ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 203 ยอมจำนนแพ้ครึ่งเดียว

อ่านนิยายจีนเรื่อง ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ ตอนที่ 203 ยอมจำนนแพ้ครึ่งเดียว อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 203 ยอมจำนนแพ้ครึ่งเดียว

จั่วเหลิ่งฉานลงมือเอง ถ้าคิดจะเอาชีวิตอวี๋ชางไห่ หลักฐานยังสำคัญอีกหรือ

ไม่สำคัญแล้ว!

แต่ก็ยังสำคัญอยู่ดี!

ถ้าจะบอกว่าหลักฐานไม่สำคัญ นั่นก็เป็นเพราะเมื่อจั่วเหลิ่งฉานตัดสินใจเมื่อไร ไม่ว่าหลักฐานจะเป็นของจริงหรือไม่ เขาก็จะลงมือกับอีกฝ่ายอยู่ดี เพราะหมัดของเขาใหญ่กว่าอวี๋ชางไห่!

ถ้าจะบอกว่าหลักฐานสำคัญ นั่นก็เป็นเพราะเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการจะลงมือ ก็จะต้องมีเหตุผลสักอย่างเพื่อโน้มน้าวใจทุกคน หลังจากจบเรื่องแล้วถึงจะไม่ส่งผลกระทบด้านลบต่อชื่อเสียงของประมุขห้าขุนเขากระบี่อย่างเขามากเกินไป

อย่างไรเสียจั่วเหลิ่งฉานกับเย่ว์ปู้ฉวินก็ต่างกัน

เย่ว์ปู้ฉวินเสียสละลิ่งหูชงเพื่อใช้กลยุทธ์ทุกข์กาย[1]ได้ กอปรกับมีเจ้าทุกข์อย่างหลินผิงจือคอยบรรยายพฤติกรรมน่ารังเกียจของอวี๋ชางไห่ ด้วยคาแรคเตอร์ของเขา การลงมือเพื่อปกป้องความยุติธรรมก็เป็นข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบมาก

อย่างไรเสียก็เป็นกระบี่วิญญูชน

การล้างแค้นให้ลูกศิษย์บวกกับกำจัดภัยให้ยุทธภพ สองข้อนี้เพียงพอที่จะกลายเป็นเหตุผลให้เขากำจัดอวี๋ชางไห่ทิ้งแล้ว!

ชาวยุทธ์ได้ฟังแล้วมีแต่จะปรบมือ ไม่ส่งผลเสียต่อฉายากระบี่วิญญูชนของเขาสักนิด

แต่จั่วเหลิ่งฉานน้ำต่างกัน คุณธรรมของชาวยุทธ์อะไรนั่นไม่สอดคล้องกับคาแรคเตอร์ของเขาเลย!

ในฐานะหนึ่งในประมุขห้าสำนักขุนเขากระบี่ เขาจะต้องใช้ข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเพื่อนร่วมยุทธภพ หลังจากกำจัดอวี๋ชางไห่แล้ว ถึงจะทำให้ทุกคนว่าอะไรไม่ได้!

ด้วยเหตุนี้เอง อวี๋ชางไห่ถึงได้สมคบกับพรรคฝ่ายมาร!

ไม่ใช่เพราะเขาสมคบกับพรรคฝ่ายมาร จั่วเหลิ่งฉานถึงลงมือกับเขาได้

แต่เป็นเพราะจั่วเหลิ่งฉานต้องการลงมือกับเขา เขาถึงต้องสมคบกับพรรคฝ่ายมาร!

เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์นี้ หลักฐานเพียงพอหรือไม่ ได้กลายเป็นมาตรฐานหนึ่งที่ชาวยุทธ์ใช้ตัดสินพฤติกรรมของจั่วเหลิ่งฉาน ถ้าหลักฐานไม่เพียงพอ แม้จะเปลี่ยนชะตากรรมของอวี๋ชางไห่ไม่ได้ แต่หลังจากจบเรื่อง จั่วเหลิ่งฉานจะต้องแบกรับความเสียหายด้านชื่อเสียงบารมีพอสมควร ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อเขาในการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับห้าสำนักขุนเขากระบี่ด้วย

แน่นอนว่าจั่วเหลิ่งฉานไม่อยากแบกรับสิ่งนี้

ในฐานะประมุขห้าสำนักขุนเขากระบี่ เขาทั้งอยากได้ตำรากระบี่พิชิตมาร ทั้งอยากได้ชื่อเสียง!

ส่วนหลักฐานที่ดาบฟันรองเท้าแตะบอก ก็กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะโค่นล้มอวี๋ชางไห่

ตอนที่อวี๋ชางไห่คิดไปเองอย่างไร้เดียงสาว่าหลังจากตนเสียเรือเพื่อรักษาขุนแล้วจั่วเหลิ่งฉานจะปล่อยตนไป ตรงด้านนอกเขตลานบ้านใหญ่ตระกูลอวี๋ จู่ๆ ก็มีผู้เล่นที่สวมเครื่องแบบศิษย์พรรคสุริยันจันทราสิบคนปรากฏตัว

พอพวกเขาปรากฏตัว ก็ตะโกนเสียงดังทันที

“ศิษย์พรรคสุริยันจันทรา หลัวหลานซาง!”

“ศิษย์พรรคสุริยันจันทรา คนเฝ้าสุสาน!”

“ศิษย์พรรคสุริยันจันทรา โง่บัดซบ!”

“พรรคสุริยันจันทรา…”

……

หลังจากผู้เล่นทั้งสิบประกาศชื่อตัวเองเสร็จแล้ว ทุกคนก็เงียบลงพร้อมกับที่หนึ่งในศิษย์พรรคสุริยันจันทราที่เรียกตัวเองว่าหลัวหลานซางเริ่มนับ “หนึ่ง สอง สาม!” ให้อีกเก้าคนฟังเสียงเบาๆ

พอจบคำว่า ‘สาม’ ทั้งสิบก็ตะโกนพร้อมกันว่า “พวกเรามาอวยพรวันเกิดให้ประมุขอวี๋!”

พอพูดจบ ทั้งสิบก็เข้ามาในเขตลานบ้านพร้อมกัน พวกเขาเดินฝ่าเข้ามาโค้งตัวให้อวี๋ชางไห่ราวกับรอบข้างไม่มีคน อีกทั้งผู้เล่นที่ชื่อหลัวหลานซางก็รับหน้าที่พูดเปิด “พวกเราทั้งสิบได้รับคำสั่งจากหยางเหลียนถิง ผู้ดูแลพรรคสุริยันจันทรา ให้มาอวยพรวันเกิดให้ประมุขอวี๋ ขอให้ประมุขอวี๋ปราดเปรื่องทั้งบุ๋นบู๊ บารมีสะท้านห้าขุนเขา เกษมสำราญ อายุยืนเทียมฟ้า!”

เมื่อหลัวหลานซางพูดจบ ศิษย์พรรคสุริยันจันทราอีกเก้าคนก็ตะโกนตาม “ขอให้ประมุขอวี๋ปราดเปรื่องทั้งบุ๋นบู๊ บารมีสะท้านห้าขุนเขา เกษมสำราญ อายุยืนเทียมฟ้า!”

ไม่รู้เหมือนกันว่าก่อนมาที่นี่เจ้าพวกนี้ฝึกฝนมากี่รอบแล้ว มาตรฐานการเคลื่อนไหวของพวกเขา ความเป็นหนึ่งเดียวของจังหวะเสียง เต็มไปด้วยความหมายแฝงที่ทำให้ผู้เล่นคนอื่นแปลได้เป็นคำคำหนึ่ง

นั่นก็คือ…มืออาชีพ!

เมื่อได้เห็นฉากนี้ แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิงเองก็ตะลึงค้างกับพฤติกรรมสุดแสบของดาบฟันรองเท้าแตะ

ไม่น่าเชื่อว่าจะเชิญนักแสดงมาได้ เจ้าหมอนี่มีพรสวรรค์จริงๆ ด้วย!

ผู้เล่นศิษย์พรรคสุริยันจันทราสิบคนมาอวยพรวันเกิดให้อวี๋ชางไห่ เรื่องแบบนี้จะว่าเล็กก็เล็กจะว่าใหญ่ก็ใหญ่

ถ้าพูดให้ฟังดูเป็นเรื่องเล็ก ท่าทีของผู้เล่นตัดสินอะไรไม่ได้เลย มิหนำซ้ำยังเป็นผู้เล่นที่ตั้งท่าเป็นศัตรู อวี๋ชางไห่ถึงขั้นแก้ต่างได้ว่าคนของพรรคฝ่ายมารจงใจใส่ร้าย มีคำพูดปฏิเสธตั้งมากมาย

ถ้าพูดให้ฟังดูเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องแบบนี้ทำให้ข้อกล่าวหาที่ว่าอวี๋ชางไห่สมคบกับพรรคฝ่ายมารกลายเป็นความจริงแล้ว!

ประเด็นก็คือต้องดูว่าสุดท้ายผู้มีอำนาจตัดสินเรื่องนี้จะว่าอย่างไร

แต่ในเวลานี้ ผู้มีอำนาจนี้ หรือผู้มีสิทธิ์กระทำเช่นนี้อย่างจั่วเหลิ่งฉาน ก็คือคนที่ตั้งใจจะเอาชีวิตอวี๋ชางไห่ และเป็นผู้ออกความคิดเรื่องทั้งหมดด้วย!

ยามเผชิญหน้ากับวิธีการที่ดุดันเด็ดขาดเช่นนี้ อวี๋ชางไห่ได้แต่รู้สึกวิงเวียนศีรษะตาพร่ามัว แทบจะโมโหจนเป็นลมไปตรงนั้น แต่เขาก็ยังพยายามรับมือด้วยความสุขุม ตะคอกใส่พวกผู้เล่นของพรรคสุริยันจันทราว่า “พวกเจ้าเป็นคนเสนียดจัญไรของพรรคฝ่ายมาร อย่าคิดจะใส่ร้ายอวี๋ผู้นี้ ประมุขพรรคจั่วมีสายตาเฉียบแหลม ไม่ถูกพวกเจ้าปลุกปั่นแน่นอน!”

“หา!” เมื่อได้ยินอวี๋ชางไห่กล่าวเช่นนี้ สิบผู้เล่นพรรคสุริยันจันทราก็เผยสีหน้าตกตะลึงพร้อมกันทันที หลัวหลานซางที่เป็นผู้นำเปลี่ยนเป็นพูดว่า “ที่แท้ประมุขพรรคจั่วก็อยู่ที่นี่ด้วย ที่จริงก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความเข้าใจผิด เป็นความรู้สึกที่หลอนไปเอง!”

“พวกเราไม่ได้มาอวยพรวันเกิดให้ประมุขอวี๋ แต่มาสืบข่าวที่เขาชิงเฉิง ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีแบบนั้น”

“นอกจากนี้! พฤติกรรมทั้งหมดของประมุขอวี๋ล้วนเป็นพวกเราที่ใส่ร้ายเขา เขาไม่ได้สมคบกับพรรคสุริยันจันทราของพวกเราเลย ไม่ได้คิดจะชิง ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ของสำนักคุ้มภัยฝูเวยไปมอบให้ประมุขตงฟางด้วย ไม่ได้ทรยศและส่งข่าวลับของห้าสำนักขุนเขากระบี่มาให้พวกเราจนห้าสำนักขุนเขากระบี่สูญเสียกำลังพลในช่วงก่อนหน้านี้ด้วย เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับประมุขอวี๋เลยสักนิด!”

“อวี๋ ชาง ไห่!”

จั่วเหลิ่งฉานมองอวี๋ชางไห่ด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ กัดฟันเค้นคำพูดออกมาว่า “ข้ายังสงสัยว่าช่วงก่อนหน้านี้ เหตุใดศิษย์หัวกะทิของห้าสำนักขุนเขากระบี่ถึงถูกคนของพรรคฝ่ายมารทำร้ายต่อเนื่อง ที่แท้ทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้า!”

“ไม่ใช่!” อวี๋ชางไห่ได้แต่เถียงกลับอย่างไร้สามารถ จากนั้นชี้กระบี่ไปที่หลัวหลานซาง “พวกเจ้าเป็นคนชั่วของพรรคฝ่ายมาร บังอาจมาใส่ร้ายป้ายสีข้า ข้าจะสังหารพวกเจ้า!”

หลัวหลานซางเห็นแล้วตกใจจนหน้าถอดสี รีบบอกว่า “ไม่มีปัญหา พวกเราพูดซี้ซั้วทั้งนั้น ประมุขอวี๋มีความคิดดี ถ้าสังหารพวกเราแล้วจะลบล้างความไม่เป็นธรรมของประมุขอวี๋ได้ พวกเราก็ยินดีรับความตาย!”

“ประมุขพรรคจั่ว เชิญลงมือเถอะ พวกเรายินดีใช้ความตายของตัวเอง เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของประมุขอวี๋!”

พอพูดจบ ผู้เล่นทั้งสิบของพรรคสุริยันจันทราก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นพร้อมกัน ทำท่าเหมือนปล่อยให้ฆ่าแกงได้ตามอำเภอใจ ปากยังพูดพร้อมกันอีกว่า “ปราดเปรื่องทั้งบุ๋นบู๊ รวมยุทธภพเป็นหนึ่งเดียว ตะวันขึ้นทิศบูรพา ประมุขไร้พ่าย! ปราดเปรื่องทั้งบุ๋นบู๊……”

สิ่งที่พวกเขาท่องออกมา ก็คือทักษะพิเศษหนึ่งของพรรคสุริยันจันทรา ชื่อว่า ‘เพลงบูรพา’ แทบจะมีผลแบบเดียวกับ ‘เพลงไฟศักดิ์สิทธิ์’ ของพรรคจรัสที่ถูกเรียกว่าพรรคฝ่ายมารเหมือนกัน

เมื่อผู้เล่นใช้ทักษะแบบนี้ ก็จะเข้าสู่สถานะพิเศษบางอย่าง

เมื่ออยู่ภายใต้สถานะนี้ พลังป้องกันจะเป็นศูนย์ หลังจากถูกทำคริติคอลดาเมจ ตัวเลขดาเมจก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่า

แต่กลับมีข้อดี นั่นก็คือเมื่ออยู่ภายใต้สถานะนี้ หลังจากผู้เล่นตายแล้ว ค่าประสบการณ์ของทักษะยุทธ์ก็จะลดลงจากเดิมเพียงครึ่งหนึ่งเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ เมื่อสองทักษะนี้ถูกใช้โดยผู้เล่นสองพรรคฝ่ายมารผู้เล่น ก็จะถูกเรียกรวมกันว่า ‘ยอมจำนนแพ้ครึ่งเดียว’

เพียงแต่เมื่อศิษย์กลุ่มหนึ่งของพรรคสุริยันจันทรานำชีวิตของตัวเองมาแลกกับความบริสุทธิ์ของอวี๋ชางไห่แบบนี้ คนของสำนักอื่นก็เริ่มมองอวี๋ชางไห่ด้วยสายตาที่สื่อความหมายล้ำลึกแล้ว

[1] กลยุทธ์ทุกข์กาย 苦肉计 เป็นกลยุทธ์ยามพ่ายจากเรื่องสามก๊ก มีหลักการคือทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บเพื่อให้ศัตรูหลงเชื่อ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด