ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 154
เมืองฉางซา อยู่ในพื้นที่สูง เมืองล้อมรอบไปด้วยภูเขาใหญ่น้อย มีพื้นที่ภูมิทัศน์ธรรมชาติอันสวยงาม ทำให้รัฐบาลเมืองฉางซาขับเคลื่อนธุระกิจท่องเทียว ให้เป็นอุตสาหกรรมหลักของเมือง ตามมาด้วยการซื้อขายสมุนไพร
ตอนนี้เมืองฉางซาและพื้นที่โดยรอบกลายเป็นสีขาวโพลน ทำให้เมืองมีเสน่ห์อีกรูปแบบหนึ่ง เหมาะกับการท่องเทียวเป็นอย่างมาก
เมื่อจิวโมไป๋ออกจากสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง เขาก็พบป้ายประกาศโฮโลแกรมขนาดใหญ่ เขียนเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้ไปร่วมงานเทศกาล ที่ทางเมืองฉางซาจัดขึ้น เขาไม่แปลกใจนักเพราะเมืองฉางซามักจะจัดกิจกรรมมากมาย เกือบจะทุกๆวันเสียด้วยซ้ำ เพื่อดึงดูดนักท่องเทียว เมื่อเขาออกจากรถไฟฟ้า ก็มีนักท่องเทียวลงมาจำนวนมาก
จิวโมไป๋เดินไปตามฟุตบาทข้างถนนตลอดทาง ในวันที่เขาหลบหนีการตามล่าข เขามาหลบอยู่ที่เมืองฉางซา เพราะคิดว่าสามารถหนีไปที่ภูเขารอบนอกได้
การตัดสินใจครั้งนั้น ทำให้เขาพบโอกาสเปลี่ยนชีวิต มันทำให้เขาสามารถรอดชีวิตจากการตามล่ามาได้
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยนั่งบนไหล่ของจิวโมไป๋คนละฝั่ง ขนสีขาวเป็นประกายสะท้อนแสงแดดยามสาย ดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปมา โดยเฉพาะผู้หญิงที่เห็นใบหน้าน่ารักของพวกมันทั้งสอง
จิวโมไป๋ไม่สนใจผู้คนโดยรอบที่จ้องมอง เขากำลังซึมซับความทรงจำในอดีต เขาเดินผ่านฝูงชนจากไป
ด้านหลังของเขาห่างไปไม่ไกลนัก ฉินซือหลันที่ออกจากสถานีรถไปฟ้า มองตามหลังจิวโมไป๋ด้วยความสนใจ สายตาเธอมองไปที่ขนขาวฟูฟ่องของเสี่ยวเหม่ยด้วยความหลงไหล มองจนจิวโมไป๋หายลับไป เธอก็ตัดใจหันหน้ากลับ
ตงมอเทียนที่กำลังทำเป็นสุภาพบุรุต ถือกระเป๋าเดินทางของหญิงสาวตามลงมา เห็นสายตาของฉินซือหลัน แววตาของเขาเป็นประกายเย็นชาเล็กน้อย ไม่นานก็กลับมาอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนเดิม เขาเดินมายืนข้างๆหญิงสาว
“สนใจสัตว์ตัวนั้นเหรอ? อยากได้ไหมฉันจะส่งคนไปซื้อมาให้”
ฉินซือหลันส่ายหน้าก่อนจะพูดเปลี่ยนเรื่อง”ขอบคุณรุ่ยพี่ตงที่มาส่ง คนของฉันมารับ ฉันคงต้องขอตัวลาก่อน”พูดจบเธอก็หันไปพูดกับเพื่อนของเธอ และกำลังจะพากันเดินแยกไป
ตงมอเทียนยิ้มอ่อนโยน เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะพูด”อย่าลืมนัดตอนเย็น นะคนอื่นๆจะไปด้วย”
“ฉันจะรีบไป”ฉินซือหลันรับปาก ก่อนจะพาเพื่อนของเธอเดินจากไป
ทิ้งให้ตงมอเทียนและคนของเขามองตาม
…
จิวโมไป๋พาเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมนเดินเล่นย่านอาหาร พวกเขากินอาหารและกินขนมจนถึงเย็น เขาก็เช่าโรงแรมราคาไม่แพงนัก ภายในโรงแรมไม่มีแม้แต่กล้องวงจรติด
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดเตรียมอุปกรณ์ จนถึงตอนกลางคืน วันนี้ท้องฟ้ายามกลางคืนมืดมิดกว่าทุกวัน เพราะเป็นวันจันทร์แรม ไม่มีแสงจันทร์ส่องสว่าง เห็นแค่แสงจากดวงดาว
จิวโมไป๋พาเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยออกจากโรงแรม เขาเรียกรถให้ไปส่งที่สวนสนุกร้างนอกเมืองฉางซา คนขับลังเลไม่อยากไปส่ง จิวโมไป๋ส่งเงินให้ก้อนหนึ่ง คนรับรถจึงไปส่งพวกเขา
สวนสนุกร้างนอกเมือง เป็นสวนสนุกขนาดใหญ่ ใหญ่กว่าสวนสนุกเมืองเทียนซูที่เขาเคยไปเกือบ 3 เท่า บ่งบอกได้ว่าในอดีตสวนสนุกแห่งนี้ ได้รับความนิยมมาก แต่โชคร้ายตอนนี้สวนสนุกแห่งนี้ ถูกปิดไม่ให้ใครเข้าไปหลายปี
เหตุผลที่มันถูกปิดไม่มีใครทราบ มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับสวนสนุกแห่งนี้ ว่ามีการฆาตกรรมในสวนสนุก และผู้เสียชีวิตกลายเป็นผีมาหลอกหลอนคนที่เข้าไปในสวนสนุก
แต่เหตุผลที่น่าเชื่อถือมากที่สุดคือ เพราะเขาสู่ยุคแห่งการบ่มเพาะพลัง สวนสนุกใหม่ๆที่ตื่นเต้นน่าสนใจมากกว่าถูกสร้างขึ้น สวนสนุกเดิมๆไม่มีใครเข้า ทำให้สวนสนุกถูกปิดลง
จิวโมไป๋สัมผัสได้ถึงอากาศที่หนาวเย็นลงกว่าปกติ รวมถึงบรรยากาศที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
“พวกมันมาแล้วสินะ”จิวโมไป๋เผยรอยยิ้มที่อธิบาย
เขาพาเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมย เดินไปถึงทางเข้าสวนสนุก เขาก็พบกลุ่มคนหลายคนกำลัง ยืนพูดคุยกันเสียงดัง จิวโมไป๋ซ่อนตัวมองอยู่ห่างๆ
เขาก็พบติงมอเทียน ฉินซือหลันและกลุ่มของพวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่
จิวโมไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่แปลกที่จะพบคนมาที่นี่ เพราะเมื่อมนุษย์ได้บ่มเพาะพลังความกลัวหลายอย่างก็หายไป ร่วมถึงความเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ ทำให้มีกิจกรรมทดสอบความกล้า หรือกิจกรรมเสี่ยงตายแบบนี้จำนวนมาก จนกลายเป็นเรื่องปกติ
ในช่วงเวลาที่ประตูโลกวิญญาณถูกเปิดออก คนที่เสียชีวิตพวกแรกคือผู้คนที่ไปทดสอบความกล้า
เพราะมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุอยู่แล้ว ทำให้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหายตัวไป มันอาจเกิดจากอุบัติเหตุ มันไม่ได้เข้าข่ายคดีร้ายแรง ทำให้nuwa ไม่เข้าไปยุ่ง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจทำการสืบสวน
โชคร้ายที่มันเป็นเหตุการณ์วิญญาณ ตำรวจธรรมดาไม่สามารถสืบหาได้ และในช่วงเวลานั้น ตระกูลฉินเกิดบ้าคลั่งออกคำสั่งฆ่า ทำให้ตำรวจหน่วยพิเศษที่มีฝีมือ หรือสมาชิกระดับสูงของรัฐบาล ก็ถูกเรียกตัวไปทำภารกิจ คนที่เหลือก็มีไม่มากนัก ที่จะสามารถปลีกตัวมาตรวจสอบเรื่องพวกนี้ได้
กว่าNuwaจะตระหนักว่าการหายตัวไปของคนพวกนี้ อยู่ในข่ายคดีร้ายแรงและส่งคนขององค์กรลับไปตรวจสอบ ก็เสียเวลาไปไม่น้อย ทำให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์วิญญาณจำนวนมาก ไม่รวมเหตุการณ์วิญญาณที่สะเทือนขวัญ ที่มีผู้เสียชีวิตในแต่ละเหตุการณ์ถึงหลักหมื่นคน
จิวโมไป๋ได้ส่งสูตรโอสถ 12 ชนิด เพื่อให้คนธรรมดาสามารถบ่มเพาะพลัง เพื่อช่วยเหลือตัวเองจากเหตุการณ์นี้ อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถเขาตัวรอดเองได้บ้าง และตอนนี้ไม่มีคำสั่งฆ่าของตระกูลฉิน
เหตุการณ์แย่งชิงเมืองเหล็กดำก็เป็นแค่เหตุการณ์ต่อสู้ระหว่างกลุ่มกำลัง ถ้าเหตุการณ์ยังสามารถควบคุมได้ ไม่สร้างความเสียหายให้กับสถานที่ส่วนตัวหรือทำร้ายประชาชน
รัฐบาลก็จะไม่ส่งคนไปกำกับดูแล
ในตอนนี้เขาทำได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว เมื่อประตูมิติโลกวิญญาณเปิดออก วิญญาณแค้นหลุดออกมา ถึงจะไม่สามารถช่วยชีวิตได้ทุกคน แต่มันก็ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของคนธรรมดามากขึ้น
มันทำให้เขาเบาใจได้เล็กน้อยว่า ในอนาคตประเทศมังกรจะไม่เข้าสู่สภาวะใกล้ล่มสลายอีก
จิวโมไป๋มองกลุ่มคนเหล่านี้แล้วถอนหายใจอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมาที่นี่ได้ หรือว่าในอดีตพวกเขาก็มาที่นี่ในเวลานี้?
จิตสัมผัสของเขาพบผู้บ่มเพาะพลังขั้นที่ 7 สองคน กำลังลอบเฝ้าคุ้มครองอยู่ห่างๆ จิวโมไป๋ก็เข้าใจ
เขาไม่รู้ว่านี้เป็นผลจากการที่เขาย้อนเวลามาหรือไม่ แต่เขาก็ไม่สนใจ
จิวโมไป๋ละความสนใจจากคนกลุ่มนั้น เพราะเขามีสิ่งที่ต้องทำ ไม่สามารถเสียเวลาได้ เขาอ้อมเข้าสวนสนุกอีกด้าน เป็นทางเดินของเจ้าหน้าที่สตาฟสวนสนุก
ก่อนเข้าไป จิวโมไป๋หยิบยันต์ออกมา 3 ใบ ใบหนึ่งใส่ร่างตัวเอง อีกสองใบใส่ไปที่ร่างของเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมย เหมือนมีหมอกแสงสีเงินหมุนวนทั่วร่างของทั้งสามก่อนจะหายไป
เสี่ยวเหมยเงยหน้ามองอย่างงุนงง เพราะเธอไม่สามารถตรวจจับพลังวิญญาณจากจิวโมไป๋และเจ้าแมวโง่ได้
จิวโมไป๋จัดการเสร็จแล้ว เขาก็เดินตรงไปส่วนใจกลางของสวนสนุก ผ่านเครื่องเล่นต่างๆ ที่เก่าทรุดโทรม เสี่ยวเหมยยืนบนไหล่ของจิวโมไป๋ เธอมองไปยังเครื่องเล่นต่างๆ ท่าทางของเธอกลายเป็นจริงจัง เพราะเธอสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างของแต่ละเครื่องเล่นได้
เสี่ยวไป๋ตอนนี้ก็ยืนขึ้น ท่าทางของมันเตรียมพร้อมต่อสู้ได้ทุกเมื่อ แม้มันจะไม่มีจิตสัมผัสเหมือนจิวโมไป๋และยัยจิ้งจอกซื้อบื้อ แต่สัญชาติญาณของมันบอกว่าได้ว่า รอบๆมีอะไรบาง มันรู้สึกถึงความหวาดกลัวและเคียดแค้นจากเครื่องเล่นเหล่านั้น
จิวโมไป๋เดินไปจนถึงเครื่องเล่นม้าหมุนเจ้าหญิง เครื่องเล่นนี้แตกต่างจากเครื่องเล่น มันไม่มีความสู้สึกถึงความโกรธแค้นอยู่เลย จิวโมไป๋มองเข้าไปในเครื่องเล่นม้าหมุน จิตสัมผัสของเขาก็พบพลังวิญญาณที่บางเบา อ่อนแอ บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา
จิวโมไป๋ยิ้มอ่อนโยน เขาปล่อยให้เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยรออยู่ข้างนอก พวกมันจะตามเข้าไป แต่ถูกจิวโมไป๋ห้ามเสียก่อน เขาเดินเข้าไปที่เครื่องเล่นม้าหมุน เขายืนมองผ่านม้าหมุนที่เป็นรถฟักทอง ไปยังวิญญาณดวงนั้น ดวงตาของจิวโมไป๋นุ่มนวล เหมือนเวลาที่เขามองน้องสาว
วิญญาณภายในรถพักทองค่อยๆ โผล่ออกมาอย่างช้าๆ แววตาไร้ชีวิตสีดำสนิท มองสบตาจิวโมไป๋ เป็นเด็กสาวอายุ 7 ขวบ ใบหน้าขาวซีดไม่มีเลือด
วิญญาณเด็กสาวเห็นจิวโมไป๋ เธอก็ลอยออกจากรถพักทอง ไปหลบหลังม้าหมุนอีกตัว เธอค่อยๆโผล่หัวออกมามองจิวโมไป๋ด้วยความสงสัย
จิวโมไป๋ส่งยิ้มไปให้เธอ
“พี่ชายเห็นหนูด้วยเหรอ”วิญญาณเด็กสาวพูดขึ้น เสียงของเธอฟังขาดๆหายๆ น้ำเสียงก็แหบแห้ง แต่ก็สามารถฟังเป็นประโยชน์ได้
“ใช่พี่ชายสามารถเห็นเธอได้”จิวโมไป๋ตอบก่อนจะค่อยๆเดินไปหาเด็กสาว
เด็กสาวเห็นจิวโมไป๋เดินมา เธอก็ไม่หลบไปอีก
