ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 205 เจ้าวิ่งเร็วกว่าอาหวง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ ตอนที่ 205 เจ้าวิ่งเร็วกว่าอาหวง อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 205 เจ้าวิ่งเร็วกว่าอาหวง

อวี๋ชางไห่หน้างิ้วน้ำเงินปล้นม้าหลวง เจ้าสำนักหน้างิ้วแดงศึกฉางซา ประมุขพรรคหน้างิ้วสีเหลือง คนเตี้ยหน้างิ้วสีขาว ตัวโกงหน้างิ้วสีดำร้องชาชา…

ตอน ‘อวี๋ชางไห่’ หลายสิบคนใส่หน้ากากงิ้วหลากสีพุ่งออกจากห้อง จู่ๆ ในหูของเยี่ยเว่ยหมิงก็มีเสียงเพลง[1]นี้ดังขึ้น

มองซ้ายมองขวา พบว่าเหมือนจะไม่ได้มีแค่เขา ซานเย่ว์กับเฟยอวี๋ที่อยู่ข้างกายเขาก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน คาดว่าสถานการณ์น่าจะไม่ต่างจากเขา

อวี๋ชางไห่ทั้งสามสิบคนหนีไปข้างนอกพร้อมกัน บ้างก็ไปทางประตูหน้า บ้างก็ไปทางประตูหลัง บ้างก็ปีนกำแพง บ้างก็พังกำแพงให้กลายเป็นประตูเสียเลย ใช้วิธีการหลากหลายไม่เหมือนกัน

ห้ายอดฝีมือเปิดฉากสังหารคนพวกนี้ทันที แต่จนใจที่เป้าหมายมีเยอะเกินไป สุดท้ายก็ยังมีเจ็ดแปดคนที่หนีรอดออกจากเขตลานบ้านไปได้

เรื่องมาถึงขั้นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงจำต้องยอมรับว่าถึงแม้เขาจะประเมินชีชีไว้สูงมากแล้ว แต่ก็ยังดูถูกอีกฝ่ายเกินไป

ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้เล่นคนอื่น ต่อให้คิดได้ว่ายามหน้าสิ่วหน้าขวานต้องหาตัวแทนให้อวี๋ชางไห่เพื่อดึงดูดความสนใจจากคนอื่น แต่ส่วนใหญ่ในเกมก็พบได้น้อยมาก บางคนถึงขั้นไม่รู้ด้วยว่ามีวิชาเปลี่ยนหน้าปลอมตัวอยู่หรือไม่

แต่ชีชีกลับใช้วิธีการตรงกันข้าม ขอเพียงให้อวี๋ชางไห่ใส่หน้ากากเหมือนคนอื่นด้วย ประเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนเป็นกลมกลืนกับคนอื่นแล้วไม่ใช่หรอกหรือ

ยามเผชิญหน้ากับแนวโน้มสถานการณ์ตรงหน้า แม้ชีชีจะไม่มีทางพลิกสถานการณ์ให้กลับมาเป็นฝ่ายชนะได้ แต่เขาก็ใช้วิธีการของตัวเอง ใช้ประโยชน์จากไพ่เสียในมืออย่างสุดความสามารถของตัวเองแล้ว!

ถ้าจะบอกว่าเยี่ยเว่ยหมิงเป็นยอดฝีมือด้านกลยุทธ์เหมือนนักหมากรุกที่ปั่นหัวเจ้าสำนักใหญ่ๆ ของยุทธภพ เชื่อมแนวขวางประสานแนวดิ่งจนอวี๋ชางไห่จนตรอกได้

เช่นนั้นชีชีก็เป็นพ่อมดในด้านกลยุทธ์ ขนาดอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตายแบบนี้ ยังใช้วิธีการที่น่าทึ่งได้ ช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตให้อวี๋ชางไห่ที่เดิมทีร่อแร่

เช่นนั้นก่อนที่เขาจะไป เขาวางแผนอะไรไว้อีกกันแน่

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า ไม่สิ้นเปลืองเซลล์สมองของตัวเองไปกับคำถามที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไร้คำตอบเพราะขาดปัจจัยบางอย่างที่ตัวเองก็รู้อยู่แล้ว เพียงกำชับเฟยอวี๋ด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ติดตามตำแหน่งอวี๋ชางไห่ตลอดเวลา”

นี่คือวิธีการที่เยี่ยเว่ยหมิงใช้รับมือตอนที่เผชิญหน้ากับกลยุทธ์ลูกโซ่ของชีชี

เจ้าเล่นกลยุทธ์ลูกโซ่ใช่ไหม

เช่นนั้นข้าก็จะใช้ปืนใหญ่ล้างบาง!

เจ้าจะใช้กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเลก็ได้ แต่ในมือข้าก็มีระบบ GPS เหมือนกัน!

ตอนไหนที่ใช้กำลังบดขยี้ได้ เขาก็ไม่เคยโอ้อวดสติปัญญาอันล้ำลึกของตัวเองเลย

ตอนนี้ห้ายอดฝีมือแบ่งเป็นสองกลุ่มแล้ว แต่กลับตัดสินใจเลือกสิ่งที่ไม่เหมือนกัน

จั่วเหลิ่งฉานกับลูกน้องอีกสองคนของเขา กระจายกันไล่ตามไปยังสามทิศทางที่มี ‘อวี๋ชางไห่’ หนีอยู่เยอะที่สุด พวกเขาคิดจะอาศัยความได้เปรียบด้านจำนวนยอดฝีมือฝั่งตัวเอง ใช้วิธีฆ่าทิ้งเพื่อตัดตัวเลือก พยายามบีบอวี๋ชางไห่ตัวจริงออกมาก่อน จากนั้นค่อยฆ่าทิ้ง!

นี่ก็คือกลยุทธ์ของจั่วเหลิ่งฉาน

สามคนที่อยู่ฝั่งพวกเขา นอกจากจั่วเหลิ่งฉานที่บดขยี้ทุกสิ่งในเหตุการณ์วันนี้ได้แล้ว แต่ต่อให้เป็นเล่อโฮ่วกับจงเจิ้นก็มีศักยภาพแข็งแกร่งที่ไม่ด้อยไปกว่าอวี๋ชางไห่เช่นกัน!

ยามเผชิญหน้ากับอวี๋ชางไห่ที่บาดเจ็บ สามผู้พิทักษ์ก็ไม่แพ้แน่นอน

ดังนั้นเมื่อเจอกับสถานการณ์วุ่นวายแบบนี้ พวกเขาก็เลือกแยกย้ายกันไล่ตามได้เลย นี่คือข้อได้เปรียบเทียบเย่ว์ปู้ฉวินกับหลินผิงจือไม่มี

ส่วนเย่ว์ปู้ฉวินกลับเป็นประเภทที่พุ่งเข้าโถงหลักของเขตลานบ้านใหญ่ตระกูลอวี๋ทันที

ในเมื่อก่อนหน้านี้อวี๋ชางไห่ให้ตัวแทนวิ่งออกจากควันเพื่อหยั่งเชิง ส่วนตัวเองซ่อนอยู่ในควันเพื่อรอโอกาสเคลื่อนไหวได้ เช่นนั้นเย่ว์ปู้ฉวินก็มีเหตุผลให้เชื่อว่าครั้งนี้เขาจะใช้แผนนี้ซ้ำได้

เมื่อเอาใจตัวเองไปวัดใจคนอื่น เย่ว์ปู้ฉวินรู้สึกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเขา ก็จะใช้วิธีการที่ดูเหมือนอันตรายทว่าความจริงกลับปลอดภัยแบบนั้นได้เหมือนกัน

ส่วนหลินผิงจือที่ประสบการณ์ไม่พอก็อยากจะเรียนรู้วิธีการแบบนี้เหมือนกัน จะทำตามแบบอย่างพวกจั่วเหลิ่งฉาน สุ่มเลือกเป้าหมายสักคนเพื่อสังหาร แต่กลับถูกเยี่ยเว่ยหมิงดึงตัวไว้

ท่ามกลางสายตาสงสัยปนไม่พอใจของอีกฝ่าย ในที่สุดเฟยอวี๋ก็กล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ ว่า “เมื่อครู่ตอนคนพวกนั้นหนีไป ข้าไม่ได้เห็นชัดเจน แต่ฝ่ายข้าเพิ่งจะใช้ทักษะ ‘สืบเสาะหมื่นลี้’ ผลที่ได้จากการแจ้งเตือนของระบบก็คือ มีอวี๋ชางไห่สองคนหนีไปยังทิศทางที่ต่างกัน!…

…หนึ่งในนั้นหนีไปทางศาลาเหล่าจวินตรงภูเขาข้างหน้า ส่วนอีกคนไปทางอารามเจี้ยนฝูบนยอดเขา ถ้าวิเคราะห์จากความเร็ว ทั้งสองหนีได้ไม่เร็วมาก แต่ถ้าให้เทียบกัน ‘อวี๋ชางไห่’ ที่หนีไปทางศาลาเหล่าจวินเร็วกว่านิดหน่อย”

ซานเย่ว์ได้ยินแล้วแปลกใจมาก “ในฉากเดียวกันจะมี ‘อวี๋ชางไห่’ สองคนได้อย่างไร ไม่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์!”

“เกมยอดยุทธ์คุณธรรม เจ้าจะมาพูดถึงหลักวิทยาศาสตร์อะไรกัน” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า “สรรพสิ่งในใต้หล้า มีกฎก็แหกกฎได้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ บางทีอาจจะมีทักษะที่เปลี่ยนชื่อแซ่ของตัวเองได้ ก็ไม่แน่หรอก”

“เฟยอวี๋ เหมือนข้อมูลทักษะของเจ้าจะเปิดเผยออกมาแล้วนะ”

ตอนนี้สีหน้าเฟยอวี๋แย่มาก แต่หลินผิงจือกลับไม่คิดจะรอต่อไปอีก เขาสะบัดแขนทันที อยากจะสลัดมือเยี่ยเว่ยหมิงออก แต่กลับทำไม่สำเร็จ จึงได้แต่หันกลับมาบอกว่า “ขอบคุณข้อมูลอันล้ำค่าของพวกเจ้า ข้าจะไปสังหารอวี๋ชางไห่ด้วยมือตัวเอง ล้างแค้นให้ท่านพ่อท่านแม่!”

เยี่ยเว่ยหมิงแอบเพิ่มพลังที่มือของตัวเอง หลินผิงจือถึงไม่หลุดมือไปง่ายๆ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “ถ้าได้เจอกับจั่วเหลิ่งฉาน อย่าลืมว่าห้ามปะทะกับเขาเพื่อช่วงชิงโอกาสลงดาบสุดท้ายกับอวี๋ชางไห่เด็ดขาด…

…ที่จริงแล้ว หากพวกเราบีบให้อวี๋ชางไห่ตายได้ แค้นใหญ่ของเจ้าก็ถูกชำระแล้ว เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดไหม”

หลินผิงจือมองเยี่ยเว่ยหมิงแวบหนึ่งอย่างซาบซึ้งใจ แล้วพยักหน้าบอกว่า “ต่อให้ข้าสังหารเขาด้วยมือตัวเองไม่ได้ แต่ก็ต้องเห็นเขาตายต่อหน้าข้าให้ได้!”

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้ปล่อยแขนหลินผิงจือ หลินผิงจือพลันกลายเป็นเงาเลือนรางสีแดงไล่ตามไปที่ตีนเขาทันที

โครม! แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่หลินผิงจือหายไป เย่ว์ปู้ฉวินทำลายหลังคาพังแล้ว เขากระโดดออกจากโถงหลักของตระกูลอวี๋ แล้วมุ่งหน้าไปทางยอดเขาทันที

ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็แสร้งเข้าโถงใหญ่ไปตามหาอวี๋ชางไห่ แต่ความจริงไม่ลืมที่จะแอบฟังบทสนทนาด้านนอกไปด้วย

ตอนที่เฟยอวี๋เพิ่งบอกตำแหน่งของสองอวี๋ชางไห่ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะได้ยินหมดแล้ว พอเห็นหลินผิงจือไล่ตามไปทางศาลาเหล่าจวิน เขาก็ตามไปทางอารามเจี้ยนฝูบนยอดเขาทันที

เมื่อได้เห็นฉากนี้ ซานเย่ว์ก็อดบ่นอย่างหงุดหงิดไม่ได้ “เย่ว์ปู้ฉวินคนนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ ครั้งนี้ถูกเขาชุบมือเปิบแล้ว!”

“แบบนี้ทำไมจะไม่ดีล่ะ” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าน้อยๆ “ที่จริง อวี๋ชางไห่ที่อยู่โหมดปกติเป็น BOSS ใหญ่เลเวลเจ็ดสิบห้า ไม่ใช่คนที่พวกเราจะรับมือด้วยไหวเลย ดังนั้นสำหรับศีรษะของเขา พวกเราก็ลองพยายามดูได้ แต่อย่าไปหมกมุ่นจะดีกว่า”

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสริมอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราก็วางแผนตั้งมากมายกว่าจะล่อเย่ว์ปู้ฉวินกับจั่วเหลิ่งฉานมาได้ จุดประสงค์ก็คือให้พวกเขาไปรับมือกับอวี๋ชางไห่แทนพวกเราไม่ใช่หรือ”

ถึงอย่างไรภารกิจครั้งนี้ก็ต่างจาก ‘การประลองยุทธ์เลือกคู่’ ครั้งก่อน

ช่วงศึกตะลุมบอนของ ‘การประลองยุทธ์เลือกคู่’ เยี่ยเว่ยหมิงกับผู้เล่นทุกคนถือเป็นเพียงผู้เข้าร่วมภารกิจเท่านั้น ย่อมต้องทำให้ตัวเองได้ผลตอบแทนมากที่สุดอยู่แล้ว ถ้าแย่งบอสได้สักคนก็พยายามแย่งให้ได้

ถึงขั้นว่าแม้แต่หวันเหยียนคังที่ถูกระบบปกป้องสองชั้นก็ยังถูกเขาวางแผนทำร้ายจนตายแล้ว

ถ้าถามว่าทำแบบนี้แล้วจะเกิดผลอะไรตามมา

ขอตอบว่า…เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ

แต่ครั้งนี้ พวกเขาสามคนกลับกลายเป็นผู้วางแผนการทั้งหมด โดยพิจารณาว่าจะต้องทำภารกิจให้สำเร็จอย่างราบรื่นไว้ก่อน

ต้องรับประกันจุดนี้ได้ ถึงจะพิจารณาว่าจะทำผลตอบแทนให้สูงสุดได้อย่างไร

อีกทั้งเยี่ยเว่ยหมิงก็เชื่อมั่นว่าตราบใดที่ทำภารกิจนี้สำเร็จได้อย่างสวยงาม รางวัลจากทางฝั่งหวงโส่วจุนก็เยอะกว่าการสังหารอวี๋ชางไห่คนเดียวแน่นอน!

ดังนั้น สำหรับศีรษะของอวี๋ชางไห่ เยี่ยเว่ยหมิงคิดว่า

ถ้าได้ก็ถือเป็นโชค ถ้าเสียก็ถือเป็นชะตา

ไม่คิดว่ามีความจำเป็นต้องไปแย่งอาหารจากปากเสืออย่างบอสที่ร้ายกาจพวกนั้นเลย

อย่างไรเสีย ต่อให้ไม่ได้ศีรษะมา แต่เขาก็ยังควักโลงศพออกมาเก็บศพอวี๋ชางไห่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรอกหรือ

เพื่อภารกิจในวันนี้ เยี่ยเว่ยหมิงจ่ายไปห้าร้อยเหรียญทองเพื่อจองซื้อโลงศพที่ทำจากลวดทองและไม้หนานมู่ นำมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ตาเฒ่าอย่างอวี๋ชางไห่!

เขามองไปรอบๆ ตอนนี้ทั้งเขตลานบ้านใหญ่ตระกูลอวี๋ นอกจากพวก NPC ขี้ประจบที่ต่างก็มีสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่าควรไปทางไหนดี ก็เหลือเพียงผู้เล่นสามคนเท่านั้น นั่นก็คือพวกเยี่ยเว่ยหมิง

ส่วนศิษย์สำนักซงซานที่นำโดยดาบฟันรองเท้าแตะ ก่อนที่จั่วเหลิ่งฉานจะออกไปไล่ตามคนก็ได้สั่งงานไว้แล้วว่าถ้ากำจัดศิษย์ชิงเฉิงหนึ่งคนจะได้ค่าประสบการณ์ ค่าตบะ เงินเท่าไร การกำจัดอวี๋ชางไห่ตัวปลอมก็จะได้รางวัลมากกว่านั้นหนึ่งเท่า

ดังนั้น ผู้เล่นสำนักซงซานกับผู้เล่นสำนักชิงเฉิงที่เดิมทีมีจำนวนเยอะสุดในเขตลานบ้านใหญ่แห่งนี้ ตอนนี้หายไปหมดแล้ว

เมื่อเห็นเขตลานบ้านใหญ่ตระกูลอวี๋ตกอยู่ในความเงียบสงัด เฟยอวี๋ก็อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ “ตอนนี้พวกเราควรจะทำอะไรสักหน่อยไหม จะรอฟังข่าวชัยชนะจากพวกเขาอยู่เฉยๆ อย่างนี้หรือ”

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเบาๆ “การรออยู่เฉยๆ ไม่ใช่ลักษณะนิสัยของพวกเราอยู่แล้ว ในเมื่อพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็จะไล่ตามอวี๋ชางไห่ด้วยเช่นกัน”

เขาชะงักเล็กน้อย แล้วกล่าวเสริมว่า “ข้าหมายถึงอวี๋ชางไห่ตัวจริงนะ”

เฟยอวี๋ได้ยินแล้วงงทันที “เจ้าแยกออกหรือว่าอวี๋ชางไห่ตัวจริงไปทางไหน”

“ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้อยู่แล้ว” ขณะที่ตอบ เยี่ยเว่ยหมิงก็เรียกอาหวงออกมาจากกำไลเงินสัตว์เลี้ยง “แต่มันทำได้”

เฟยอวี๋ได้ยินแล้วตาเป็นประกาย จากนั้นคว้าเลือดสดของอวี๋ชางไห่ที่กระเซ็นออกมาหลังจากถูกหลินผิงจือฟันบาดเจ็บ “ที่จริงเรื่องนี้ข้าก็ทำได้เหมือนกัน…” ขณะที่พูด เขาก็มองอาหวงที่หน้าตาไร้เดียงสาแวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็สลัดเลือดออกจากมือเสียเลย “ให้มันจัดการดีกว่า”

เฟยอวี๋ในตอนนี้ ในใจราวกับมีอัลปากา[2]นับแสนตัววิ่งย่ำผ่านไป

หลังจากทักษะสะกดรอยตามของเขาถูกห้ามใช้ เขาก็สงสัยว่าทักษะของเขาเหมือนกับทักษะของอาหวงไม่มีผิดอย่างนั้นหรือ

แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังตัดสินใจจะให้กำลังใจศิษย์น้องคนนี้สักหน่อย ดังนั้นจึงเก็บอาหวงไว้ แล้วบอกเฟยอวี๋ว่า “ที่จริงข้ารู้สึกว่าให้เจ้าทำเรื่องนี้ดีกว่า”

เฟยอวี๋มองด้วยสายตาโกรธเคือง “หมายความว่าอย่างไร”

เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องทำเวลาตอนไล่ตามอวี๋ชางไห่ แล้วอาหวงก็วิ่งไม่เร็วเลยจริงๆ”

เฟยอวี๋ “???”

พูดไปพูดมา สรุปก็คือเอาข้าไปเทียบกับสุนัข แล้วจุดแข็งอย่างเดียวก็คือข้าเคยเรียนวิชาตัวเบามาก่อน ก็เลยวิ่งเร็วกว่าสุนัขอย่างนั้นหรือ

[1] เนื้อเพลงบางท่อนจากเพลง《说唱脸谱》เป็นเพลงที่ใช้ในการแสดงอุปรากรจีน

[2] อัลปากา มีอีกชื่อหนึ่งคือ เฉ่าหนีหม่า (草泥马) คล้ายกับคำด่า เช่าหนี่มา ที่แปลว่า fuck your mom

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด