแกร่งของเธอ ทำให้ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าต่อสู้กับเธออีก แม้จะเป็นอันดับ 3 แต่ความแข็งแกร่งของเธอไม่แตกต่างจาก 2 อันดับแรกเท่าไหร่นัก
ถ้าเย่จื่อปิงได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่น เธออาจจะแข็งแกร่งกว่า 2 อันดับแรกด้วยซ้ำ แต่โชคร้ายที่เธอเกิดเป็นคนตระกูลเย่
ตระกูลเย่เป็นพวกหัวโบราณ ที่จะเอาใจใส่ดูแลแต่บุตรชาย ส่วนบุตรสาวก็เป็นแค่ คนที่ต้องแต่งงานออกไปเท่านั้น
เย่จื่อปิง เป็นผู้หญิง ทำให้พ่อของเธอและตระกูลเย่ไม่ค่อยสนใจเธอมากนัก และยิ่งเธอแสดงพรสวรรค์มากเท่าไหร่ เธอจะยิ่งถูกกดดันมากขึ้นกว่าเดิม เพราะพวกเขาไม่อยากให้หญิงสาวในตระกูลเย่ แข็งข้อหลบหนีออกจากกฎของตระกูลไปได้
เหตุผลที่เย่จื่อปิง ไม่ได้รับทรัพยากรจากมหาวิทยาลัยเทียนซู ก็เพราะพ่อของเธอที่เป็นผู้บริหารไม่อนุมัติ ให้มหาวิทยาลัยมอบทรัพยากรให้เธอ
แม่ของเย่จื่อปิงก็เป็นแค่หญิงสาวจากตระกูลระดับสูง ที่มีไว้เพื่อแต่งงานทางการเมืองเช่นกัน ทำให้แม่ของเย่จื่อปิงไม่มีอำนาจในการตัดสินใจภายในบ้าน
ทำให้เย่จื่อปิงไม่ต่างจากเด็กสาวจากตระกูลระดับล่าง ที่ไม่ได้รับทรัพยากรจากตระกูล และอาจจะลำบากกว่าคนธรรมดาเสียด้วยซ้ำ เพราะเธอไม่สามารถหาวิธีเอาทรัพยากรมาด้วยตัวเอง เพราะเธอต้องถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ที่เธอมายืนถึงจุดนี้ได้เพราะพรสวรรค์และความพยายามของเธอเอง เหมือนเหยาติงหลง
เมื่อ 1 เดือนที่แล้ว เย่จื่อปิงมีระดับการบ่มเพาะพลัง ขั้นที่ 4 ต้น แต่ตอนนี้ เธออยู่ขั้นที่ 4 ปลาย แสดงให้เห็นว่าเธอได้ใช้โอสถ 12 ชนิด ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเธอ แสดงให้เห็นว่า พรสวรรค์ของเย่จื่อปิง อยู่ในระดับที่เหนือกว่าอัจฉริยะทั่วไปหลายเท่า
เมื่อเห็นเย่จื่อปิง เย่จื่อหยวนก็กลายเป็นเด็กน้อยอ่อนแอทันที แม้ตระกูลจะสั่งสอนให้ผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง แต่เขาเป็นน้องชายแท้ๆของเย่จื่อปิง เขาเห็นความพยายามของเธอมาตั้งแต่เขายังเด็ก แม้ว่าเธอจะไม่แสดงท่าทีโกรธแค้นเขาเลยสักครั้ง แต่ความหวาดกลัว รู้สึกผิด ยังคงติดอยู่ในใจไม่เคยจางหายไป
เย่จื่อหยวนก้มหน้า รีบเดินจากไปทันที ไม่แม้แต่จะมองย้อนกลับ
เย่จื่อปิงมองหลังน้องชายของเธอ ที่กำลังจากไปด้วยแววตาซับซ้อน ที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร
ผู้คนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ต่างก็รีบจากไป ไม่ถึง 1 นาที ที่นั่งคนดูก็โล่งไม่มีผู้คน
แม้ว่าเย่จื่อปิงจะไม่ได้เป็นคนไร้หัวคิดแบบน้องชายของเธอ แต่การต่อสู้อันรุนแรงของเธอตลอด 4 ปี มันสร้างความหนาวเหน็บ ฝั่งไปถึงขั่ววิญญาณของใครหลายคน ไม่มีใครกล้าอยู่เผชิญหน้ากับเธอ แม้แต่คนเดียว
แต่ในตอนนั้นเอง คนของกลุ่มหัวใจเหล็กกล้าก็เดินมาทางนี้พอดี เฉินหูที่กำลังคุยโม้เรื่องของตัวเองอยู่ เมื่อเขาเห็นเย่จื่อปิง เฉินหูก็ชะงักและหันหลังวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เหมือนหนูเห็นแมว
แต่ก็ไม่ทัน เย่จื่อปิงหายตัวมายืนอยู่ขวางอยู่ข้างหน้า ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่เย็นชาเป็นประกายงดงามจนไม่มีใครกล้าละสายตา แต่เฉินหูไม่ถูกใบหน้าปีศาจดึงความสนใจ เขาหันไปเห็นทางลงแคบๆ ที่ตรงไปทางหน้าต่างบานเล็ก เขาพุ่งตัวออกไปทันที
แต่ก่อนที่ร่างของเขาจะไปถึง ข้อเท้าของเขาก็ถูกน้ำแข็งเกาะหยุดการเคลื่อนไหว แม้ร่างกายอันทรงพลังของเขา ก็ไม่สามารถทำลายการจับกุมได้
หวังเสี่ยวเปาที่เห็นจะไปช่วย แต่อูเหวินยกมือห้ามขึ้นมาก่อน แววตาของเขาเป็นประกายบางอย่าง เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะพาทุกคนออกไป เหลืองเพียงเฉินหูและเย่จื่อปิงสองคนที่กำลังเผชิญหน้ากัน
เฉินหูค่อยๆหันหน้ามาทางเย่จื่อปิง รอยยิ้มของเขาแข็งทื่อ
เช้าวันต่อมา จิวโมไป๋ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว มองออกไปเขาเห็นท้องฟ้ายามเช้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย บ่งบอกว่าเข้าหน้าหนาวแล้ว และไม่นานหิมะก็จะตกลงมา
เมื่อลงไปชั้นล่าง เขาช่วยแม่ฮันหวูเหยาและคุณหยินลั่วปิงทำอาหาร ก็มีข่าวโรงเรียนชั้นอนุบาล ประถมและมัธยมศึกษาปิดเรียน 1 วัน เนื้องจากมีกลุ่มแก็งใต้ดินเมืองเทียนซูก่อความไม่สงบ เพื่อความปลอดภัย ไม่ให้เด็กที่ยังไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ออกจากบ้าน สำหรับผู้ใหญ่ ก็สามารถทำกิจกรรมได้เหมือนปกติ
จิวโมไป๋รู้ว่าตอนนี้ ตระกูลเซียวคงกำลังหัวปั่นเพราะกองกำลังอื่นกำลังเข้ามาตรวจสอบเหมืองแร่เหล็กดำ
จิวโมไป๋กินอาหาร และพาเด็กๆไปอยู่ที่ร้านอาหารตระกูลจิว ที่วันนี้ดูเงียบกว่าวันอื่นๆ ด้านนอกมีรถตำรวจขับผ่านไปมาบ่อยครั้ง จิวโมไป๋อยู่ที่ร้านอาหารจนถึงเที่ยงวัน จากนั้นเขาก็ไปที่บริษัทโลกเสมือนจริงที่เขาซื้อ
จิวโมไป๋เข้าไปในอาคาร ในตอนนี้บรรยากาศสำนักงานดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ดูอึดอัดเหมือนที่เขามาครั้งแรก จิวโมไป๋ตรงไปหาหลิวมี่เอินที่ห้อง CEO พบว่าเธอกำลังตรวจเอกสารค่าใช้จ่ายย้อนหลังอยู่
“ท่านประธาน”หลิวมี่เอินเปลี่ยนคำเรียกจิวโมไป๋อย่างให้เกียรติ แต่จิวโมไป๋ยกมือห้ามให้เรียกจิวโมไป๋ แต่หลิวมี่เินไม่ยอม เพราะต้องเป็นไปตามระเบียบของบริษัท สุดท้ายหลิวมี่เอินก็เรียกเขาว่าท่านประธานเหมือนเดิม
จิวโมไป๋นั่งตำแหน่งโต๊ะด้านข้างฟังหลิวมี่เอิน รายงานค่าใช้จ่าย ความเคลื่อนไหว และสินค้าที่บริษัทส่งออก
จิวโมไป๋ได้ฟังก็รอบส่ายหน้าเบาๆ
“เรียกพนักงานเข้าประชุมบริษัท คนที่ต้องทำงานสำคัญไม่ต้องเข้าประชุม”จิวโมไป๋เรียกพนักงานทุกระดับประชุมครั้งแรก
จิวโมไป๋ตามหลิวมี่เอินไปที่ห้องประชุมขนาดใหญ่กินพื้นที่ เกือบ 1 ใน 3 ของชั้น ในตอนนี้มีพนักงานเกือบ 200 ชีวิต มารออยู่แล้ว จิวโมไป๋ไม่แปลกใจ เพราะเขาบอกหลิวมี่เอินไว้เมื่อ 2 วันก่อน
เมื่อทุกคนเข้าร่วมประชุม จิวโมไป๋ก็พูดถึงอนาคตของบริษัท และสิ่งที่พวกเขาต้องทำเบื้องต้น เพื่อช่วยกันพัฒนาบริษัท เขาไม่ได้พูดเจาะลึกมากนัก เพราะต้องปรับเปลี่ยนอะไรหลายอย่างก่อน
“จากนี้บริษัทของเราจะเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็นบริษัทกาแล็กซี่ ความหมายคือ การสร้างโลกเสมือนจริงนับไม่ถ้วน ให้เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว”จิวโมไป๋พูดจบก็เปิดโลโก้บริษัทลอยขึ้นมาเป็น ดวงดาวเล็กๆจำนวน 108 ดวง หมุนวนเรียงตัวเป็นดาราจักร และ ดาวแต่ละดวงส่องแสงหลากสี เกิดเป็นคลื่นแสงล้อมดวงดาวทั้งหมดเป็น พายุรูปก้นหอยหลากสี เหมือนกาแล็กซี่ขนาดเล็กพนักงานทั้งหมดตบมือเสียงดัง
จิวโมไป๋พูดอีกเล็กน้อยก่อนจะพูดปิดการประชุม
“บริษัทจะต้องปรับปรุงอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งในช่วงเวลานี้ พวกคุณต้องใช้แรงกายและแรงใจในการผลักดันบริษัทของเราให้ก้าวต่อไป ผมจะขึ้นฐานเงินเดือนของพวกคุณทุกคน 30% และในช่วง 3 เดือนนี้ เงินเดือนรวมค่าOTที่พวกคุนได้รับจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า”
ยังพูดไม่ทันจบพนักงานทุกคนตบมือเสียงดังสนั่นกว่าเมื่อครู่หลายเท่า
จิวโมไป๋ยกมือขึ้นเสียงตบมือก็เบาลง
“ถ้าใครแสดงความสามารถออกมา ให้ผมได้เห็น หรือสามารถแสดงผลงานโดดเด่นกว่าคนอื่่น ไม่ว่าจะเป็นพนักงานระดับไหนก็ตาม ผมจะเลื่อนขั้นให้คุณ ให้ได้รับตำแหน่งที่เหมาะกับความสามารถ แต่คนที่ไม่มีความสามารถเพียงพอกับตำแหน่ง ผมจะลดคนๆนั้นลงไป ในตำแหน่งที่เหมาะสม ผมหวังว่าจะไม่มีใครเฉือยชา เพราะคุณอาจจะถูกลดตำแหน่งการเป็นพนักงานทั่วไปก็ได้”จิวโมไป๋พูดจบทั้งห้องก็เงียบสนิท
“ผมขอจบการประชุมครั้งแรก พวกคุณแยกย้ายไปทำงานได้”พูดจบจิวโมไป๋ก็เดินไปที่แผนกวิจัยที่หนิงหานเป๋ยกำลังทำงานอยู่
—
มีอีกจร้า
คอมเม้นต์