ท่าทางไร้เดียวสาของวิญญาณเด็กสาว มันทำให้จิวโมไป๋รู้สึกเศร้า และโกรธ เขาอยากจะไปจัดการ ไอ้ตัวบัดซบนั้นทันที แต่เขาก็ต้องสงบใจลง เพราะเขามีสิ่งที่ต้องทำก่อน
“อยากไปกับพี่ไหม พี่รู้ว่า พี่ชายของเธออยู่ที่ไหน”จิวโมไป๋พูดอย่างอ่อนโยน พร้อมยื่นมือไปหาวิญญาณเด็กสาว
เด็กสาวชะงักเล็กน้อย ความทรงจำขาดๆหายๆของเธอ เหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ แต่มันเลือนลาง ไม่ปะติดปะต่อกัน
แต่เธอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่น และคุ้นเคยจากจิวโมไป๋ เธอเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะจับมือจิวโมไป๋ เธอไม่รู้ทำไมเธอถึงทำแบบนั้น แต่เธอก็ทำมันไปเองโดยไม่รู้ตัว
จิวโมไป๋จับมือที่เย็นไม่มีความรู้สึกถึงชีวิต เขาส่งไออุ่นเบาๆให้วิญญาณเด็กสาว และเดินออกจากม้าหมุน เมื่อวิญญาณเด็กสาวออกจากม้าหมุน เหมือนมีพลังงานสีดำบางอย่าง พยายามจะเหนียวรั้งเธอเอาไว้ แต่จิวโมไป๋หยิบกระบี่เลือนเร้นออกมา ฟันเปิดทางออก จากนั้นเขาก็พาวิญญาณเด็กสาวออกมา
เมื่อวิญญาณเด็กสาวออกจากม้าหมุน มันก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและก็พังลง
จิวโมไป๋เดินต่อไปไม่แม้จะหันกลับไปมอง มือของเขาจับมือของวิญญาณเด็กสาวไม่ปล่อย เขาเก็บกระบี่เลือนเร้น และเดินผ่านเครื่องเล่นต่างๆไปเกือบ 400 เมตร
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยวิ่งตามไม่ห่าง
เมื่อมาถึงเครื่องเล่นถ้วยน้ำชา จิวโมไป๋ก็พบวิญญาณเด็กผู้ชายที่มีใบหน้าคล้ายกับวิญญาณของเด็กสาว กำลังนั่งมองดวงดาวราวกับตัดขาดจาดโลก
เมื่อจิวโมไป๋เดินเข้าไปที่เครื่องเล่นแก้วน้ำชา วิญญาณเด็กชายก็รู้ตัว เขามองลงไปที่จิวโมไป๋ แต่เมื่อเห็นวิญญาณเด็กสาว เขาก็ชะงักจ้องนิ่งไปที่เด็กสาว
พวกเขาทั้งสองเมื่อเสียชีวิต วิญญาณของพวกเขาตกลงไปในโลกวิญญาณ แม้จะถูกปลุกขึ้นมาบนโลกอีกครั้ง เพราะมีห่วงกรรมที่ไม่สามารถแก้ได้ แต่เพราะได้ไปที่โลกวิญญาณ ทำให้ความทรงจำส่วนใหญ่สูญหายไป ทำให้ทั้งสองเกือบจะจำกันไม่ได้ แต่เพราะสายใยของครอบครัว และเป็นฝาแฝด ทำให้ทั้งสองจำกันได้ในที่สุด
“น้องสาว/พี่ชาย”วิญญาณทั้งสองลอยเข้าไปกอดกัน
จิวโมไป๋ถอนหายใจออกมา เขายิ้มให้วิญญาณทั้งสองอย่างอ่อนโบน ก่อนจะหันไปมองไปยังเครื่องเล่นอื่นๆ ที่แตกต่างจากเครื่องเล่นม้าหมุนและเครื่องเล่นถ้วนน้ำชา พวกมันมีพลังแห่งความโกรธแค้น ไม่ได้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนวิญญาณเด็กทั้งสอง แววตาของจิวโมไป๋ฉายแววเห็นใจ
แต่ไม่นานก็กลายเป็นจริงจัง
—
ผมเขียนแก้ ไม่ใส่ลักษณะการตายของวิญญาณเด็กทั้งสองนะครับ เพราะมันดูรุนแรงเกินไป
คอมเม้นต์