ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 12 จางชุ่ยซานหนีไปแล้ว

อ่านนิยายจีนเรื่อง ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ ตอนที่ 12 จางชุ่ยซานหนีไปแล้ว อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 12 จางชุ่ยซานหนีไปแล้ว

บะหมี่หมั่นโถวเหมือนจะมีบารมีมากในหมู่ผู้เล่นสำนักเส้าหลิน หลังจากเขาเดินออกมา คนที่เหลือก็เหมือนจะถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก ท่าทางเหมือนปล่อยให้เขามีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้

บนใบหน้าของเขายังเจือรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนตามความเคยชิน บะหมี่หมั่นโถวไม่ได้กล่าวอะไรอีก แต่ดูจากสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงเป็นระยะของผู้เล่นสำนักเส้าหลินคนอื่น ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังปรึกษาอะไรบางอย่างกันผ่านทีมหรือไม่ก็ห้องแชทสำนัก หลังจากนั้นครู่เดียว บะหมี่หมั่นโถวจึงได้เอ่ยปากอีกครั้ง “สหายเว่ยหมิง เมื่อครู่ฟังจากที่เจ้าพูด เหมือนเจ้าจะมาสืบหาความจริงคดีฆ่าล้างสำนักคุ้มภัยหลงเหมินเหมือนกัน แล้วผู้ร้ายที่โฉดชั่วป่าเถื่อนคนนั้นก็คือเขา!”

ขณะที่พูด บะหมี่หมั่นโถวก็ชี้ไปยังชายหนุ่มที่เปิดโหมดถืออาวุธคู่สู้แบบหนึ่งต่อเจ็ด “คนผู้นี้ก็คือจางชุ่ยซาน ผู้ที่มีทั้งความแข็งแกร่งและนุ่มนวล หนึ่งในเจ็ดจอมยุทธ์แห่งอู่ตัง เขาเคียดแค้นที่สำนักคุ้มภัยหลงเหมินปฏิบัติหน้าที่ไม่ดี ทำให้อวี้ไต้เหยียนถูกทำลายเส้นเอ็นมือเท้า เต็มไปด้วยความคิดจะฆ่าคน

คนผู้นี้ฉายเดี่ยวสู้กับพระชั้นสูงรุ่นฉายานามหยวนสามรูป และรุ่นฉายานามฮุ่ยสี่รูปของเส้าหลินได้ ก็แสดงว่ามีความสามารถในการฆ่าคนเช่นกัน กอปรกับตอนก่อคดี เขาก็สารภาพกับอาจารย์อาหยวนอินแล้ว…ดังนั้น สหายเว่ยหมิง สำหรับพฤติกรรมมุทะลุก่อนหน้านี้ ข้าต้องขออภัยเจ้าก่อน แต่พวกเราควรจะอยู่ในแนวรบเดียวกันไม่ใช่หรือ”

ตอนที่บะหมี่หมั่นโถวกล่าวจบ ผู้เล่นอู่ตังที่นำโดยอินปู้คุยก็มองเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาระแวดระวังพร้อมกัน

ก็อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ผู้เล่นแต่ละคนเพิ่งจะกราบอาจารย์เข้าสำนัก ในหมู่พวกเขาความสามารถยังไม่ทิ้งห่างกันชัดเจนมากนัก จำนวนคนมักจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความแตกต่างของกำลังระหว่างสองฝ่าย

แต่สถานการณ์ของเยี่ยเว่ยหมิงกลับค่อนข้างพิเศษ

ก่อนจะมาที่นี่ เขาทำภารกิจเกินเป้าหมายสำเร็จไปแล้ว นอกจากนี้ ของที่เขาดรอปได้จากการเก็บศพก็ทำให้เขาอัป ‘เคล็ดชำระปราณ’ กับ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ จนถึงเลเวลหกแล้วทั้งคู่ แต่ผู้เล่นคนอื่นที่เพิ่งเข้าสำนัก ส่วนใหญ่คงจะฝึกทักษะยุทธ์เลเวลต่ำในสำนักกันหมด ถึงแม้ทักษะยุทธ์จะมีระดับคุณภาพสูงกว่าเยี่ยเว่ยหมิงหนึ่งระดับ แต่เลเวลกลับธรรมดามาก โดยทั่วไปอยู่ที่เลเวลสองและเลเวลสามเท่านั้น

ส่วนทักษะยุทธ์ที่บอกว่าได้รับตอนอยู่หมู่บ้านมือใหม่ก่อนหน้านี้น่ะหรือ? ขออภัยด้วย ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ นี้ ทักษะยุทธ์ที่กระบวนท่าแตกต่างกัน จะนำประทธิภาพมาทบกันไม่ได้

ดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงที่ใช้เคล็ดกระบี่ที่ไม่เข้าขั้นมาตลอด เมื่ออยู่บนสนามต่อสู้ของวันนี้ กลับกลายเป็นคนที่ได้เปรียบที่สุด ความสามารถของเขาอาจไม่ได้เก่งกาจที่สุดในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ แต่เขาเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในนี้แน่นอน เป็นประเภทที่ฉายเดี่ยวสู้กับผู้เล่นทั่วไปได้พร้อมกันสามสี่คน

บวกกับก่อนหน้านี้เขาใช้วิชาตัวเบาที่เหนือกว่าคนอื่น ในสายตาของผู้เล่นทั้งสองฝ่าย แม้จะยังอาศัยแรงของเขาคนเดียวสร้างอำนาจฝ่ายที่สามไม่ได้ แต่ท่าทีของเขาก็ส่งผลกระทบต่อตราชั่งผลแพ้ชนะว่าจะเบนเข็มไปทางไหนแน่นอน

“สหายเว่ยหมิง” ตอนนี้อินปู้คุยเอาเยี่ยงอย่างบะหมี่หมั่นโถวบ้างแล้ว เปลี่ยนคำเรียกแล้ว พร้อมทั้งบอกว่า “พวกเรามาถึงสำนักคุ้มภัยหลงเหมินพร้อมกับอาจารย์ลุงห้า ตอนที่พวกเรามาถึง คนพวกนั้นในสำนักคุ้มภัยก็ตายไปแล้ว ข้าเป็นพยานได้ อาจารย์ลุงห้าไม่ใช่ผู้ร้ายแน่นอน”

“หึ!” สำหรับอินปู้คุย บะหมี่หมั่นโถวไม่ได้เกรงใจเขาขนาดนั้น ทำเสียงฮึดฮัดดูถูกแล้วบอกว่า “พวกเจ้าถึงขนาดเรียกเขาว่าอาจารย์ลุงห้า ก็ย่อมต้องช่วยพูดให้เขาอยู่แล้ว”

“เหลวไหล!”

“อับอายจนโมโหแล้วหรือ”

……

ขณะที่คุยกัน บะหมี่หมั่นโถวกับอินปู้คุยก็เริ่มด่ากันแล้ว

เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะถกเถียงกันอย่างไร แต่หันไปมองจางชุ่ยซานที่กำลังสู้แบบหนึ่งต่อเจ็ด พร้อมตะโกนถามเสียงดังว่า “จอมยุทธ์ห้าจาง คดีฆ่าล้างสำนักคุ้มภัยหลงเหมิน เป็นฝีมือของท่านหรือเปล่า”

เมื่อถามเช่นนี้ออกมา ทุกคนก็มองไปทางเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาเวทนาในความปัญญาอ่อน

วิธีการถามแบบนี้ มันเหมือนเกมเด็กเล่นไปหน่อยแล้วมั้ง?

ส่วนจางชุ่ยซานก็ตอบอย่างทะนงตัว “ข้าไม่ได้ฆ่าคน!”

“เอาละ ข้าเข้าใจแล้ว!” ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็นำป้ายอาญาสิทธิ์แสดงตัวตนออกมา แล้วบอกกับคนที่กำลังสู้กันอยู่ว่า “ผู้น้อยเยี่ยเว่ยหมิงจากสำนักมือปราบเทพ ได้รับคำสั่งให้มาสืบคดีฆ่าล้างสำนักคุ้มภัยหลงเหมินโดยเฉพาะ ทุกคนกรุณาหยุดก่อน ฟังข้าก่อน”

จางชุ่ยซานได้ยินดังนั้นก็โบกพู่กันผู้พิพากษาด้วยมือขวาอย่างต่อเนื่อง เขียนตัวอักษระ ‘หลง’ เอาไว้กลางอากาศอย่างชัดเจน คลื่นพลังอันดุดันบีบให้เจ็ดยอดฝีมือของสำนักเส้าหลินต้องหลีกไป ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากถามว่า “หลวงพี่ทั้งหลาย เหตุใดไม่ลองฟังดูสักหน่อยว่าเจ้าหน้าที่ท่านนี้ต้องการจะพูดอะไร”

NPC ทั้งเจ็ดแห่งเส้าหลินย่อมรู้ว่าไม่อาจจัดการจางชุ่ยซานได้ภายในเวลาสั้นๆ แม้สีหน้าจะแย่มาก แต่ก็ยังหยุดโจมตีตามการบอกใบ้ของหัวหน้ากลุ่ม

ทั้งสองฝ่ายหยุดต่อสู้กันชั่วคราว NPC ถือไม้ขักขระที่เป็นหัวหน้าขบวนต่อสู้เส้าหลินหันกลับมาถามเยี่ยเว่ยหมิงว่า “ใต้เท้ามีความเห็นอันสูงส่งเช่นไร” ตอนที่พูดไม่ได้แสดงมารยาทของชาวพุทธ น้ำเสียงก็ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย ถึงขั้นไม่ประกาศฉายานามของตัวเองออกมาด้วยซ้ำ

จากสิ่งนี้ จะเห็นได้ถึงคำกล่าวของจ่านเจาก่อนหน้านี้ว่าคนในยุทธภพไม่ชอบ ‘สุนัขรับใช้ของราชสำนัก’ ไม่ใช่การจงใจขู่ให้ตระหนกแน่นอน!

สำหรับท่าทีของอีกฝ่าย เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้แสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย เพียงกล่าวอย่างสบายๆ มากว่า “จอมยุทธ์ห้าจางเพิ่งบอกไปว่าเขาไม่ได้สังหารคนของสำนักคุ้มภัยหลงเหมิน ข้าจึงรู้สึกว่า การที่สำนักเส้าหลินชี้ชัดว่าจอมยุทธ์ห้าจางเป็นผู้ร้ายนั้น ดูจะเป็นการทึกทักเอาเองไปหน่อย”

หลวงจีนที่ถือไม้ขักขระได้ยินแล้วเกิดโทสะ “เขาพูดอะไรเจ้าก็เชื่ออย่างนั้น เจ้าหน้าที่ของราชสำนักเขาทำงานกันอย่างนี้เองหรือ”

เยี่ยเว่ยหมิงยังยิ้มไม่เปลี่ยน ถามกลับว่า “พวกเจ้าชี้ชัดว่าจอมยุทธ์ห้าจางเป็นผู้ร้าย ก็เพียงเพราะจอมยุทธ์ห้าจางยอมรับฐานะของตัวเองเหมือนกันไม่ใช่หรือ”

หลวงจีนที่ถือไม้ขักขระน้ำเสียงอ่อนลง แต่ก็พูดต่ออีกทันทีว่า “ตูต้าจิ่นถูกสังหารทั้งสำนัก เขากลับเพิ่งปรากฏตัวที่นี่ สิ่งนี้จะอธิบายอย่างไร มิหนำซ้ำ ฮุ่ยเฟิงก็เห็นกับตาตัวเองว่าเขาลงมือสังหารคน แล้วสิ่งนี้จะอธิบายอย่างไรอีก”

“ข้ามิได้บอกว่าจอมยุทธ์ห้าจางไม่ได้ไม่น่าสงสัย เพียงแต่จะบอกว่าหลักฐานที่มีตอนนี้ไม่เพียงพอจะชี้ตัวผู้ร้ายก็เท่านั้น” ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็เดินไปที่ศพร่างหนึ่งบนพื้น ชี้อาวุธลับหลายจุดบนหลังคอเขาพร้อมบอกว่า “ผู้คุ้มภัยท่านนี้ตายด้วยอาวุธลับ…” จากนั้นก็ชี้ไปอีกศพ “คนงานในสำนักคุ้มภัยคนนี้ถูกพลังกรงเล็บบีบจนคอหัก แล้วก็ผู้คุ้มภัยท่านนี้อีก…”

ใช้เวลาสิบกว่านาที เยี่ยเว่ยหมิงไล่วิเคราะห์บาดแผลของผู้ตายในสำนักคุ้มภัยหลงเหมินทีละศพจนครบ สุดท้ายกล่าวสรุปว่า “สำนักคุ้มภัยหลงเหมินมีทั้งหมดหกสิบเจ็ดคน ในจำนวนนั้น ผู้คุ้มภัยที่มีทักษะยุทธ์ส่วนใหญ่ล้วนถูกสังหารด้วยอาวุธลับ มีส่วนน้อยที่ตายด้วยพลังฝ่ามือ ส่วนเด็ก สตรี และคนชราในสำนัก รวมทั้งคนงานที่ไม่มีพลังต่อสู้อะไร ทั้งหมดตายด้วยพลังกรงเล็บ”

ทุกคนได้ยินแล้วพยักหน้าพร้อมกัน เมื่อดูจากสาเหตุการตาย ก็เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับวิถีทักษะยุทธ์ของจางชุ่ยซาน

ตอนนี้กลับได้ยินหลวงจีนที่ถือไม้ขักขระรูปนั้นกล่าวว่า “ฝีมือการใช้อาวุธลับ ไม่ว่าสำนักไหนในยุทธภพก็มีทั้งนั้น อู่ตังย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น ส่วนที่บอกว่าเป็นพลังกรงเล็บนั้น กรงเล็บสะบั้นตระกูลของจอมยุทธ์สองแห่งอู่ตัง ก็ทำให้คนหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อเหมือนกัน แม้จอมยุทธ์ห้าจางจะไม่เคยฝึก แต่ในบรรดาผู้เล่นศิษย์สำนักอู่ตังที่อยู่ตรงนี้ ก็รับประกันได้ยากว่าไม่มีผู้สืบทอดของเขา”

ความหมายที่จะสื่อก็คือ จางชุ่ยซานยังคงเต็มไปด้วยเงื่อนไขในการก่อคดี

ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวอย่างสุขุมใจเย็น “ข้อหนึ่ง จอมยุทธ์ห้าจางไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ร้าย ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าสารภาพเองกับปากก็ย่อมไม่นับ ข้อสอง อาการบาดเจ็บที่ทำให้คนสำนักคุ้มภัยหลงเหมินถึงแก่ความตายไม่สอดคล้องกับวิถีของจอมยุทธ์ห้าจาง อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ลักษณะการต่อสู้ของเขา แน่นอน แต่เพียงสองข้อข้างต้นไม่อาจตัดจอมยุทธ์ห้าจางออกจากผู้ต้องสงสัยได้โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าพวกเราจะบอกว่าเขาเป็นผู้ร้าย หรือบอกว่าไม่ใช่ผู้ร้าย ก็ล้วนไม่มีหลักฐานเพียงพอ”

ตอนนี้หลวงจีนที่ถือไม้ขักขระกล่าวว่า “ดังนั้นพวกเราถึงต้องจับตัวจางชุ่ยซานไว้ เพื่อสอบสวนความจริงของเรื่องนี้”

“นี่ก็คือประเด็นสำคัญ” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “แล้วพวกเจ้าจัดการได้หรือเปล่าล่ะ”

หลวงจีนที่ถือไม้ขักขระทำเสียงฮึดฮัดแล้วไม่พูดอะไรอีก ถ้าพวกเขาจัดการจางชุ่ยซานได้ ก็คงจัดการไปนานแล้ว มีหรือที่จะมาฟังมือปราบเล็กๆ คนเดียวพูดไม่รู้จักจบจักสิ้นอย่างนี้

เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ นี่ก็คือเสาเหตุที่เขาสั่งให้หยุดการต่อสู้อย่างมั่นใจมาก “ในเมื่อไม่มีใครทำอะไรใครได้เสียที เหตุใดไม่นั่งลงคุยกันดีๆ ด้วยความใจเย็น หากทุกคนคุยกันด้วยเหตุผล ไม่แน่ว่าอาจจะเจอเบาะแสที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สังเกตเห็นก็ได้”

“ใครกัน!” ตอนนี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจางชุ่ยซานตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ร่างกายพลันดีดขึ้นจากพื้น ปลายเท้าซ้ายแตะพื้นเล็กน้อย ร่างเปลี่ยนเป็นเงาเลือนสายหนึ่ง หายไปจากสำนักคุ้มภัยหลงเหมินแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าจางชุ่ยซานจะหนีไปแล้ว!

เยี่ยเว่ยหมิงเห็นสถานการณ์ดังนั้นก็โมโหจนแทบจะกระทืบเท้าด่าแม่ ฉันอุตส่าห์หวังดีช่วยแก้สถานการณ์ให้นาย แต่ดูนายสิ ไม่น่าเชื่อว่าจะไหลลื่นเหมือนทาน้ำมันที่ฝ่าเท้า เราไม่ควรทรยศเพื่อนในทีมอย่างนี้สิ?

ถึงขนาดว่าไม่ใช่แค่เยี่ยเว่ยหมิง แม้แต่สำนักผู้เล่นอู่ตังที่อยู่ตรงนั้นก็หน้าเจื่อนไปเช่นกัน บนใบหน้าทุกคนเผยความรู้สึกอ้างว้างจากการถูกทิ้ง

ก็เหมือนกับเวลาที่พวกเขามอบความจริงใจทั้งหมดให้ใครสักคน แต่กลับไปเจอผู้ชายเฮงซวยที่พอเสร็จกิจหยิบกางเกงใส่แล้วก็เบี้ยวสัญญาที่เคยให้ไว้

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด