ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 148 เวทีของปู้คุย

อ่านนิยายจีนเรื่อง ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ ตอนที่ 148 เวทีของปู้คุย อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 148 เวทีของปู้คุย

“เมืองเปี้ยนจิง จวนลู่ติ่งกง ลู่ติ่งกง เหวยเสี่ยวเป่าอย่างนั้นหรือ”

ระหว่างทางลงเขา หลังจากอินปู้คุยได้ยินคำตอบนี้ ก็กล่าวอย่างจริงจังมากว่า “เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ พวกเรานั่งรถม้าไปเมืองหลวงกันตอนนี้เลย ถือโอกาสลอบนำของกลับมาก่อนฟ้ามืด”

“ขอร้องละ!” เยี่ยเว่ยหมิงมองเจ้าหมอนี่ด้วยสายตาแปลกๆ “จะดีจะร้ายเจ้าก็เป็นศิษย์ของสำนักใหญ่ เหตุใดในหัวเต็มไปด้วยเรื่องเลวทรามต่ำช้า”

อินปู้คุยถูกสั่งสอนจนแปลกใจขึ้นมา “หากไม่ขโมยแล้วจะทำอย่างไรได้ ขอจากเหวยเสี่ยวเป่าโดยตรงหรือ”

“แล้วทำอย่างนั้นไม่ได้หรือ”

เมื่อถูกเยี่ยเว่ยหมิงถามกลับอย่างนี้ ในหัวอินปู้คุยก็เริ่มมีไหวพริบขึ้นมาแล้ว นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งทันที “เจ้ากับเหวยเสี่ยวเป่ารู้จักกันหรือ”

“นับว่าสนิทกันนิดหน่อยแล้วกัน” เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างสบายๆ “แต่ข้ารู้สึกว่ารอให้เลิกประชุมขุนนางตอนเช้าพรุ่งนี้ก่อนค่อยไปหาเขา ทำแบบนั้นดีกว่า”

“เช่นนั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว” ครั้งนี้นับว่าอินปู้คุยวางใจเต็มที่แล้ว “ตามบทบาทของต้นฉบับเดิม แม้เหวยเสี่ยวเป่าจะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่ในด้านความประพฤติก็ถือว่ามีคุณธรรมน้ำมิตร นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ข้าจะมาหาถูกคนแล้วจริงๆ!”

“เจ้าพูดไม่ผิด พวกเราควรจะฉลองกันล่วงหน้าสักหน่อย เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยง!”

“ไม่ เจ้าเลือกสถานที่ เดี๋ยวข้าเลี้ยงเอง” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะตั้งแต่ตอนนี้จนกว่าฟ้าจะสว่าง ข้าต้องการให้เจ้าเล่าบทละครในช่วงท้ายเกี่ยวกับสำนักคุ้มภัยฝูเวยให้ข้าฟังอย่างละเอียด ยิ่งละเอียดเท่าไรก็ยิ่งดี”

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงเกิดสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ” อินปู้คุยถาม

เยี่ยเว่ยหมิงทอดสายตามองไปไกล ขณะชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเขาอู่ตัง เขาก็กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าสำนักมือปราบเทพกำลังจะลงมือกับสำนักชิงเฉิง ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นเพียงสามคนของสำนักมือปราบเทพ ภารกิจสำนักที่ใหญ่ขนาดนี้ ข้าคิดว่าข้าเลี่ยงไม่ได้ ยังต้องเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”

ในเมื่อต้องการจะฟังเขาเล่าเนื้อเรื่อง ก็ย่อมต้องไปนั่งฟังในโรงน้ำชาที่ดีเทียบเท่าโรงเตี๊ยม

ดื่มชาไปอึกหนึ่ง พอหิวก็กินติ่มซำไปชิ้นหนึ่ง พอเคาะไม้สิ่งมู่[1] อินปู้คุยเล่าเรื่อง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ ให้เยี่ยเว่ยหมิงฟังอย่างเป็นทางหาร

“คุณธรรมรุ่งเรืองในยุคสามราชาห้าจักรพรรดิ ลาภยศโดดเด่นในยุคราชวงศ์เซี่ยซางโจว การต่อสู้ของเจ็ดแคว้นยุคจ้านกว๋อกับห้าอธิราชายุคชุนชิวยาวนานหลายปี เกิดความเจริญและเสื่อมถอยในชั่วพริบตาเดียว เหลือไว้เพียงไม่กี่ชื่อในตำราประวัติศาสตร์ กลับเกิดหลุมศพนับไม่ถ้วน คนรุ่นก่อนหว่านเพาะ คนรุ่นหลังเก็บเกี่ยว ถึงขั้นว่าสู้กันดุเดือดเหมือนมังกรปะทะพยัคฆ์! หลังจากเกิดคดีฆ่าล้างสำนักคุ้มภัยฝูเวย บลาๆๆ…”

เรื่องราวตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ความมืดยันฟ้าสว่าง เล่าตั้งแต่ตอนปล่อยวางบุญคุณความแค้นในยุทธภพจนกระทั่งคู่รักสุขสมหวัง สุดท้ายหลิงหูชงกับเริ่นอิ๋งอิ๋งก็ถอยออกจากยุทธภพ ไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกันโดยไม่ต้องอับอาย

เรื่องราวของยอดยุทธ์คุณธรรมที่เลือกเดินเส้นในทางตรงข้ามกับความสำเร็จ ทว่าสุดท้ายก็ยังประสบความสำเร็จ ตอนนี้เรื่องราวอันน่าชื่นชมนี้จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว

เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าสว่างแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็จ่ายเงินค่าน้ำชาทันที แล้วพาอินปู้คุยนั่งรถม้ากลับเมืองเปี้ยนจิง

ระหว่างทาง เยี่ยเว่ยหมิงถือโอกาสตอนผ่านร้านแผงลอยของผู้เล่นที่อยู่ข้างทางซื้ออาวุธลับป้องกันตัวที่มีค่าสเตตัสไม่เลวสองชุด เสร็จแล้วถึงได้เดินต่อไปยังจวนลู่ติ่งกงอย่างไม่รีบร้อน

หลังจากผ่านการร่วมงานกันมาสองภารกิจ คนของจวนลู่ติ่งกงก็จำเยี่ยเว่ยหมิงได้เกือบหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้จดหมายแนะนำ หรือพิสูจน์ตัวตนอะไรอีก พ่อบ้านพาเขากับอินปู้คุยไปรอในโถงรับแขกเหมือนที่เคยมาครั้งแรก

พ่อบ้านกำชับให้บ่าวไพร่นำน้ำชามาวาง หลังจากกล่าวขอตัวแล้ว ก็ไปรายงานให้เหวยเสี่ยวเป่ารู้

ส่วนอินปู้คุยที่เดินตามหลังพวกเขาตลอดทาง ก็ตกตะลึงกับความหรูหราฟุ่มเฟือยนี้อย่างถึงที่สุด “ข้าว่านะ สหายเยี่ย เจ้านี่ก็อยู่เป็นนะ! ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้าออกจวนลู่ติ่งกงได้ราวกับเป็นสถานที่ที่ไม่มีคนเฝ้า ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน…”

เยี่ยเว่ยหมิงหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง รู้สึกว่าน้ำชานี้หากดื่มมากไปก็อาจไม่ใช่เรื่องดี เพราะเมื่อคืนพวกเขาก็กรอกน้ำชาลงท้องจนเต็มแล้ว ถ้าตอนนี้ดื่มอีก ต่อให้เป็นชาดีก็ดื่มแล้วไม่รู้รสอะไร

หลังจากวางถ้วยชาลง เยี่ยเว่ยหมิงก็ตอบว่า “ก่อนหน้านี้ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้ากับลู่ติ่งกงพอจะสนิทกันอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ถูกพาเข้ามาในโถงรับแขกโดยไม่ต้องรายงานก่อน แต่นี่กลับเป็นสิ่งที่ข้าไม่คาดคิด”

เขาพูดไปตามมารยาทล้วนๆ ที่จริงแล้วเหวยเสี่ยวเป่าไม่ว่ากับใครก็ปฏิบัติอย่างสุภาพด้วยทั้งนั้น เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้คิดว่าตัวเองถูกปฏิบัติเป็นพิเศษตรงไหน เพียงแต่เมื่อดูจากสถานการณ์ครั้งนี้

อย่าบอกนะว่าเหวยเสี่ยวเป่ายังมีเรื่องจะไหว้วานให้ข้าทำอีก

ตอนนี้อินปู้คุยเริ่มมองสำรวจภายในโถงรับแขกแล้ว ตอนที่เขาเห็นของบางสิ่งที่วางอยู่บนชั้นไม้ กลับเบิกตาโตพร้อมอุทานว่า “ช้าก่อน สิ่งนั้นคงไม่ใช่อรหันต์เหล็กที่ข้ากำลังตามหาหรอกใช่ไหม”

“ฟังจากน้ำเสียงของสหาย อย่าบอกนะว่าเจ้าสนใจอรหันต์เหล็กของข้า” จากนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น เหวยเสี่ยวเป่าที่แต่งกายหรูหราทั้งตัวก้าวเข้ามาในโถงรับแขกแล้ว ชพูดจากึ่งจริงกึ่งเล่นกับอินปู้คุย

อินปู้คุยได้ยินแล้วยิ้มอย่างอึดอัด ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็เป็นฝ่ายแนะนำตัวแทนเขา แล้วถือโอกาสบอกจุดประสงค์ที่มาให้ชัดเจนเสียเลย

หลังจากเหวยเสี่ยวเป่าได้ฟัง ก็กล่าวอย่างลำบากใจเล็กน้อยว่า “ตามหลักแล้ว ในเมื่อพี่ใหญ่เยี่ยเอ่ยปาก ข้าก็ควรจะตอบรับและจัดการให้ อย่างไรเสียข้าก็มิอาจไม่ไว้หน้าพี่ใหญ่…”

เยี่ยเว่ยหมิง “เจ้าบอกคำว่า ‘แต่’ ออกมามาตรงๆ เลยก็ได้”

“แต่!” เหวยเสี่ยวเป่ายิ้มอย่างจนใจ “สงสัยพี่ใหญ่เยี่ยก็คงรู้แล้วเช่นกัน บนโลกนี้มีเจตจำนงพิเศษบางอย่างอยู่ คนที่ได้รับผลประโยชน์โดยไม่เปลืองแรงอย่างข้าก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่ไม่ใช่สำหรับผู้เล่นอย่างพวกเจ้าแน่นอน ดังนั้น…”

กฎการอนุรักษ์ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ เยี่ยเว่ยหมิงย่อมเข้าใจชัดเจนอยู่แล้ว ที่จริงเขาเองก็รอประโยคนี้จากเหวยเสี่ยวเป่า “มอบหมายภารกิจมาโดยตรงเลยเถอะ”

“ทั้งสองเชิญตามข้ามา…”

สิ้นคำ เหวยเสี่ยวเป่าก็พาทั้งสองคนเข้าไปในลานบ้านที่ค่อนข้างลับตาคนในจวนขุนนางบรรดาศักดิ์กง

ตรงข้ามกับประตูใหญ่ของลานบ้านเป็นสิ่งปลูกสร้างสีเทารูปสี่เหลี่ยม ตรงหน้าสิ่งปลูกสร้างเป็นประตูเหล็กสีดำสี่บาน บนประตูเหล็กแต่ละบานเขียนตัวอักษรไว้แตกต่างกัน

แบ่งเป็นดังนี้

ขันทีผู้แข็งแกร่ง!

ปาถูหลู่!

หนึ่งกระบี่โลหิตสาด!

อายุยืนเทียมฟ้า!

ขณะมองฉากอันคุ้นเคย เยี่ยเว่ยหมิงก็หลุดขำแล้วหันกลับมาถาม “สหายเหวย ภารกิจของเจ้าก็คือจะให้ข้าเลือกท้าสู้กับประตูเหล็กสามบานที่เหลือ?”

“ไม่ใช่! ภารกิจครั้งนี้คือหนึ่งในประตูเหล็กสี่บานนี้” เหวยเสี่ยวเป่ากล่าวอย่างจริงจัง “แต่สิ่งที่แตกต่างกับก่อนหน้านี้ก็คือ พลังของคู่ต่อสู้ทั้งสี่คนในครั้งนี้สูงขึ้นกว่าเมื่อก่อน หากจะบอกว่าการต่อสู้ในครั้งก่อนเป็นโหมดง่าย เช่นนั้นในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นโหมดธรรมดา”

“ยกตัวอย่างเช่นอ๋าวป้ายที่เจ้าเคยสู้ด้วยก่อนหน้านี้ ตอนนั้นอ๋าวป้ายไม่เพียงแค่ถูกโซ่ตรวนมัดไว้เต็มตัว ทั้งยังถูกข้าปล่อยให้หิวโซสามวันสามคืนด้วย ดังนั้นพลังต่อสู้จึงเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้…

…ส่วนในครั้งนี้ พลังของเขากลับไม่ได้ถูกลดลงเยอะมากเหมือนครั้งก่อน”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ อินปู้คุยที่อยู่ข้างกันเอ่ยว่า “หากข้าเดาไม่ผิด ประตูเหล็กสี่บานนี้เป็นตัวแทนสี่ศัตรูร้ายกาจในชีวิตของลู่ติ่งกง มีไห่ต้าฟู่ อ๋าวป้าย เฝิงซีฟ่านกับประมุขพรรคมังกรเทพ หงอันทง”

“สหายผู้นี้มีประสบการณ์ความรู้!” เหวยเสี่ยวเป่าเอ่ยกลั้วหัวเราะ “อิงตามกติกาของเกมนี้ ข้าในฐานะเป็นผู้ออกโจทย์ จึงไม่อาจเปิดเผยข้อมูลต่อพวกเจ้าโดยละเอียดเกินไป แต่หากสหายอินเข้าใจสถานการณ์เองอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าดีมาก”

ขณะที่พูด เหวยเสี่ยวเป่าก็ยังกะพริบตาให้เยี่ยเว่ยหมิงอย่างซุกซน “พวกเจ้าปรึกษากันก่อนได้ พิจารณาดูว่าท้าสู้ใครแล้วจะมีความมั่นใจในชัยชนะมากกว่ากัน”

เป็นอย่างที่คาดไว้ เหวยเสี่ยวเป่าไม่ถือสาที่จะทำให้เยี่ยเว่ยหมิงบรรลุเป้าหมายได้โดยง่าย

เพียงแต่ตามกติกาของเกมแล้ว หากเขาผ่อนผันให้มากเกินไป ระบบก็จะไม่ยินยอมแน่นอน ดังนั้นถึงได้อาศัยวิธีการแบบนี้ เพื่อเตือนให้เยี่ยเว่ยหมิงวิเคราะห์สถานการณ์อย่างระมัดระวัง จะได้เพิ่มโอกาสชนะมากขึ้น

พอเป็นแบบนี้ ก็แสดงว่าเหวยเสี่ยวเป่าเห็นเขาเป็นสหายจริงๆ น่ะสิ?

[1] ไม้สิ่งมู่ 醒木 ฆ้อนไม้เล็กที่นักเล่านิทานใช้เคาะโต๊ะเพื่อให้คนฟังตั้งสติตื่นตัวคอยฟังนิทาน

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด