ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 240
ลานกว้างใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากหอทดสอบมากนัก เสี่ยวไป๋ เสี่ยวเหมย เสี่ยวหวง และเสี่ยวจินกำลังกินอาหารที่จิวโมไป๋ทำให้อย่างมีความสุข พวกมันไม่รู้สึกเป็นห่วงจิวโมไป๋ที่เข้าไปในหอทดสอบเลย ความสนใจทั้งหมดอยู่ตรงอาหารเบื้องหน้า
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยฉีกกินน่องไก่ทอดอย่างมีความสุข เสี่ยวหวงและเสี่ยวจินกินธัญพืชชามใหญ่ที่จิวโมไป๋เตรียมไว้ให้
“อาหารของพวกเจ้าดูน่ากินดีนะ”อยู่ๆก็มีเสียงแหบแห้งเก่าแก่ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเสี่ยวไป๋อย่างฉับพลัน
ร่างของเสี่ยวไป๋สั่นสะท้านด้วยความตกใจ มันกระโดดจากที่เดิมไปยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเสี่ยวหวงและเสียวจินเพื่อปกป้องพวกมัน เสี่ยวเหมยเบิกตากว้าง ร่างของมันชะงักค้าง
ตรงที่เสี่ยวไป๋เคยอยู่ มีชายร่างผอมสูงใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นเก่าโทรมยืนอยู่แทน ผมสีขาวเทาสกปรกรุงรังยาวจนถึงพื้น ใบหน้ามีคราบผุ่นสกปรกปกคลุมไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายเฉือยชากับทุกสิ่งแต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าอันลึกล้ำ ร่างกายมีกลิ่นอายเก่าแก่โบราณ ทำให้ผู้คนที่จ้องมองต้องรู้สึกเคารพนอบน้อมไร้ทางต่อต้าน
“ทะ.ทะ…ท่าน”เสี่ยวไป๋ส่งเสียงออกมาเป็นภาษามนุษย์ เสียงของมันสั่นระริกอย่างไม่อาจปิดบัง
เสี่ยวเหมยที่ตอนนี้หมอบลงกับพื้น เหมือนจะพยายามทำตัวให้เล็กที่สุด
“อะไรกัน เจ้าหนูลืมข้าไปแล้วเหรอ?”ชายซอมซ่อมองไปยังเสี่ยวไป๋ ดวงตาเป็นประกายเหมือนกำลังรำลึกถึงอดีต”หลังจากออกจากผนึก มันก็เหมือนกับการนอนหลับตื่นหนึ่งเท่านั้น มันไม่น่าจะสามารถทำให้ความทรงจำของเจ้าเลอะเลือนได้หรอกนะ”
เมื่อได้ยินร่างของเสี่ยวไป๋ก็สั่นสะท้าน มันถอยหลังไปด้านหลังช้าๆหนึ่งก้าว และถามเสียงสั่น
“ท..ท…ท่าน ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่”
“หืม ดูเหมือนว่าพิธีกรรมจะส่งผลถึงความทรงจำของเจ้าจริงๆ”ชายซอมซ่อพูดพึมพำเบาๆ ก่อนจะค่อยๆนั่งลง”เจ้าหนูมองไปรอบๆก่อน แล้วนึกดูดีๆว่าที่นี่คือที่ไหน”
“หะ”เสี่ยวไป๋มองไปรอบๆ ก่อนที่ความทรงจำบางอย่างจะค่อยๆชัดเจน มันตกยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ทะ…ที่นี่คือวัดแห่งนั้นจริงๆอย่างนั้นเหรอ”
ชายซอมซ่อพยักหน้า มือหยิบน่องไก่ทอดขึ้นมาโดยไม่ขออนุญาต”แม้ว่าจะไม่เหมือนเดิม แต่ที่นี่ยังคงเป็นวัด…เสมอ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมันได้ แม้แต่กาลเวลาก็ตาม”
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดกันอยู่ เสี่ยวเหมยก็ค่อยๆย่องหนีไปอย่างเงียบเชียบที่สุด
เสี่ยวหวงเห็นท่าทางของเสี่ยวเหมย มันก็เงยหน้าขึ้นจากชามธัญพืช และร้องเสียงดังถามด้วยความเห็นห่วง
“มออออ”
บัดซบ! เจ้าวัวโง่ เสี่ยวเหมยกรีดร้องด้วยความหัวเสีย
“นั้นเจ้าจะไปไหนเจ้าหญิงน้อย”ชายซอมซ่อกล่าวขึ้น ร่างของเสี่ยวเหมยหยุดกึก มันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
“ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าทั้งสองจะอยู่พร้อมหน้ากันได้”ชายซอมซ่อพูดแผ่วเบา สายตาแฝงไปด้วยความอบอุ่นมองคู่กัดทั้งสองที่พบเจอกันเมื่อไหร่จะต้องมีปากเสียงกันตลอด เขาไม่คิดเลยว่าผ่านไปหลายปี เขาจะได้พบเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้ง เขาถอนหายใจก่อนจะกัดลงไปที่น่องไก่ทอด
นัยน์ตาของชายซอมซ่อเบิกกว้าง ก่อนจะกล่าวชื่นชมเสียงดัง
“อร่อย!”
เสี่ยวไป๋นิ่งและเสี่ยวเหมยพยายามที่จะเงียบที่สุด ไม่ส่งเสียงรบกวนชายน่ากลัวตรงหน้า เสี่ยวหวงยังก้มลงกินอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว เสี่ยวจินสัมผัสได้ถึงความอันตรายของมนุษย์ตรงหน้า มันเบียดร่างของเสี่ยวหวง
แต่ในตอนนั้นเองนัยน์ตาสัตว์ร้ายของเสี่ยวไป๋จะเป็นประกายเจิดจ้า มันยืดตัวขึ้นช้าๆ ความหวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความเย่อหยิ่ง เสี่ยวเหมยที่เห็นก็ตกใจรีบออกห่างไปเบียดข้างเสี่ยวหวงอีกด้าน
“ฮ่าๆๆ ข้าลืมไปได้ยังไง ว่าการบ่มเพาะพลังของทุกคนจะหายไปจนหมดเมื่อออกจากผนึก แม้แต่คนเช่นท่านก็ไม่มีข้อยกเว้น”เสี่ยวไป๋กล่าวขึ้นเสียงดัง นัยน์ตาสัตว์ร้ายเป็นประกายเวววาว
ชายซอมซ่อยังคงหยิบอาหารอื่นๆขึ้นมากิน ไม่สนใจเสี่ยวไป๋แม้แต่น้อย
“หึหึ ฮ่าๆๆ ในตอนนี้ทำไมข้ายังต้องหวาดกลัวท่านอีก ในเมื่อตอนนี้ท่านไม่มีความแข็งแกร่งเหมือนในอดีตอีกแล้ว”เสี่ยวไป๋กล่าวเสียงดังขึ้นเรื่อยๆมันกล่าวปลดปล่อยความอันอั้นทั้งหมดออกมา พลังในร่างแผ่กระจายออกมาจนเกิดพายุขนาดเล็ก จานชามใส่อาหารสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอาหารเหมือนจะหกออกมา
“ข้ายังจำได้ว่าท่านเคยจับข้าไปขังที่ใต้ภูเขาปราบอสูร ข้าต้องทนรับความอับอายขายหน้าที่ถูกสัตว์ชั้นต่ำพวกนั้นกลั่นแกล้ง ความอัปยศในครั้งนั้นมันฝังลึกลงไปในจิตใจของข้าจนเกิดจิตมาร ทำให้ในตอนที่ข้าบรรลุเต๋า เพื่อกลายเป็นเทพยุทธ ข้าต้องเผชิญความยากลำบากมากกว่าคนอื่นหลายเท่า!”
ร่างของเสี่ยวไป๋ขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ เปลวเพลิงสีเขียวลุกไหม้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง ส่งกลิ่นอายร้อนแรง แค่เพียงมองก็รู้สึกว่าพลังชีวิตจะถูกเผาผลาญ
“มาต่อสู้กันเถอะ! ข้าจะทำให้ท่านต้องชดใช้ในสิ่งที่ท่านเคยทำไว้กับข้า!”
ชายซอมซ่อตวัดสายตาขึ้น
เสี่ยวไป๋สะดุ้งตกใจสุดตัวตามสัญชาตญาณ ก่อนจะรู้สึกตัว มันข่มความอับอายแยกเขี้ยวขู่
“มาสู้กับข้า!”
ปัง! ยังไม่สิ้นสุดคำพูด ร่างของเสี่ยวไป๋ก็หมุนตัว 100 กว่ารอบในเสี้ยววินาที ก่อนจะตกลงกระแทกบนพื้นอย่างแผ่วเบา
ร่างของเสี่ยวเหมยสั่นระริก มันหลับตาไม่กล้ามอง
เสี่ยวไป๋นอนบิดหัวไปมาด้วยความมึนงง ก่อนที่ร่างของมันจะค่อยๆหดตัวลงกลับไปเป็นเหมือนเดิม แรงเหวี่ยงทำให้สมองของมันถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เกิดความวิงเวียนอย่างหนัก แม้แต่จะยืนก็ไม่สามารถทำได้
“อย่ารบกวนคนอื่นในเวลาอาหาร”ชายซอมซ่อกล่าวอย่างช้าๆ แฝงพลังสะกดข่ม ทำให้ไม่มีใครกล้าขยับ ยกเว้นเสี่ยวหวงที่ยังมองซ้ายมองขวาด้วยความงุนงง มันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เสี่ยวไป๋นอนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่สติของมันจะกลับมา มันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สีหน้าของมันในตอนนี้ตกใจถึงขีดสุด
“ทะ…ท…ท่าน…”
ชายซอมซ่อยังคงลงมือกินอาหารไม่สนใจ
“เป็นไปไม่ได้! ท่านไม่ได้ถูกผนึกอย่างนั้นเหรอ? ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้! ท่านอยู่แบบนี้มาหลายหมื่นปีได้ยังไง!”เสี่ยวไป๋กรีดร้องเสียงดัง เสี่ยวเหมยที่ได้ยินก็ตกใจเช่นกัน
มันเหมือนได้ค้นพบสิ่งที่น่าตกใจที่สุดในชีวิต มันมองไปยังชายซอมซ่อด้วยสายตาหวาดกลัวและความเคารพนับถือ
เมื่อระดับการบ่มเพาะพลังสูงขึ้น อายุขัยสูงสุดของผู้บ่มเพาะพลังก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ระดับพื้นฐานขั้นที่ 9 อายุขัยจะอยู่ที่ 200 ปี ก่อกำเนิด 400 ปี ปราณปฐพี 1,000 ปราณสวรรค์ 2,500 ปี และเทพยุทธ อายุขัยจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยก็ 10,000 ปี!
แม้ว่าจะมีอายุขัยกำหนดเอาไว้ ก็จะต้องอยู่ในพื้นที่พลังธรรมชาติที่หนาแน่นเพียงพอ เพื่ีอหล่อเลี้ยงอายุขัย ถ้าอยู่ในสถานที่มีพลังธรรมชาติเบาบาวอายุขัยก็จะสั่นลงกว่าอายุขัยที่กำหนด มันจึงเป็นอีกเหตุผลที่เมื่อระดับการบ่มเพาะพลังสูงขึ้น ก็จะต้องไปยังมิติที่สูงขึ้น
เมื่อถึงระดับเทพยุทธพลังธรรมชาติบนมิตินับไม่ถ้วนก็ไม่เพียงพอ ต้องเข้าไปในดินแดนโกลาหนเท่านั้นถึงจะมีอายุขัยยั่งยืน
ตั้งแต่ที่พลังธรรมชาติของโลกค่อยๆอ่อนแอจนแทบจะไม่มี ผู้บ่มเพาะพลังชั้นสูงก็ไม่สามารถอยู่ได้อีก ถ้าเทพยุทธมาอยู่ที่มิติโลก อายุขัยของเขาจะลดลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่พันปีเท่านั้น
ทำให้ในวันนั้น ผู้บ่มเพาะพลังชั้นสูงและเทพยุทธของเผ่าพันธ์ต่างๆถึงอพยพออกจากโลก เพื่อหาสถานที่ตั้งถื่นฐานใหม่
แต่ชายตรงหน้าสามารถ อาศัยอยู่ในโลกที่แห้งแล้งถึงหลายหมื่นปี! โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ล้มตายลงตามกาลเวลา ช่างเป็นความแข็งแกร่งที่น่าอิจฉาจริงๆ
“ทำไมท่านถึงไม่จากไป ทั้งๆที่ท่านสามารถออกจากโลกได้ทุกเมื่อ”เสี่ยวไป๋ถามขึ้น
“ทำไมฉันต้องไป”ชายซอมซ่อถามกลับด้วยรอยยิ้ม แต่แววตาฉายความมืดมนไร้สิ้นสุด
เสี่ยวไป๋เลือกที่จะเงียบไม่ถามกล้าอีก จนกระทั้งชายซอมซ่อทานอาหารจนหมด เขาไม่สนใจว่าอาหารชิ้นนั้นจะถูกกินมาก่อนหรือไม่ เขากินจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่เศษอาหาร
เสี่ยวไป๋และสัตว์ตัวอื่นๆ นั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน
ชายซอมซ่อยืนขึ้น ก่อนจะหันมามองก่อนจะพูด
“ยังไงพวกเจ้าก็มาแล้ว ทำไมไม่เข้าไปในหอทดสอบก่อนละ ในอดีตพวกเจ้าทั้งสองสามารถเอาชนะการทดสอบของชั้น 3 ได้ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าคงไม่ตกลงหรอกนะ”
เสี่ยวไป๋กำลังจะปฏิเสธ แต่อยู่ๆร่างของมันและเสี่ยวเหมย เสี่ยวหวง และเสี่ยวจินก็ลอยขึ้น ก่อนจะถูกโยนเข้าไปในประตูหอทดสอบ
ชายซอมซ่อยิ้มอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหายวับไปยืนอยู่บนหอทดสอบ ก่อนจะเหม่อมองออกไป เหมือนกับว่าเขาสามารถมองทะลุสิ่งกีดขวางออกไปได้
ในหอทอสอบชั้นที่ 1
จิวโมไป๋จ้องมองไปยังรูปปั้นหินตรงหน้า กระบี่เลือนเร้นชี้ลงไปที่พื้น กลิ่นอายกระบี่แหลมคม ต้านทานพลังกดดันของฝ่ายตรงข้าม รูปปั้นหินยืนนิ่งเช่นกัน ไม่มีใครขยับตัวราวกับจะรอให้ฝ่ายตรงข้ามลงมือก่อน
จิวโมไป๋ยิ้มขึ้นอย่างแผ่วเบา กระบี่เลือนเร้นพลันฟันออกไป เกิดคลื่นกระบี่อันแหลมคม ฉีกอากาศพุ่งไปยังรูปปั้นหิน แค่พริบตาเดียวคมกระบี่ก็เข้าระยะประชิด
ดวงตาหินของรูปปั้นหินเปล่งประกายแสงสีขาวเจิดจ้า มันขยับร่างกายที่แกะสลักอย่างคล่องแคล่ว ราวกับไม่มีข้อต่อที่เชื่อมต่อกัน คลื่นพลังอันแหลมคมแผ่กระจายออกมาจากกระบี่เหล็กอย่างรุนแรง ก่อนที่จะคมกระบี่จะแทงออกไป เกิดเป็นลำแสงสีขาวฉีกอากาศด้วยความเร็วอันน่ากลัว
เปรี้ยง! คลื่นพลังปะทะกันอย่างรุนแรง เกินเป็นพายุขนาดย่อมพัดกระจายไปโดยรอบ
จิวโมไป๋แสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ร่างของเขาพลันเลือนหายไป ก่อนจะปรากฏตัวที่ด้านข้างของรูปปั้นหิน กระบี่เลือนเร้นแทงออกไปอย่างรวดเร็ว คมกระบี่ส่งกลิ่นอายอันแหลมคม
รูปปั้นหินหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ฟันกระบี่ด้วยความเร็วออกเป็นคมกระบี่จันทร์เสี้ยวเข้าปะทะ
เคร้ง! เสียงกระบี่ทั้งสองปะทะกันเสียงดังสั่น
“แข็งแกร่งกว่าที่คิด”จิวโมไป๋กล่าวแผ่วเบานัยน์ตาเป็นประกาย ก่อนที่เขาจะเร่งความเร็ว คมกระบี่ที่แทงออกไปเกิดเป็นเงานับไม่ถ้วนเข้าโจมตี
ดวงตาหินของรูปปั้นหินเปล่งประกายมากขึ้น มันควงกระบี่หมุนเป็นก่อนจะฟันออกไปนับครั้งไม่ถ้วน เกิดเป็นเงาเสี้ยวจันทร์มากมายเข้าปะทะ
เปรี้ยง!คลื่นพลังอันรุนแรงกระจัดกระจายออกไปโดยรอบ
พื้นที่พวกเขายืนอยู่เกิดแสงสีขาวบางเบา ทำให้พื้นไม่ถูกคลื่นพลังจากการต่อสู้ทำลาย
จิวโมไป๋ยิ่งต่อสู้ยิ่งตื่นเต้น หอทดสอบแห่งนี้ดูเหมือนจะยอดเยียมกว่าที่เขาคิดเอาไว้
ในอดีตเขาเคยเข้าหอทดสอบหลายครั้ง หอทดสอบประเภทการประลองกับหุ่นฝึก มักจะมีจุดอ่อนร้ายแรงที่มันไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวฉับพลันในจุดบอดได้
แต่รูปปั้นหินตรงหน้ามันสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างรวดเร็ว มันทำให้เขารู้สึกว่าต่อสู้กับคนจริงๆ ทำให้ประสบการณ์ต่อสู้ที่ได้รับมากกว่ากว่าหอทดสอบทั่วไป ทำให้คุ้นค่าของหอฝึกแห่งนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
และทักษะต่อสู้ของรูปปั้นหินยังแข็งแกร่ง บ่งบอกถึงปรมาจารย์แกะสลักที่มีความสามารถใช้การแกะสลักประติมากรรมจำแลงได้อย่างยอดเยี่ยม
การแกะสลักประติมากรรมจำแลง เป็นเทคนิกการแกะสลักชั้นสูง มีปรมาจารย์เพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้ เหตุผลเป็นเพราะขั้นตอนการแกะสลักประติมากรรมจำแลงมันยากเกินไป เพียงแค่ขั้นแรกของการแกะสลักก็ยากที่จะทำได้
ขั้นตอนแรก ผู้เป็นแบบการแกะสลักจะต้องเต็มใจ มอบวิญญาณหนึ่งในสิบของตัวเอง ให้เป็นประติมากรรมจำแลง ด้วยความเต็มใจไม่สามารถบังคับได้ ยิ่งความเต็มใจมีมากเท่าไหร่ พลังของประติมากรรมจำแลงที่จะยิ่งมีมากขึ้น
ข้อนี้เพียงขอเดียวก็ทำให้การเริ่มต้นก็ยากแล้ว การสูญเสียวิญญาณหนึ่งในสิบมันสร้างความเสียหายให้กับผู้บ่มเพาะพลังอย่างมาก ใครที่มีวิญญาณอ่อนแอ อาจเสียสติไปเลยก็มี ทำให้ไม่มีใครเต็มใจเสียวิญญาณเพื่อเป็นแบบการแกะสลัก
แค่ขั้นตอนแรกก็ยากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงขั้นตอนอื่นที่ยากกว่าหลายเท่า
แม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถทำได้
จากความแข็งแกร่งของรูปปั้นเบื้องหน้า ทำให้เขามั่นใจว่า ผู้บ่มเพาะพลังที่เป็นแบบแกะสลัก จะต้องเต็มใจอย่างสูงสุดที่จะมอบวิญญาณให้เป็นประติมากรรมจำแลง ความแข็งแกร่งของรูปปั้นจึงเหมือนคนจริงๆอย่างมาก
มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่พนังห้อง เขานับคร่าวๆก็พบว่ามีมากกว่าหมื่นงานแกะสลัก งานแกะสลักพวกนี้คงจะเป็นประติมากรรมจำแลงทั้งหมด
เขาอยากจะพบจริงๆว่าใครกันสามารถแกะสลักงานทั้งหมดได้
เคร้ง! คมกระบี่ปะทะกันอีกครั้ง ก่อนที่จิวโมไป๋จะถอยออกมาเล็กน้อยก่อนจะสูดลมหายใจช้าๆ นัยน์ตาสองข้างจ้องไปยังรูปปั้นหินเป็นประกาย เขาสามารถวัดความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินตรงหน้าได้แล้ว มันอยู่ที่ขั้นที่ 4 อวัยวะภายในต้น เท่ากับเขา และที่น่าตกใจคือ วิชากระบี่ที่ใช้มันเป็นวิชากระบี่ชั้นสูง ระดับเข้าใจ!
ความลึกซึ้งของวิชากระบี่ชั้นสูงระดับเข้าใจ ที่รูปปั้นหินใช้เกือบจะอยู่บนจุดสูงสุด
และร่างกายของรูปปั้นหินแฝงไปด้วยพลังวิญญาณของปรมาจารย์แกะสลัก ความทนทานของมันจึงเหนือรูปปั้นหินทั่วไปหลายเท่า การโจมตีทั่วๆไปไม่สามารถสร้างความเสียหายได้
สำหรับผู้ทดสอบคนอื่น มันเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะ แต่สำหรับจิวโมไป๋มันเป็นคู่ต่อสู้ที่ยอดเยียม เหมาะกับการฝึกฝนอย่างมาก
เมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังกังวลว่าไม่สามารถฝึกฝนวิชากระบี่พื้นฐาน ให้ผ่านขอบเขตไปถึงระดับเจตจำนงได้
แต่ในตอนนี้’โอกาส’ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว เขาไม่ไขว่คว้าเอาไว้ก็โง่เต็มทน
วูบ! ร่างของจิวโมไป๋พลันเลือนลางก่อนจะหายวับไปปรากฏที่หลังของรูปปั้นหิน คมกระบี่เลือนเร้นถูกหลอมรวมกลายเป็นลำแสงแทงตรงไปที่หลังรูปปั้น
รูปปั้นหินพลิกร่างหันกลับมายกระบี่ตั้งรับได้ทัน แต่มันก็เสียหลักถูกพลังโจมตีผลักถอยหลังไปสามก้าว จิวโมไป๋โจมตีตามไปติดๆ
ในตอนนี้เขาใช้พลังทั้งหมด ไม่ต้องซ่อนพลังอีก!
เปรี้ยง! คมกระบี่ด้วยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายและวิชากระบี่พื้นฐานระดับเข้าใจ ทุกการโจมตีสร้างรอยร้าวบนร่างของรูปปั้นหินมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ระดับการบ่มเพาะพลังจะเท่ากัน และมีระดับความเข้าใจวิชากระบี่ที่เหนือกว่า แต่ยังไงรูปปั้นก็เป็นเพียงรูปปั้น แม้ว่าการใช้เคลื่อนไหวจะปราดเปรียวว่องไว ไม่ติดขัด สามารถโจมตีและป้องกันได้อย่างแม่นยำ แต่มันไม่มีสัญชาติญาณในการต่อสู้
หลังจากปะทะกันไปหลายสิบครั้ง จิวโมไป๋ก็จับทางรูปปั้นหินได้ เขาโจมตีอย่างใจเย็น เมื่อเวลาผ่านไปเขาสามารถสร้างความเสียหายบนร่างของรูปปั้นหินได้มากขึ้น รอยร้าวก็แตกมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยประสบการณ์ต่อสู้หลายสิบปี เขาสามารถเอาชนะรูปปั้นหินอย่างง่ายดาย แต่เขายังไม่รีบจบการต่อสู้ เขาต้องทดสอบการเคลื่อนไหวของรูปปั้นหินเพื่อที่จะนำไปใช้กับชั้นต่อไป
“น่าเสียดาย ที่รูปปั้นหินไม่มีวิญญาณแฝงเหลืออยู่”จิวโมไป๋ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าแบบแกะสลักของรูปปั้นหินอันนี้จะเสียชีวิตแล้ว ถ้าแบบแกะสลักยังไม่เสียชีวิต รูปปั้นหินจะยังคงมีสัญชาติญาณในการต่อสู้อยู่บ้าง ไม่ได้ต่อสู้เหมือนถูกตั้งโปรแกรมแบบนี้
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อ จนถึงการปะทะครั้งที่ 500 จิวโมไป๋ก็แทงทะลุอกรูปปั้นหิน ร่างของมันแตกร้าวก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่นและหายไป
จิวโมไป๋มองไปที่กระบี่เลือนเร้นด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา ระดับความเข้าใจระบี่พื้นฐานของเขาก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อย
ในสตอนนั้นเองเสียงก็ดังขึ้นในหัวของเขา
“จบการทดสอบชั้นที่ 1 สามารถเข้าไปเลือกเคล็ดวิชา ภายในศาลาคำภีร์ชั้น 1 ได้ 2 เล่ม”
ภาพเบื้องหน้าของจิวโมไป๋ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นห้องโถงภายในหอทดสอบธรรมดา เขามายืนอยู่หน้าบันไดขึ้นไปชั้น 2
จิวโมไป๋มองออกไปนอกประตู ก่อนจะหันกลับมา เขาตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นสองโดยไม่พัก เมื่อเท้าเยียบลงไปบนขั้นบันได ภาพเบื้องหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป กลายเป็นห้องกว้าง 200 เมตร พนังทุกด้านมีรูปแกะสลักเหมือนกับชั้นที่ 1 เพียงแค่ขยายขนาด
เสียงก็ตั้งขึ้นในหัวของจิวโมไป๋อีกครั้ง
“การทดสอบชั้นที่ 2 เอาชนะฝ่ายทุกข้ามทั้งหมดภายใน 1 ชั่วโมง”
จบคำงานแกะสลัก 9 รูปก็ส่องประกาย ก่อนจะมีรูปปั้นหิน 9 ร่างปรากฎขึ้นล้อมรอบร่างของจิวโมไป๋ ในมือของพวกมันถืออาวุธแตกต่างกันและมีบางรูปปั้นไม่มีอาวุธ
รูปปั้นมือเปล่า 3 ตัว รูปปั้นดาบ 2 ตัว รูปปั้นกระบี่ 2 ตัว รูปปั้นหอก 2 ตัว
ทันทีที่เขาเห็นรูปปั้นทั้ง 9 ใบหน้าจิวโมไป๋กลายเป็นเคร่งเครียดทันที เขาได้คาดเดาบางอย่างได้
“ถ้าชั้นที่ 2 มีรูปปั้น 9 ตัว ชั้นที่ 3 คงไม่มีรูปปั้น 81 ตัว หลอกนะ”
—
คอมเม้นต์