ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 31 จอมยุทธ์ไก่อ่อน

อ่านนิยายจีนเรื่อง ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ ตอนที่ 31 จอมยุทธ์ไก่อ่อน อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 31 จอมยุทธ์ไก่อ่อน

แม่น้ำเฉียนถัง ยิ่งมาถึงปลายน้ำ กระแสน้ำก็ยิ่งกว้างขึ้น เยี่ยเว่ยหมิงเดินออกจากห้องโดยสารเรือของจางชุ่ยซาน แต่กลับเพิ่งเห็นอินปู้คุยกับศิษย์สำนักอู่ตังอีกคนกำลังยืนรับลมอยู่บนหัวเรือ หลังจากยิ้มบางๆ ให้ เขาก็เป็นฝ่ายเข้าไปทักทายทั้งสองก่อน

“น้องเยี่ยกับอาจารย์ลุงห้าคุยกันเป็นอย่างไรบ้าง” อินปู้คุยถาม

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย “ตั้งแต่ต้นจนจบเกี่ยวกับเรื่องนี้ จอมยุทธ์ห้าจางรู้ข้อมูลน้อยมากเช่นกัน ข้าไม่ได้รู้สถานการณ์เพิ่มเติมจากปากเขาเท่าไรนัก ว่าแต่สหายผู้นี้ ไม่ทราบว่ามีนามว่าอะไร”

ตอนนี้ศิษย์สำนักอู่ตังเหลืออยู่เพียงสองคน เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าตัวเองต้องทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมทีมอีกคนสักหน่อย

ศิษย์สำนักอู่ตังที่ใช้อาวุธเหมือนจางชุ่ยซานคนนั้น เมื่อถูกถามชื่อก็ทำสีหน้าแปลกๆ นิดหน่อย กลับเป็นอินปู้คุยที่หัวเราะลั่น ตอบคำถามแทนเขา “ถ้าจะพูดถึงเขาน่ะ ชื่อเสียงโด่งดังมากในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ เชียวล่ะ ไม่ทราบว่าน้องเยี่ยเคยได้ยินชื่อเสวียนเสี่ยวปี่มาก่อนหรือเปล่า”

เมื่อได้ยินชื่อเสวียนเสี่ยวปี่ เยี่ยเว่ยหมิงก็เบิกตาโพลงทันที ขณะมองเด็กหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้า ก็อุทานออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “เจ้าก็คือจอม…” พอพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็เอามือปิดปากไว้ทันเวลา เพราะฉายาของอีกฝ่ายฟังดูทำร้ายจิตใจพอสมควร

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเยี่ยเว่ยหมิง กลับเป็นเสวียนเสี่ยวปี่ที่โบกมืออย่างไม่ถือสา “ก็แค่จอมยุทธ์ไก่อ่อน ไม่ผิดหรอก เป็นข้าเอง ต่อจากนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”

เกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ มีผู้เล่นออนไลน์พร้อมกันหนึ่งล้านคน บางครั้งก็จะมีคนที่ฆ่าบอสสำเร็จครั้งแรกได้ออกทีวี พวกผู้เล่นเห็นจนชินแล้ว เพียงแต่ความสำเร็จของสหายคนตรงหน้านี้โดดเด่นกว่าเพื่อนฝูงจริงๆ ถึงได้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเยี่ยเว่ยหมิง

เขาคือผู้เล่นคนแรกในเกมที่โดนไก่จิกตาย จึงได้รับฉายาว่า ‘จอมยุทธ์ไก่อ่อน’

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ถือสา เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้ถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยมาตลอด “ว่ากันว่าในหมู่บ้านมือใหม่มีคนเยอะกว่าไก่ เจ้าทำได้อย่างไรกันแน่”

“ที่เจ้าพูดถึงมันคือสองชั่วโมงแรกตอนเริ่มเกม” เสวียนเสี่ยวปี่ส่ายหน้า “หลังจากข้าเข้าเกมแล้ว ข้าก็รับภารกิจฝึกคัดอักษรก่อน พอฝึกทีก็ใช้เวลาสองชั่วโมง แต่รางวัลภารกิจนั้นไม่เลวเลย ให้ค่าตระหนักรู้ข้าตั้งสามแต้ม ตอนหลังพอไปทำภารกิจฆ่าไก่ คนที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นก็น้อยลงแล้ว”

แล้วนายก็โดนไก่จิกตายเนี่ยนะ

เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่ายังฟังดูเหลวไหลไปหน่อย ถึงอย่างไรไก่ก็คือไก่ อย่าบอกนะว่ามันดุกว่าคน

กลับได้ยินเสวียนเสี่ยวปี่อธิบายต่อว่า “ตอนข้าทำภารกิจได้ครึ่งทาง ก็เจอไอ้เบื๊อกคนหนึ่งกำลังพูดจาแทะโลมผู้เล่นสาว โดยส่วนตัวแล้วข้าทนเรื่องพรรค์นี้ไม่ไหว ตอนนั้นข้าด่าเขาไปไม่กี่คำเอง ผลปรากฏว่าเจ้าเวรนั่นดันมาลงไม้ลงมือกับข้า ข้าก็เลยกำจัดเขาทิ้งเสียเลย แต่หลังจาก PK กันแล้ว พลังชีวิตข้าก็ต่ำจนถึงก้นบ่อ ตอนเพิ่งเข้าเกมข้ายังไม่รู้จักสังเกตแถบเลือดไง ด้วยความสะเพร่านี้ ข้าฟันแม่ไก่เล่นๆ ไปตัวหนึ่ง แล้วในชั่วพริบตาเดียวก็มีไก่ตัวผู้อีกสามตัวมาโจมตีข้าพร้อมกัน แล้วหลังจากนั้น…ข้าก็ได้ฉายาจอมยุทธ์ไก่อ่อนพร้อมแฟนสาวคนหนึ่งมาแบบงงๆ”

อะไรกันเนี่ย วีรบุรุษช่วยชีวิตสาวงาม ก็เลยได้สละโสดอย่างราบรื่น

ใช้ช่องทางนี้ก็ได้เหรอ!

หลังจากแนะนำตัวเสวียนเสี่ยวปี่เสร็จ อินปู้คุยก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “เรื่องที่ศิษย์เส้าหลินโจมตีก่อนหน้านี้ น้องเยี่ยมีความคิดเห็นอย่างไร”

“นี่สหายอินอยากจะทดสอบข้าหรือ”

อินปู้คุยปฏิเสธซ้ำๆ ว่ามิบังอาจ แล้วก็อธิบายว่า “ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเราก็อยู่บนเรือลำเดียวกัน ทุกคนมีเป้าหมายภารกิจเหมือนกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับภารกิจนี้กันสักหน่อย ก็จะช่วยให้ทำภารกิจสำเร็จได้ง่ายขึ้นถูกไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วยิ้มอ่อน ก่อนจะพูดตรงๆ ว่า “ถ้ามองจากมุมของเค้าโครงเรื่อง เรื่องในครั้งนี้ก็สมเหตุสมผล ในเมื่อพวกเจ้าสืบเจอเบาะแสพรรคอินทรีฟ้าได้ ศิษย์สำนักเส้าหลินก็สืบข่าวเกี่ยวกับดาบฆ่ามังกรได้เช่นกัน อย่างไรเสีย ถ้าไม่นับเรื่องเส้นทางลับของพรรคอินทรีฟ้า อวี๋ไต้เหยียนก็คือคนสุดท้ายที่ได้สัมผัสดาบฆ่ามังกร สำนักเส้าหลินมีเหตุผลให้จะสงสัยว่าอู่ตังได้ข่าวที่น่าเชื่อถือของดาบฆ่ามังกรมาแล้ว”

อินปู้คุยได้ฟังแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง “ก็ถูกของเจ้า ต่อให้อวี๋ไต้เหยียนถูกทรมานสอบปากคำ แต่ย่อมไม่เผยข้อมูลอะไรอยู่ดี คนนอกอาจจะไม่เชื่อว่าสำนักอู่ตังไม่รู้ที่อยู่ของดาบฆ่ามังกร ก่อนหน้านี้ข้ามัวแต่เสียเวลาทำเรื่องไร้ประโยชน์ ไม่ได้นึกถึงจุดนี้”

เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ แล้วพูดต่อไปว่า “ที่จริงโครงเรื่องอะไรนั่นก็เป็นเพียงเหตุผลที่ฟังขึ้นเท่านั้น ข้ารู้สึกว่าที่จริงระบบคงไม่อยากให้ผู้เล่นทำภารกิจนี้สำเร็จได้สบายเกินไป ก็เลยจงใจเพิ่มระดับความยาก โดยให้ศิษย์เส้าหลินกับอู่ตังสู้กันเองก่อน แล้วค่อยให้คนชุดดำลงมือ ดำเนินการคัดเลือกรอบสุดท้าย ส่วนคนที่รอดชีวิตก็เข้าสู้ช่วงต่อไป”

ตอนนี้ จู่ๆ เสวียนเสี่ยวปี่กลับเอ่ยขึ้นว่า “ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ คนชุดดำนั่นมีจุดยืนอย่างไรกันแน่ ทั้งลงมือแก้ไขสถานการณ์ ทั้งโจมตีศิษย์สองสำนักพร้อมกัน มองอย่างไรก็ดูขัดแย้งในตัวเองไปหน่อย”

“บางทีอีกฝ่ายอาจจะแค่อยากช่วยจางชุ่ยซานเฉยๆ อย่างไรเสีย ถ้าศิษย์สำนักเส้าหลินได้รับบาดเจ็บ ก็จะถ่วงแข้งถ่วงขา NPC เส้าหลินได้ แต่ถ้าศิษย์สำนักอู่ตังโดนฆ่าตายหมด จางชุ่ยซานก็จะไม่มีภาระในการหนีแล้ว ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้อย่างไร เขาใช้หนึ่งมือต่อหนึ่งคน หิ้วพวกเจ้าสองคนหนีมาได้ หากยังเหลือรอดอยู่เจ็ดคน เกรงว่าเขาคงหิ้วไม่ไหวกระมัง”

ขณะที่พูดก็โบกมือ “ข้าก็เดาไปเรื่อยเช่นกัน พวกเจ้าอย่าไปคิดเป็นจริงเป็นจัง อย่างไรเสียข้าก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนชุดดำนั่นเลย ใครจะไปรู้ว่าสถานการณ์จริงเป็นอย่างไรกันแน่”

“ไม่ปิดบังน้องเยี่ย ที่จริงภารกิจเจ็ดคนของอู่ตัง ขอเพียงมีสักคนที่อยู่รอดจนถึงตอนทำภารกิจสำเร็จ ทั้งเจ็ดคนก็ล้วนได้รับรางวัลภารกิจในตอนสุดท้าย แตกต่างกันแค่ว่า คนที่ค่าผลงานสำนักสูงจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าคนอื่น”

หลังจากแนะนำภารกิจของตัวเองให้รู้คร่าวๆ ด้วยความจริงใจ อินปู้คุยก็เริ่มพูดคุยสัพเพเหระกับเยี่ยเว่ยหมิง เมื่อได้ฟังเรื่องต่างๆ จากปากของอีกฝ่าย สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงก็รู้แล้วว่าอาจารย์ของอินปู้คุยคือจอมยุทธ์หกอินหลีถิง หนึ่งในเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตัง อินปู้คุยเหมือนจะเป็นคนช่างเจรจา มักจะเล่าเรื่องประหลาดอัศจรรย์ในยุทธภพให้เขาฟัง

ยกตัวอย่างเช่นประมุขพรรคอินทรีฟ้าที่ชื่ออินเทียนเจิ้ง[1] เดิมทีเป็นหนึ่งในสี่ผู้คุมกฎของพรรคจรัส จากนั้นก็คุยไปถึงราชสีห์ขนทองหวังเซี่ยซุน[2]หนึ่งในสี่ผู้คุมกฎอีก เล่าว่าเซี่ยซุนคือคนโหดในยุทธภพ ไม่รู้ว่ามีปมแค้นอะไรกับเฉิงคุน[3]ฉายาหัตถ์อัสนีบาต ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขา ก็เลยฆ่าคนวางเพลิงไปทั่ว แล้วทิ้งอักษรเลือดไว้ว่า ‘มือสังหาร เฉิงคุนหัตถ์อัสนีบาต’…

การสนทนาของทั้งสามใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงกว่า จนกระทั่งเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอำลาและจากไปอย่างพึงพอใจ เสวียนเสี่ยวปี่ถึงได้ถามอินปู้คุยอย่างอดไม่ได้ว่า “วันนี้เจ้าดูไม่ปกตินะ จะไปบอกเขาเยอะขนาดนั้นทำไม”

“ที่จริงสิ่งที่ข้าบอกเขาก็มีแต่เรื่องในอดีตทั้งนั้น ไม่ถือเป็นความลับอะไรในยุทธภพ” อินปู้คุยอธิบาย “ยิ่งไปกว่านั้น สุดท้ายผู้สร้างเกมก็เป็นผู้จัดวางโครงเรื่องให้ ไม่มีทางปล่อยให้ผู้เล่นที่รู้โครงเรื่องอยู่แล้วเจอ ‘คัมภีร์เก้าเอี๊ยง’ สอดอยู่ใน ‘ลังกาวตารสูตร’ หรือไปเจาะผาสำนึกตนแล้วก็เจอพวกเคล็ดกระบี่ไร้ผู้สืบทอดของห้าสำนักขุนเขากระบี่ง่ายๆ หรอก”

“ที่จริงตั้งแต่พวกเราลงเขา แม้แนวโน้มโครงเรื่องโดยรวมจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่รายละเอียดที่อยู่ในนั้นก็เปลี่ยนแบบพลิกโฉมเลย เพราะในโครงเรื่องไม่มีผู้เล่นอย่างพวกเราอยู่ด้วย ส่วนจางชุ่ยซานน่ะ หลังจากคดีฆ่าล้างสำนักคุ้มภัยหลงเหมินแล้ว เขาก็ขึ้นเรือของอินซู่ซู่ไปที่เขาหวังผานได้เลย”

“ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงกับพวกเรามีเป้าหมายภารกิจเหมือนกัน การเผยข้อมูลจำเป็นบางอย่างให้เขารู้ พวกเราก็ได้รับผลประโยชน์ที่อยู่ในนั้นมากขึ้นไม่ใช่หรือ”

“แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ ผลประโยชน์ที่เขาได้จะต้องมากกว่าพวกเราแน่นอน” เสวียนเสี่ยวปี่ยังคงกล่าวยังไม่เข้าใจ

“แล้วอย่างไรล่ะ”

อินปู้คุยส่ายหน้าน้อยๆ “ต่อให้ข้าทำแบบนี้แล้วจะเพิ่มผลประโยชน์ให้เขาสิบแต้ม ส่วนพวกเราได้แค่คนละห้าแต้ม แต่พวกเราก็ได้กำไรอยู่ดีไม่ใช่หรือ”

“มองให้กว้างกว่านี้หน่อยเถอะ ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ คือเกมที่มีผู้เล่นออนไลน์พร้อมกันหนึ่งล้านคน ถ้าอัปพลังให้แข็งแกร่งขึ้นได้ พวกเราก็จะกุมความได้เปรียบมากขึ้น ส่วนที่บอกว่ามีคนได้ผลประโยชน์มากกว่าพวกเรา แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ”

[1] อินเทียนเจิ้ง หรือที่รู้จักกันในชื่อฮึงเทียเจี่ย ฉายาอินทรีคิ้วขาวในละครเรื่องดาบมังกรหยก

[2] หวังเซี่ยซุน หรือที่รู้จักกันในชื่อหวังเจี่ยซุ่นในละครเรื่องดาบมังกรหยก

[3] เฉิงคุนหรือเซ่งคุนในละครเรื่องดาบมังกรหยก

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด