ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 195
จิวโมไป๋ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบโครงกระดูกสีเขียว เขาสัมผัสไม่ได้ถึงอันตรายใดๆจากร่างของมัน และยังรู้สึกถึงพลังงานแห่งธรรมบางเบา กระบี่เลือนเร้นในตำหนักยุทธิ์หมุนวนช้าๆ ราวกับตอบรับความคิดของเขา
จิวโมไป๋ตัดสินใจไปตรวจสอบ เขาทิ้งถังน้ำที่ใส่เต่ายักษ์ไว้ที่หน้าประตูเหล็ก
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมย กระโดดลงมายืนที่พื้นมองไปยังต้นใหญ่ด้วยความสนใจ ทั้งสองเดินคนละข้างจิวโมไป๋ไม่ห่าง
จิวโมไป๋อ้อมภูเขาสำนัก เมื่อใกล้จะถึง เขาสังเกตุเห็นว่าต้นไม้ใหญ่ เป็นต้นโพธิ์ที่แผ่ขยายกิ่งก้านสาขา กินพื้นที่ทางเหนือของเกาะโดดเดี่ยวเกือบ 1 ใน 3 ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งรู้สึกถึงพลังธรรมชาติและพลังธาตุไม้ที่หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมย ทนไม่ไหววิ่งตรงไปยังต้นโพธิ์ จิวโมไป๋จะห้ามก็ห้ามไม่ทัน เขาค่อยๆเดินตาม
ดวงตาของจิวโมไป๋เป็นประกาย เขาสัมผัสได้ถึงพลังธาตุไม้ที่หนาแน่น ถ้าเขาบ่มเพาะที่นี่ โอกาสในการตระหนักกฏแห่งธาตุไม้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
จิวโมไป๋อ้อมภูเขาสำนักมายืนมองต้นโพธิ์อยู่ไกลๆ เขาก็พบว่าต้นโพธิ์ตั้งอยู่ตรงกับตรงตำแหน่งธาตุไม้ ของข่ายอาคม 5 ธาตุหนุนเสริมพอดี
เขาก็เข้าใจว่าทำไม พลังธรรมชาติของเกาะโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้นทั่วทั้งเกาะ
จิวโมไป๋เดินไปใต้ต้นโพธิ์ เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมย วิ่งไปข้างๆต้นโพธิ์ และปีนขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว
สัตว์น้อยใหญ่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว พวกมันต่างก็ลืมตาขึ้น เมื่อพวกมันเงยหน้ามองเห็นจิวโมไป๋ พวกมันก็หันกับไปหลับตาเหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวจิวโมไป๋ ราวกับรู้ว่าเขาเป็นคนที่พาพวกมันมาปล่อยที่นี่
จิวโมไป๋แปลกใจเล็กน้อยเพียงไม่กี่วัน พวกมันก็มีร่องรอยของสติปัญญา แม้จะไม่ได้เปิดปัญญา แต่พวกมันก็หลุดพ้นจากการเป็นสัตว์ไร้สติปัญญา สามารถบ่มเพาะพลังได้ด้วยตัวเอง
เสี่ยวหวงเห็นจิวโมไป๋ มันลุกขึ้นวิ่งตรงเข้าหาจิวโมไป๋ มันวิ่งหลบสัตว์ตัวอื่นๆอย่างคล่องแคลว จิวโมไป๋สังเกตว่า เสี่ยวหวงอยู่ขั้นที่ 4 ต้นแล้ว เพียงแค่ไม่กี่วันมันก็สามารถทะลวงผ่านขั้นใหญ่ได้ จิวโมไป๋ลูบหัวมันเบาๆ
“บ่มเพาะต่อไป ไม่ต้องสนใจฉัน”จิวโมไป๋พูดกับเสี่ยวหวง ก่อนจะเดินตรงไปยังโครงกระดูกสีเขียว
เสี่ยวหวงร้องมอเบาๆ มันอยากจะห้าม แต่สุดท้ายมันก็ไม่ทำ มันเดินไปนั่งที่เดิมและเริ่มหลับตาบ่มเพาะพลัง
จิวโมไป๋เดินไปหยุดหน้าโครงกระดูกสีเขียว
เหมือนมันจะรับรู้การมาถึงของจิวโมไป๋ได้ เปลวไฟสีเขียวสว่างขึ้นในรูดวงตาทั้งสองข้าง
ก้อนหินสีเขียวเข้มตรงหน้าอกส่องประกายเล็กน้อย ก่อนจะหายไป
จิวโมไป๋จำได้ทันทีว่าเป็นแก่นพฤกษา ที่เขาโยนลงไปในหน้าผาในเขาวงกตโครงกระดูก
เขาไม่คิดเลยว่าแก่นพฤกษาที่เขาโยนไป จะหลอมรวมกับโครงกระดูกโบราณ กลายเป็นแบบนี้ ในตอนนี้
โครงกระดูกเขียวขึ้นมาที่นี่ ได้อย่างไร เขาไม่รู้ และที่สำคัญ ต้นโพธิ์เบื้องหน้า เป็นสายพันธุ์ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน แม้แต่ในมิติชั้นสูง
ในใบโพธิ์แต่ละใบเขาสัมผัสได้ถึงหลักธรรมบางอย่างทีเจือจาง ต้องรอให้ต้นโพธิ์เจริญเติบโตขึ้น หลักธรรมจะชัดเจนมากขึ้น
เขาคาดเดาว่าต้นโพธิ์นี้ต้องมาจากโครงกระดูกสีเขียวอย่างแน่นอน
โครงกระดูกสีเขียวยกมือขึ้น ทำสัญลักษณ์เพื่อบอกอะไรบางอย่าง จิวโมไป๋สัมผัสไม่ได้ถึงความคุกคามจากมัน เขาก็ไม่ได้แสดงอาการหวาดละแวง เขามองสัญลักษณ์มือด้วยความแปลกใจเพราะมันคล้ายกับสัญลักษณ์มือโบราณ ที่เขาเคยศึกษาที่มิติชั้นสูง
โครงกระดูกทำสัญลักษณ์มือ ‘ฉันเป็นใคร?’
“แกไม่รู้เหรอว่าแกเป็นใคร”จิวโมไป่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะย้อนถาม
โครงกระดูกทำสัญลักษณ์มือ ‘ฉันจำอะไรไม่ได้เลย’
จิวโมไป๋อึ้ง เขาเคบพบเผ่าพันธ์โครงกระดูกในมิติชั้นสูงมาก่อน เขาพอจะเข้าใจการฟื้นคืนชีพโครงกระดูกมาบ้าง โดยปกติแล้วพวกโครงกระดูกที่ถูกสร้างด้วยวิธีพื้นคืนชีพ จะมีสติปัญญาและความทรงจำ แต่ความทรงจำที่ยังคงจำได้จะเป็นความทรงจำที่ลึกซึ้งยากจะลืม เพราะเป็นความทรงจำที่ตาตรึงอยู่ในวิญญาณ ความทรงจำที่ไม่สำคัญจะถูกลืมเลือนไป
แต่โครงกระดูกสีเขียวไม่มีความทรงจำเหลืออยู่เลย แต่สามารถทำสัญลักษณ์ได้อย่างถูกต้อง แสดงว่าความทรงจำหายไป แต่ยังคงจดจำความสามารถบางอย่างที่เคยใช้ได้
มีความเป็นไปได้ 2 อย่างที่ไม่มีความทรงจำคือ
วิญญาณถูกกลืนกินหรือถูกทำลาย
การฟื้นคืนชีพโครงกระดูกจะต้องทำภายใน 7 วัน หลังจากนั้นจะทำไม่ได้ เพราะวิญญาณจะถูกดึงลงไปยังโลกวิญญาณ
โครงกระดูกชั้นล่างของเกาะโดดเดียวอย่างน้อยก็มีอายุหลายหมื่นปี ที่โครงกระดูก ในเขาวงกตโครงกระดูกสามารถเคลื่อนไหวได้ ไม่ใช่เพราะพวกมันถูกวิชาฟื้นคืนชีพปลุกขึ้นมา แต่เป็นเพราะพวกมันถูกเพลิงนิรันต์ควบคุมให้หาแหล่งพลังชีวิต โครงกระดูกพวกนั้นเป็นแค่ร่างเปล่าไร้วิญญาณ
เพลิงนิรันต์เป็นเพลิงที่เผาผลาญพลังชีวิต ไม่เผาผลาญวิญญาณ
ถ้าไม่ถูกทำลาย กว่าหมื่นปีแล้ว วิญญาณน่าจะไปยังโลกวิญญาณและเกิดใหม่ ไม่มีทางที่จะฟื้นขึ้นมาได้
จิวโมไป๋จึงคิดว่ามันเป็นวิญญาณวัตถุที่เกิดใหม่ แต่เมื่อเขาเห็นว่ามันสามารถใช่สัญลักษณ์มือได้ แสดงว่ามันไม่ใช้วิญญาณวัตถุเกิดใหม่ อย่างที่เขาคาดเอาไว้
จิวโมไป๋ถอนหายใจด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดเลยว่าจะมีโครงกระดูกที่ฟื้นขึ้นมา โดยที่ยังมีความสามารถเดิมเอาไว้ แม้จะไม่มีความทรงจำก็ตาม
เขาต้องศึกษามันอีกครั้งว่าเป็นอะไรกันแน่
“ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใคร แต่แกสามารถอยู่ที่นี่ เพื่อฟื้นฟูความทรงจำ ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นที่นี่ ฉันของให้แกช่วยคุ้มครองได้ไหม?”จิวโมไป๋เห็นว่าโครงกระดูกเขียวไม่มีอันตราย เขาก็เบาใจ ชักชวนให้มันอยู่ที่นี่
โครงกระดูกสีเขียวทำสัญลักษณ์มือว่า ‘ตกลง’ ไฟสีเขียวบนดวงตาของมันก็ดับลงทันที
จิวโมไป๋มองโครงกระดูกสีเขียวที่ว่าง่ายกว่าที่คิด เขาก็ถอนหายใจ เขาไม่สามารถตรวจสอบความแข็งแกร่งของมันได้ ท่าทางของมันดูแปลกแตกต่างจากเผ่าพันธ์โครงกระดูกที่เขาเคยพบ อย่างน้อยเขาก็เบาใจ ที่มีผู้คุ้มกันบนเกาะโดดเดียวเพิ่มขึ้น
จิวโมไป๋ก็มองไปที่ต้นโพธิ์ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า มันตั้งตรงจุด ธาตุไม้ ของข่ายอาคม 5 ธาตุหนุนเสริม
ดวงตาของจิวโมไป๋เป็นประกาย ในที่สุดเขาก็สามารถนำ ภูเขาสมบัติ ไปไว้ในจุดธาตุดินได้แล้ว
ที่เขายังไม่เอาภูเขาสมบัติไว้ในจุดธาตุดิน ของข่ายอาคม 5 ธาตุ หนุนเสริม เพราะเขาได้แยกส่วนภูเขาสมบัติมา สร้างอาวุธ ทำให้มันไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ถ้าเขาวางภูเขาสมบัติ ไว้ในข่ายอาคม โดยที่ไม่มีธาตุอื่นอยู่ด้วย จะเป็นการทำลายภูเขาสมบัติ ให้เสียหายมากขึ้นแทน
เขาจึงไม่วางภูเขาสมบัติในข่ายอาคม 5 ธาตุหนุนเสริม
แต่ตอนนี้จุดธาตุไม้ได้มีต้นโพธิ์ ที่มีพลังธาตุไม้ที่แข็งแกร่ง เขาสามารถวางภูเขาสมบัติได้แล้ว และภูเขาสมบัติยังจะได้รับการฟื้นฟูอีกด้วย
แม้ว่าตามกฏแห่งธาตุ ธาตุดินจะแพ้ไม้
แต่ข่ายอาคมของเขาเป็นแบบหนุนเสริม ไม่ได้ทำลายล้าง แม้จะเป็นธาตุที่แพ้ทางก็ไม่มีผล
จิวโมไป๋ไปที่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตอนนี้มีเนินเขาค่อยๆก่อตัวสูงขึ้น เขาวางภูเขาสมบัติลงไป
ทันทีที่ภูเขาสมบัติถูกวางลง วงแหวนข่ายอาคมก็ส่องสว่างขึ้น และค่อยๆกลายเป็นข่ายอาคมสีน้ำตาลเข้ม ก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นครอบคลุมพื้นที่เกาะโดดเดียวทั้งหมด
พลังธาตุดินครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด หนุนเสริมธาตุไม้ที่ครอบคลุมเกาะโดดเดี่ยวก่อนหน้า พื้นดินและหน้าผารอบเกาะโดดเดียวค่อยแข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าๆ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น ยิ่งเวลาผ่านไปหน้าผารอบเกาะโดดเดียวจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
และในเวลาเดียวกัน ตรงจุดที่จิวโมไป๋ยืนอยู่ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนที่แผ่นดินบริเวณนั้นจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บางส่วนของมันที่เชื่อมกับภูเขาสำนัก ทำให้ภูเขาสำนักสูงขึ้นเล็กน้อย
เพียงไม่นาน ก็มีภูเขาสูง 60 เมตร ปรากฏขึ้นใกล้ๆภูเขาสำนัก
เสี่ยวไป๋ เสี่ยวเหมย ที่กำลังนั่งบ่มเพาะพลัง บนต้นโพธิ์ลืมตาขึ้นก่อนจะกระโดดลงมา และวิ่งมาหาจิวโมไป๋อย่างรวดเร็ว
เสี่ยวหวงที่ช้ากว่าเล็กน้อยวิ่งตามหลังมาห่างๆ
จิวโมไป๋เดินลงจากภูเขา พอดีกับที่เสี่ยวไป๋และเสียวเหมยวิ่งมาถึง เขาอุ้มพวกมันขึ้นมากอด
ทั้งสองดิ้นไปมาเล็กน้อย ก่อนที่พวกมันจะสัมผัสพลังธาตุดินที่ค่อยๆเพิ่ม ทั้งสองหยุดดิ้นมองไปยังภูเขาที่ปากฏขึ้นด้วยความสนใจ
เสี่ยวหวงวิ่งมาถึงมันก็มองนิ่งไปยังภูเขาสมบัติ คลื่นพลังสีน้ำตาลเจือจางแผ่กระจายออกมาจากร่างของมัน
จิวโมไป๋ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะลูบหัวมันเบาๆ
“เสี่ยวหวง แกบ่มเพาะที่นี่เถอะ มันช่วงให้แกบ่มเพาะได้ดีขึ้น”
เสี่ยวหวงหันมามองจิวโมไป๋ ก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนเขา
ในตอนนั้นเอง ลูกนกอินทรีที่เขาซื้อมาจากตลาดซื้อขายสัตว์ ก็บินตรงเข้ามาหาจิวโมไป๋ ก่อนจะร่อนลงยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาห่างออกไป 8 เมตร ตอนนี้มันมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ขนนกที่คล้ายหัวลูกศรสีทองเป็นประกายแวววาวเหมือนทองคำ ดวงตาอินทรีเป็นประกายแหลมคม
จิวโมไป๋และลูกนกอินทรีจ้องกันครู่หนึ่ง
“แกจะติดตามฉันใช้ไหม”จิวโมไป๋ถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ลูกนกอินทรียืดตัวตรง และพยักหน้าเบาๆ
“ดี ฉันจะตั้งชื่อให้แกว่าเสี่ยวจิน(ทองน้อย)ก็แล้วกัน”จิวโมไป๋ตั้งชื่อให้มัน ก่อนจะยื่นมืออกมา
เสี่ยวจินตีปีกเบาๆ กระโดดมาใกล้จิวโมไป๋ ยอมให้จิวโมไป๋ลูบหัวมันอย่างไม่หลบหนี
จิวโมไป๋ยิ้ม จากนั้นเขาก็สอนเคล็ดบ่มเพาะสัตว์อสูรวิหกศักดิ์สิทธิ์ ให้กับมัน
เสี่ยวไป่และเสี่ยวเหมยที่อยู่ในอ้อมแขนจิวโมไป๋ ไม่พอใจพวกมันขยับตัวดิ้นไปมา
จิวโมไป๋ต้องปล่อยพวกมันลง
ทั้งสองมองจิวโมไป๋ ก่อนจะมอง เสี่ยวจิน สุดท้ายพวกมันทั้งสองก็วิ่งกลับไปที่ต้นโพธิ์
จิวโมไป๋ได้แต่ยิ้มอ่อน เสี่ยวจินหลับตาบ่มเพาะตามเคล็ดบ่มเพาะ เพียงแค่ 10 นาที เสี่ยวจินก็สามารถเข้าใจเคล็ดบ่มเพาะสัตว์อสูรวิหกศักดิ์สิทธิ์ได้
จิวโมไป๋อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
เสี่ยวจินลืมตาขึ้น ก่อนจะก้มหัวเหมือนทำความเคารพ และตีปีกบินไปที่ต้นโพธิ์
จิวโมไป๋ที่ถูกทิ้งก็หัวเราะเบาๆ ก่อนที่เขาจะนึกถึงเต่ายักษย์ ที่ถูกทิ้งไว้ที่หน้าประตูเหล็ก เขารีบกลับไปยกมันไปปล่อยที่ทะเลสาบใหญ่ ทางทิศตะวันออกของเขาสำนัก
เมื่อสัมผัสพลังธรรมชาติที่หนาแน่น เต่ายักษ์ก็ลืมตาขึ้นมองไปรอบๆด้วยแววตาไร้เดียงสา แต่เมื่อมันหันมาเห็นจิวโมไป๋ มันก็หดหัวกลับเข้ากระดอง
“จากนี้แกอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ต้องห่วง ที่นี่ปลอดภัยไม่มีใครทำอะไรแกได้”จิวโมไป๋พูดกับเต่ายักษ์อย่างนุ่มนวล
เต่ายักษ์ได้ยินที่จิวโมไป๋พูด มันยืนหัวออกมา มองจิวโมไป๋ด้วยความสงสัย
จิวโมไป๋แปลกใจเล็กน้อยกับความไร้เดียงสาของมัน ก่อนที่จะใช้จิตสัมผัสตรวจสอบร่างกายของมัน เขาก็พบว่าเต่ายักษ์มีอายุยังไม่ถึง 1 เดือน แต่ตอนนี้มันมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร ถ้าปล่อยให้มันโตขึ้ิน ขนาดของมันจะใหญ่ขนาดไหนเขาก็ไม่รู้
เขาลูบหัวมันเบาๆ ก่อนจะตั้งชื่อมันว่า
“จากนี้ไปแกชื่อว่าเสี่ยวเฮย(ดำน้อย)“
เสี่ยวเฮยจ้องมองจิวโมไป๋ด้วยแววตาใสซื่อ มันยอมให้จิวโมไป๋ลูบหัวโดยดี เหมือนมันจะชอบที่ถูกลูบหัว
จิวโมไป๋อดไม่ได้ที่จะยิ้มกับความไร้เดียงสาของมัน จิวโมไป๋หยิบสมุนไพรที่เต่าสามารถกินได้ออกมาให้มัน
เสี่ยวเฮยเห็นอาหาร มันก็อ้าปากกินอย่างรวดเร็ว เมื่อกินเสร็จมันก็ขยับหัวของมันถูมือของจิวโมไป๋
จิวโมไป๋เล่นกับมันสักพัก ก่อนจะปล่อยให้เสี่ยวเฮยกลับลงไปในทะเลสาบ เขาให้มันปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ก่อน เขายังไม่สอนการบ่มเพาะอสูรให้กับมัน
จิวโมไป๋นำสมุนไพรที่ซื้อจากเมืองฉางอัน และสมุนไพรที่ขโมยมาจากถังฉีหลง และเมล็ดสมุนไพร นำไปปลูกตามจุดต่างๆ ด้วยพลังธรรมชาติที่หนาแน่น พวกมันมีโอกาสขยายพันธุ์ในอนาคต
—
คอมเม้นต์