ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 59 โลกมันเล็กขนาดนี้เชียวหรือ

อ่านนิยายจีนเรื่อง ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ ตอนที่ 59 โลกมันเล็กขนาดนี้เชียวหรือ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 59 โลกมันเล็กขนาดนี้เชียวหรือ

วันนี้โหยวโหยวใส่ชุดเซ็ตเครื่องแบบศิษย์สำนักถังเหมิน เข้ากับผมสั้นเสมอแก้มและบุคลิกที่องอาจห้าวหาญไม่เหมือนใคร แค่เพียงนั่งอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายความห้าวหาญแบบหญิงสาวก็ฟุ้งกระจายออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

ลักษณะเช่นนี้ทำให้บรรดาสุภาพบุรุษผู้ทะนงตนทั้งหลายต้องอายกันไปตามๆ กัน!

ตรงหน้านางมีซาลาเปาที่เพิ่งนึ่งเสร็จวางอยู่หนึ่งเข่ง พร้อมด้วยโจ๊กสองชามกับไข่ต้มอีกสองสามใบ ชุดอุปกรณ์รับประทานอาหารอีกสองชุด แต่เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ใช้งานมาก่อน

ว่ากันตามตรง ชุดเซตเครื่องแบบของสำนักถังเหมินนี่พอเอามาใส่แล้วดูไม่ค่อยสวยเท่าไร เอาแค่ลักษณะภายนอกอย่างเดียวยังเทียบไม่ได้กับชุดผ้าโปร่งสีเขียวอ่อนของร้านตัดเย็บในหังโจวที่เยี่ยเว่ยหมิงใช้สิบกว่าเหรียญเงินซื้อมาเลย

เพราะระดับความสมจริงของเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ นั้นสูงมาก ตอนที่เลือกชุด คุณผู้หญิงหลายคนก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างมาก ให้ความสำคัญยิ่งกว่าเรื่องของสเตตัสที่สำคัญที่สุดของอุปกรณ์นั้นๆ อีก โดยทั่วไปสิ่งที่พวกเธอรู้ก็คือ เก่งไม่เก่งนั้นเป็นแค่ของชั่วคราว สวยไม่สวยต่างหากที่จะยืนยาวไปตลอดชีวิต!

แต่ในบรรดาคนเหล่านั้น คงจะไม่มีโหยวโหยวรวมอยู่ในนั้นแน่นอน

เยี่ยเว่ยหมิงนั่งลงบนที่นั่งตรงข้ามโหยวโหยว มองดูชามและตะเกียบที่อยู่บนโต๊ะ “นี่เตรียมให้ข้าหรือ”

โหยวโหยวมองดูเยี่ยเว่ยหมิงที่กำลังตื่นเต้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนว่า “เมื่อก่อนตอนที่ร่วมทีมกัน ข้าเห็นว่าพอเจ้าหิวก็เอาแต่กินหมั่นโถว เลยคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจในรายละเอียดสักเท่าไร วันนี้มีภารกิจสำคัญ เกรงว่าคงจะยิ่งไม่ได้กินอาหารเช้าด้วย พอดีว่าข้าว่างๆ อยู่ ก็เลยรีบมาสั่งอะไรไว้ก่อนนิดหน่อย ให้เจ้าได้ลองเปลี่ยนรสชาติดูบ้าง”

“แต่ก่อนดูไม่ออกเลยว่าเจ้าก็เป็นคนละเอียดอ่อนเหมือนกัน” ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็หยิบตะเกียบขึ้นคีบซาลาเปามากัดคำใหญ่อย่างไม่เกรงใจ

อย่าให้พูดเลย ซาลาเปาของโรงเตี๊ยมนี้รสชาติไม่เลว กลิ่นผัก กลิ่นเนื้อ และกลิ่นแป้งผสมผสานกันได้อย่างลงตัว แม้จะยังเปรียบกับเนื้อย่างของอาจ่งไม่ได้ แต่ก็เป็นรสชาติที่มีเอกลักษณ์มาก

กินซาลาเปาเข้าไปลูกหนึ่งอย่างพายุบุแคม ตามด้วยผักกาดดองอีกหนึ่งคำ ซดโจ๊กร้อนๆ เข้าไปอีกหนึ่งอึก ก็พลันรู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะอุ่นขึ้นมา ราวกับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต

เขาวางตะเกียบลง เอื้อมมือไม่หยิบไข่มาหนึ่งใบ เอามาเคาะกับโต๊ะจนเปลือกแตกแล้วจึงปอกเปลือกออก แต่ก็เห็นว่าโหยวโหยวยังคงไม่ขยับอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ยกแขนข้างหนึ่งมาเท้าคางไว้ แล้วมองเขาอย่างสนอกสนใจ

มีคนคอยจ้องตอนกำลังกินอยู่แบบนี้ ต่อให้หนังหน้าของเยี่ยเว่ยหมิงจะหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกัน เขาจึงพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “ท่ากินข้าน่าเกลียดมาใช่ไหม”

โหยวโหยวส่ายหน้า ตอบเสียงเรียบว่า “ตอนแรกที่อยู่ในทีม ทุกคนรอบตัวล้วนกินแบบนี้กันหมด ไม่แบ่งชายหญิง พูดได้อย่างไม่กลัวจะโดนล้อเลยว่า ที่ข้ากินตอนนั้นถ้าเทียบกับเจ้าตอนนี้แล้ว มีแต่จะมูมมามยิ่งกว่าเสียอีก”

พอได้ยินเช่นนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ค่อยสบายใจขึ้นมา เขาปอกไข่ไปพลางพูดไปพลาง “เป็นเพราะข้ากินด้วยท่าทางแบบนี้ เลยทำให้เจ้าคิดถึงอดีตใช่ไหม”

โหยวโหยวพยักหน้าน้อยๆ ก่อนที่จะลงมือกินด้วยเหมือนกัน นางเอื้อมมือหยิบซาลาเปาขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วพูดว่า “วันนี้ข้าก็จะไม่สนภาพลักษณ์อะไรแล้ว จะให้เจ้าได้เห็นท่ากินของข้าด้วยเหมือนกัน เห็นแล้วอย่าตกใจล่ะ!”

พูดจบ ก็คว้าซาลาเปาขึ้นมากินแบบพายุบุแคมจริงๆ

จริงๆ ท่าทางที่นางกินไม่นับว่าน่าเกลียดแต่อย่างใด แถมเวลากินก็ยังนั่งหลังตรงเด๊ะ การเคลื่อนไหวของมือก็ยิ่งแสดงถึงความมีระเบียบแบบแผนระดับสูงออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพียงแต่กินเร็วมาก ก็จริงตามที่นางบอก เร็วกว่าเยี่ยเว่ยหมิงสักสามส่วนได้

ด้วยเหตุนี้ การแข่งขันกินเร็วไร้เสียงของหนึ่งหญิงหนึ่งชายจึงได้เริ่มต้นขึ้น ในเวลาอันสั้นราวกับสายลมพัดผ่าน อาหารเช้าบนโต๊ะก็ถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว

พอวางตะเกียบลง ทั้งคู่ก็สบตากันแล้วยิ้ม เยี่ยเว่ยหมิงพูดอย่างอารมณ์ดี “จะว่าไปอยู่ในเกมมาก็นาน ยังไม่เคยได้กินข้าวดีๆ สักมื้อเลย นอกจากกินหมั่นโถวแล้ว ก็จะมีย่างเนื้อเองกับกินซาลาเปาไส้เนื้อข้างทางบ้างพอให้มีอะไรขึ้นมาหน่อย จู่ๆ ตอนนี้ก็ค้นพบว่า นอกจากตีมอนสเตอร์ ทำภารกิจ อัปเกรดต่างๆ แล้ว การได้ดื่มด่ำกับการใช้ชีวิตเงียบๆ ดูบ้างก็เป็นประสบการณ์การเล่นเกมที่ไม่เลว”

พูดจบ สายตาก็มองไปที่โหยวโหยวอย่างไม่รู้ตัว ตอนแรกคิดว่านางจะพูดอะไรเรื่องนี้สักหน่อย แต่อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้วจ้องมองไปยังประตูใหญ่

มองตามสายตาของนางไป ก็เห็นว่ามีคนอีกสองคนเข้ามาที่โถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม หลังจากควักเงินให้พนักงานไปสองเหรียญเงิน ก็เดินตรงมาทางพวกเขา

สองคนนี้เยี่ยเว่ยหมิงรู้จักทั้งคู่

หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่มีสีหน้าท่าทางดูลำพองใจ ราวกับว่าต้องการใช้สิ่งนี้มาข่มเยี่ยเว่ยหมิงอย่างไรอย่างนั้น

จากทั้งเกม มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชอบมาต่อกรกับเขา นั่นก็คือผู้สืบทอดสกิลขั้นสุดยอดอักษร ‘ดิน’ ผู้เล่นหนึ่งในสามของสำนักมือปราบเทพ เฟยอวี๋

ส่วนคนที่มากับเขานั้นเป็นคนสนิทอีกคนหนึ่งของเยี่ยเว่ยหมิง เพิ่งจะทำภารกิจด้วยกันไปไม่นานนี้เอง…

“ถังซานไฉ่?” โหยวโหยวเอ่ยปากเรียกชื่อของอีกฝ่ายขึ้นมาก่อน ตามด้วยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “เจ้าก็มาด้วยหรือ”

“ที่แท้ก็เป็นสหายเยี่ยกับศิษย์น้องโหยวโหยวนี่เอง โลกช่างกลมดีจริงๆ” ถังซานไฉ่ทักทายตามมารยาทเสร็จ ก็เป็นฝ่ายแนะนำนางให้กับเฟยอวี๋ที่ยืนอยู่ข้างกันต่อ “คนนี้คือศิษย์น้องโหยวโหยว หนึ่งในยอดฝีมือระดับสูงของสำนักถังเหมินในตอนนี้ แม้แต่ข้ายังไม่กล้าพูดเลยว่าตนเป็นคู่ต่อสู้กับนางได้ ว่าแต่ ศิษย์น้องโหยวโหยว ตอนที่อยู่นอกเมืองหังโจวต้องขอบใจเจ้าจริงๆ ที่ยอมออมมือให้”

โลกเราบางทีนี่ก็เล็กเสียจริง ที่แท้ผู้สนับสนุนที่เฟยอวี๋หามาก็คือถังซานไฉ่นี่เอง!

แต่คำพูดของถังซานไฉ่ โหยวโหยวเองก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก

ตอนนั้นนางกำลังรีบมายังหมู่บ้านหลงจิ่ง แน่นอนว่านางไม่รู้เลยว่าถังซานไฉ่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร

แต่ความว่องไวของนางนั้นถือเป็นความสุดยอด พอได้ยินถังซานไฉ่พูดถึงเรื่องนอกเมืองหังโจว ก็คิดเชื่อมโยงไปถึงตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงยอมใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อพวกศัตรูที่ไล่ตามมาแทนนาง ตอนนั้นเขาเคยถามนางถึงเรื่องของถังซานไฉ่

แต่ตอนหลังเห็นระบบประกาศแจ้งว่าเยี่ยเว่ยหมิงและถังซานไฉ่ร่วมมือกันทำเฟิร์สคิล BOSS สามคนได้สำเร็จ จึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้เองว่าสองคนนี้น่าจะได้รู้จักกันผ่านการต่อสู้ที่นอกเมืองหังโจว และเป็นเพื่อนกันได้ด้วยเหตุนี้ หากยังร่วมมือกันฝ่าด่านยากที่ผู้เล่นคนอื่นไม่ค่อยจะผ่านกันไปได้อีก ก็คงจะกลายเป็นนิยายมิตรภาพลูกผู้ชายสุดคลาสสิกไปเลย

แต่ดูจากคำพูดที่ถังซานไฉ่พูดมา เรื่องราวน่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด

อย่างน้อยๆ ถังซานไฉ่ก็ยังคิดว่าเรื่องของปลอมที่เจอที่นอกเมืองหังโจวตอนนั้น เป็นฝีมือของโหยวโหยวเอง

ดีที่เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้อยากจะทำให้นางลำบากใจ จึงเริ่มตื่นตัวใช้สมองขึ้นมา เขายิ้มเรียบๆ ให้ถังซานไฉ่ จากนั้นก็ใช้มือซ้ายที่วางอยู่บนโต๊ะทำท่านับนิ้วคำนวณ เพียงครู่เดียวถังซานไฉ่ก็รู้สึกได้ว่ามีอันตรายปกคลุมไปทั่วร่างและแล่นวาบเข้าไขกระดูก พลันถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว เมื่อมองสบสายตาของเยี่ยเว่ยหมิงอีกครั้งก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก “เจ้าคือ…ที่แท้คนที่อยู่นอกเมืองหังโจวตอนนั้น เป็นเจ้าหรอกหรือ สหายเยี่ย!”

เยี่ยเว่ยหมิงหยุดใช้งานไท้ซัวเป็นไฉน ยิ้มเล็กน้อยเป็นนัยว่ายอมรับ

เมื่อได้รู้เรื่องที่น่าตกใจนี้แล้ว ถังซานไฉ่ก็ไขข้อสงสัยที่กวนใจเขามานานได้สำเร็จ ถึงว่าโหยวโหยวที่ไม่เคยเข้าเมืองหังโจวได้มาก่อน กลับปรากฏตัวขึ้นที่นั่นและทำภารกิจสำเร็จ

หากตอนนั้นมีสองคนล่ะก็ เรื่องทั้งหมดก็อธิบายได้แล้ว

ทั้งสามคนราวกับใช้ความเงียบสื่อสารกันก็เข้าใจ มีเพียงเฟยอวี๋ที่อยู่ข้างๆ ยืนงงเป็นไก่ตาแตก จึงรีบส่งข้อความส่วนตัวไปให้ถังซานไฉ่ [สหายถัง เจ้ารู้จักสองคนนี้หรือ พลังของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเทียบกับเราสองคนแล้ว สองคนนี้เก่งกว่าหรือ]

ถังซานไฉ่ [ศิษย์น้องโหยวโหยวข้าไม่เคยประมือด้วย ยังไม่กล้ายืนยัน แต่สหายเยี่ยผู้นี้ ข้าคิดว่าเขาคนเดียวหากจะเล่นงานเราสองคนก็นับว่าไม่เป็นปัญหาใหญ่…]

ก่อนหน้านี้ไม่นาน เยี่ยเว่ยหมิงใช้กระบี่เดียวแทงเอาพลังโจมตีของ BOSS ลดลงไปถึงหนึ่งในสี่อย่างน่ากลัว ภาพนั้นศิษย์สำนักถังเหมินผู้นี้ยังคงจำได้เป็นอย่างดี สลัดอย่างไรก็ไม่ออก!

“ว้าว! ข้านึกว่าพวกเราจะมาถึงก่อนเสียอีก นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะมาถึงเช้าขนาดนี้”

น้ำเสียงที่คุ้นเคยเข้ามาขัดบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ ทั้งหมดหันไปมอง คนที่มาก็คือซานเย่ว์

แต่ชายทั้งสามคนที่อยู่ตรงนี้ กลับใช้สายตามองไปยังหญิงสาวชุดขาวที่มาพร้อมกับซานเย่ว์โดยอัตโนมัติ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด