ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 111 เฟยอวี๋ผู้ปราดเปรื่อง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ ตอนที่ 111 เฟยอวี๋ผู้ปราดเปรื่อง อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 111 เฟยอวี๋ผู้ปราดเปรื่อง

กงเหย่เฉียนมาส่งพวกเขาออกจากประตูใหญ่ของหมู่บ้านชื่อสยา ก็เท่ากับว่าอุดทางถอยของทั้งสามแล้ว ตรงหน้าก็คือผู้เล่นสามสิบกว่าคน แต่ละคนนำอาวุธออกมาแล้ว กำลังวิ่งสังหารมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าดุร้าย กลิ่นอายสังหารพวยพุ่ง

ขณะมองผู้เล่นสามสิบกว่าคนพุ่งเข้ามาทางนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วบอกในช่องทีมว่า [อยากจะออกไปจากที่นี่อย่างสงบ ดูท่าแล้วคงทำได้เพียงสังหารจนเกิดเส้นทางเลือด]

ซานเย่ว์กับหนิวจื้อชุนพยักหน้าพร้อมกัน เตรียมพร้อมลงมือกับคนกลุ่มนี้ทุกเมื่อแล้ว

ตอนนี้ จู่ๆ ทั้งสามก็ได้ยินหนึ่งในคนที่อยู่หน้าสุดของแนวรบฝ่ายตรงข้ามตะโกนเสียงดังว่า “เจ้านักพรตเต๋าคนนั้นนั่นแหละ เขาคือหนิวจื้อชุน ก่อนหน้านี้วางกับดักให้พวกเราตาย ทุกคนลุยพร้อมกันเลย เล่นงานเจ้านั่นให้ตาย!”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้รู้ว่ากลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าก็คือคนที่ถูกพวกเขาวางกับดักจนตายในถ้ำใต้ดินก่อนหน้านี้…

หึหึ คนกลุ่มนั้นที่จิตใจไม่สามัคคีมากพอ ตอนที่แย่งป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูจึงตายเพราะศึกตะลุมบอน

เมื่อเทียบกับเยี่ยเว่ยหมิงที่สุขุมเยือกเย็น หนิวจื้อชุนกลับรู้สึกปวดไข่อยู่พักหนึ่ง

ขอร้องล่ะ!

คนที่ได้ผลประโยชน์สูงสุดก็คือเจ้ามือปราบหน้าเหม็นนั่นแท้ๆ ขนาดมือปราบหญิงคนนั้นยังกอบโกยผลประโยชน์ไปได้มากกว่าข้าด้วยซ้ำ มีสิทธิ์อะไรมาคิดบัญชีความแค้นทั้งหมดกับข้าคนเดียว

มีสิทธิ์อะไร!

ข้าดูเหมือนแพะรับบาปหรือ

ข้าชื่อหนิวจื้อชุนที่แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช้หนิวจื้อชุนที่แปลว่าชนบท!

ข้าไม่ใช่ราชาแห่งแพะรับบาปนะ!

แต่ถึงแม้ในใจจะมีคำด่าว่าฟัคยัวร์มัมเป็นหมื่นล้านคำ เขากลับไม่มีทางเปลี่ยนเป้าหมายความแค้นของกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าได้

อยากจะให้คุยกับพวกเขาด้วยเหตุผลอย่างนั้นหรือ

ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนจะได้คุยกับอาวุธในมือพวกเขามากกว่า!

แต่ยังดีที่วิชาตัวเบาของหนิวจื้อชุนแข็งแกร่งมากพอ เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ก็เลี้ยวหนีทันที

เมื่อเห็นเขาหนีไป คนพวกนั้นที่พุ่งเข้ามาก็เลี้ยวเปลี่ยนหัวหอกทันที ตามไปไล่สังหารหนิวจื้อชุนที่ทำให้พวกเขาสูญเสียรางวัลภารกิจไปหมด

มีเพียงสี่คนที่สังเกตเห็นเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง เพราะช่วงสุดท้ายของศึกชิงป้ายอาญาสิทธิ์ก่อนหน้านี้ เป็นพวกเขาสี่คนถูกฆ่าตายหลังจากเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ลงสนามต่อสู้ ถึงโชคดีได้เห็นทั้งสองคน

เมื่อเห็นว่ามีคนจำตัวเองได้ บนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงก็เผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาทันที ขณะเดียวกันก็กวักมือ กระบี่ชิงจู๋ปรากฏอยู่ในมือเขาแล้ว

คมกระบี่เย็นเฉียบสะท้อนแสงสีเขียวอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ราวกับเป็นไม้ไผ่เขียวหลังฝนตก ดูสดชื่นเย็นสบาย

เมื่อเห็นกระบี่วิเศษสีเขียวชอุ่ม สี่คนที่อยู่ตรงหน้าก็หวนนึกถึงการโจมตีอันน่าสะพรึงที่ปลิดชีพด้วยกระบี่ด้วยทันที พวกเขากลืนน้ำลายพร้อมกันโดยไม่รู้ตัว

สี่คนนี้มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา หนึ่งในนั้นค่อนข้างไหวพริบดี จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ ตะโกนเสียงดังนำขึ้นมาว่า “หนิวจื้อชุนต่ำช้าไร้ยางอาย เอาชีวิตของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้!”

พอพูดจบ ก็เลี้ยวไล่ตามไปทางหนิวจื้อชุนโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา

อีกสามคนไหวตัวช้าไปหน่อย แต่ก็ตระหนักรู้ในทันทีเช่นกัน ขณะที่พวกเขาตะโกนว่า “เอาชีวิตของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้” ก็ไล่ตามสังหารไปทางหนิวจื้อชุนอย่างไม่สนใจอะไรแล้ว

อีกด้านหนึ่ง หากไล่ตามหนิวจื้อชุนทัน นั่นคือการรุมโจมตีแบบสามสิบต่อหนึ่ง แล้วจะแพ้ได้อย่างไร

ส่วนทางด้านนี้ สี่คนโจมตีสองคน แม้จะยังได้เปรียบด้านจำนวนคน แต่ศักยภาพที่แท้จริงของอีกฝ่ายเหนือกว่าพวกเขา ในจุดนี้พวกเขารู้อย่างชัดเจน

สู้ไม่ไหวแน่นอน!

ดังนั้น วิกฤติที่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์กงเหย่เฉียนตั้งใจสร้างให้เยี่ยเว่ยหมิงโดยเฉพาะจึงย้ายไปอยู่บนตัวนักพรตเต๋าหนิวอย่างผิดคาด

ให้พวกเรายืนสงบไว้อาลัยให้เขาสามวินาที

ประเสริฐยิ่งนัก!

หลังจากยืนสงบไว้อาลัยเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็เปิดอินเตอร์เฟสระบบทันที เตะหนิวจื้อชุนออกจากทีมไปแล้ว

ซานเย่ว์กลับหันขวับ ถามเยี่ยเว่ยหมิงว่า “อาหมิง ก่อนหน้านี้ข้าใช้ทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ แน่ใจแล้วว่าสองครั้งที่กงเหย่เฉียนพูดไม่สอดคล้องกัน ตอนแรกที่บอกว่าไม่เคยเห็นของสมบัติของแท้เหล่านั้นเขาไม่ได้โกหก แต่เขาโกหกตรงไหนกันแน่นะ”

“ถ้าจะให้ข้าเดานะ ถ้าเขาได้เห็นของโจรพวกนั้นก่อน เขาก็น่าจะกล้ารับไว้” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเสียงเรียบ “สอดคล้องกับที่หัวหน้าทหารยามสือเยี่ยนหมิงบรรยายไว้พอดี”

“อย่างไรเสีย นอกจากสิ่งนี้ ข้าก็หาคำอธิบายอื่นที่สมเหตุสมผลไม่ได้แล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ แล้วถามกึ่งหยอกล้อว่า “อย่าบอกนะว่าคนที่หากินกับยุทธภพอย่างเขาจะกล้าเป็นกบฏ”

ขณะที่พูด ทั้งสองก็เดินไปทางเมืองซูโจว

ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งจะออกจากประตูใหญ่ของหมู่บ้านชื่อสยาได้สามจั้ง พิราบขาวสิบสามตัวก็พลันปรากฏบนฟ้า พวกมันกระพือปีกแย่งกันบินมา ก่อนจะมาเกาะบนบ่าของเยี่ยเว่ยหมิง

เฟยอวี๋ [ช่วยด้วย!]

เฟยอวี๋ [ช่วยด้วย!]

เฟยอวี๋ [ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!…]

เฟยอวี๋ […]

……

เฟยอวี๋ [ศิษย์พี่เยี่ย เกิดเรื่องกับข้าแล้ว! ถ้าพวกเจ้าออกจากสถานที่พิเศษที่ส่งจดหมายไม่ได้แล้ว กรุณาส่งพิราบสื่อสารมาหาข้าทันที ขอเพียงเจ้าช่วยให้ข้าผ่านด่านยากนี้ไปได้ ต่อไปนี้ข้าจะไม่แย่งตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักมือปราบเทพกับเจ้าแน่นอน!]

เมื่อเห็นจดหมายขอความช่วยเหลือที่ส่งมาอย่างต่อเนื่อง เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก

เป็นเพราะอะไรกันแน่ ถึงทำให้เจ้าคนที่ไม่ยอมแพ้เขามาตลอดยอมก้มหัวขอความช่วยเหลือจากเขาเช่นนี้

เมื่อเห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นของซานเย่ว์ที่อยู่ข้างกัน เยี่ยเว่ยหมิงก็อธิบายให้นางฟังอย่างเรียบง่ายได้ใจความ ขณะเดียวกันก็ส่งพิราบสื่อสารกลับไปให้เฟยอวี๋

[เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…เยี่ยเว่ยหมิง]

หลังจากนั้นสักพัก พิราบขาวก็บินกลับมาทันที

[เฮ้อ…เรื่องมันยาวน่ะ ตอนที่ข้ากำลังทำภารกิจสำนัก ข้าถูกวางกับดักแล้ว!…เฟยอวี๋]

ผ่านไปอีกสามนาที มีพิราบขาวบินมาอีกตัวแล้ว ครั้งนี้เนื้อหาของจดหมายค่อนข้างยาว เฟยอวี๋เล่าเรื่องที่ตัวเองประสบให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้อย่างกระจ่าง

……

ย้อนเวลาไปเมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้

สถานที่ ตีนเขาชิงเฉิง

เฟยอวี๋ปฏิบัติภารกิจที่โหยวจิ้นมอบหมายให้เขา เขาต้องไปตามหาความจริงจากศิษย์คนหนึ่งของสำนักชิงเฉิง และจับเป็นกลับมาที่สำนักมือปราบเทพ

หลังจากสอบสวนไปแล้วทั้งวัน ในที่สุดเฟยอวี๋ก็เล็งไปเป้าหมายไปยังศิษย์สำนักชิงเฉิงคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฟิงเหรินยวน จึงดักซุ่มอยู่บนเส้นทางที่เขาต้องผ่านตอนกลับภูเขา และจับกุมเขาไว้!

หากเรื่องราวเกิดขึ้นเพียงเท่านี้ ภารกิจของเฟยอวี๋ก็จะสำเร็จอย่างราบรื่น และจะสร้างผลงานได้โดดเด่นมากด้วย

ทว่า ตอนที่เขาเตรียมจะควบคุมตัวเฟิงเหรินยวนกลับสำนักมือปราบเทพ กลับบังเอิญเจอชายฉกรรจ์หน้าเหลืองคนหนึ่งเดินผ่านพวกเขาไป

จากนั้น สหายเฟยอวี๋ของพวกเราก็นึกขึ้นได้ถึงคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงตอนทำภารกิจสำนักคุ้มภัยฝูเวย ยิ่งภารกิจนี้มีระดับความสำเร็จสูง ผลประโยชน์ที่ได้รับก็ยิ่งมาก

ดังนั้น ชั่วพริบตาที่สหายเฟยอวี๋ของพวกเราเดินเฉียดกับอีกฝ่าย ก็พลันก้าวขึ้นมาดักตรงหน้าชายฉกรรจ์หน้าเหลืองคนนั้น ใช้ดาบปักวสันต์ในมือขวางอีกฝ่ายไว้

จากนั้นเฟยอวี๋ก็กล่าวอย่างมั่นใจเต็มสิบว่า “แม้บนตัวเจ้าจะไม่ได้สวมเครื่องแบบศิษย์สำนักชิงเฉิง แต่เจ้าต้องเป็นศิษย์สำนักชิงเฉิงเหมือนกันแน่นอน ถึงขนาดว่าเจ้าอาจจะรู้ความจริงในคดีสำนักคุ้มภัยฝูเวยเยอะกว่าเฟิงเหรินยวนด้วย”

“ถึงขั้นว่าเจ้าอาจจะเป็นญาติกับอวี๋ชางไห่ก็เป็นได้ หากปล่อยให้เจ้าจากไป ผลที่ตามมาคงร้ายแรงเกินคาดคิด!”

ชายฉกรรจ์หน้าเหลืองได้ยินแล้วอึ้งไปก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบอย่างใจเย็นมาก “ข้าไม่ใช่ ข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักชิงเฉิงเลย”

“เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องขึ้นอยู่กับเจ้าอย่างนั้นหรือ” เฟยอวี๋ยิ่งพูดยิ่งลำพองใจ “ความสามารถของข้าค่อนข้างพิเศษ ไม่เพียงแค่ไล่ตามคนร้ายได้หมื่นลี้ ทำให้อีกฝ่ายไร้ที่ซ่อน ขณะเดียวกันก็ยังมองทะลุอุปสรรคได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงถูกข้ามองปราดเดียว ข้าก็จะรู้ชื่อของเขาทันที”

สายตาหยอกเย้าของเฟยอวี๋มองสำรวจบนตัวชายฉกรรจ์หน้าเหลือง ก่อนจะพูดต่อว่า “และเจ้า ก็ไม่เพียงแต่ปรากฏตัวในเวลาพิเศษและสถานที่พิเศษเช่นนี้ ถึงขนาดว่าชื่อของเจ้าก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกับศิษย์รุ่น ‘เหริน’ ของสำนักชิงเฉิงด้วย!”

เฟยอวี๋ยิ่งพูดก็ยิ่งลำพองใจ ให้ความรู้สึกเหมือนเชอร์ล็อก โฮมส์เข้าสิง ในดวงตาเล็กที่ไร้ความโดดเด่นก็ยิ่งฉายแววฉลาดหลักแหลม ราวกับมองทะลุทุกอย่าง ทั้งตัวราวกับเดินเข้าไปอยู่ท่ามกลางสถานะพิเศษ ใช้ดาบปักวสันต์ชี้หน้าชายฉกรรจ์หน้าเหลือง “ข้าพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายังไม่ยอมรับตัวตนของตัวเองอีก”

“เหมียวเหรินเฟิ่ง!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด