ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 212 เงาของเทพกระบี่

อ่านนิยายจีนเรื่อง ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ ตอนที่ 212 เงาของเทพกระบี่ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 212 เงาของเทพกระบี่

ดูจากข้อมูลแนะนำ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เลเวลสิบยังดูประสิทธิภาพธรรมดา พลังโจมตีก็ดีกว่า ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เลเวลหกนิดหน่อยเท่านั้น

ใช่แล้ว บางทีก็ดีกว่าเลเวลเจ็ดด้วย แต่ถ้ารอให้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เพิ่มถึงเลเวลแปด ก็น่าจะบดขยี้มันได้ทุกด้าน

มองจากจุดนี้ เหมือนจะเป็นการทำผิดต่อค่าประสบการณ์สามแสนแต้มที่ต้องใช้นิดหน่อย

อย่างไรเสีย ความยอดเยี่ยมของ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ก็ไม่ได้เกิดจากดาเมจของกระบวนท่าอันดุดันอยู่แล้ว แต่เป็นโบนัสค่าสเตตัสต่างหาก!

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากเลเวลของวิทยายุทธ์ถึงเลเวลสิบซึ่งเป็นระดับสมบูรณ์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเพิ่มเลเวลซ้อนได้ผ่านการใส่อุปกรณ์

เพียงแต่การเพิ่มเลเวลซ้อนแบบนี้ เพิ่มได้เพียงค่าสเตตัสพื้นฐานของทักษะยุทธ์เท่านั้น แต่กลับไม่มีทางเปลี่ยนแบบพลิกโฉมใหม่ได้อย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างเช่นก่อนได้รับการชี้แนะจากหวงโส่วจุน ค่าสเตตัสของ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ก็แค่โจมตี +110% ป้องกัน +110% เท่านั้น ไม่ใช่แค่ค่าสเตตัสที่แตกต่างกับตอนอัปถึงเลเวลสิบ ทั้งยังขาด ‘เอฟเฟ็กต์พิเศษ’ ที่สำคัญไปหนึ่งอย่างด้วย

เอฟเฟ็กต์พิเศษนี้ต่างหาก ที่ทำให้ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เปลี่ยนจากดักแด้กลายเป็นผีเสื้ออย่างแท้จริง กลายเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลง!

[เงาของเทพกระบี่: คุณฝึก ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ จนถึงระดับสมบูรณ์แล้ว ในที่สุดก็ได้เข้าใจถึงท่วงท่าอันสง่างามของเทพกระบี่]

[เอฟเฟกต์พาสซิฟ: ได้เอฟเฟกต์ทวีคูณของค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’ ถ้ามี ‘ความว่องไว’ 1 แต้ม ก็จะแสดงผลได้ 2 แต้ม!]

เอฟเฟกต์ทวีคูณของค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’ จะให้ความรู้สึกอย่างไรกัน

อย่างไรเสีย หลังจากเคล็ดกระบี่นี้อัปถึงเลเวลสิบแล้ว ทุกอย่างรอบตัวที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกได้ราวกับเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว

แต่หากจะถามให้เจาะจงว่าตรงไหนที่เปลี่ยนไป เขาเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน

ตอนนี้เอง กลับได้ยินเสียงหวงโส่วจุนทีนั่งอยู่ด้านบนเอ่ยถามว่า “เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย ตอบกลับด้วยความเคารพ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

“ไม่ใช่หรอก!”

หวงโส่วจุนส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นกล่าวอย่างมั่นใจมากกว่า “สีหน้าของเจ้าบอกข้าว่าเจ้าไม่เข้าใจ”

พอพูดจบ ร่างของหวงโส่วจุนก็หายไปจากตรงหน้าทั้งสามราวกับเคลื่อนย้ายมวลสาร ขณะเดียวกัน ก็ไปปรากฏตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิงสามฉื่อ (ประมาณหนึ่งเมตร)

หลังจาก ‘หายตัว’ มาโผล่ตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง นิ้วชี้กับนิ้วกลางมือขวาของหวงโส่วจุนก็หุบเข้าด้วยกัน แล้วแตะเข้ามาตรงหว่างคิ้วของเขาโดยตรง!

การเคลื่อนไหวของนิ้วเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนทำให้เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ มองเห็นเพียงเงาเลือนรางเท่านั้น

ตอนที่ทั้งสองนึกว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะต้องถูกนิ้วของหวงโส่วจุนจิ้มแน่ๆ กลับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะพลันหันหน้าหลบอย่างรวดเร็วเช่นกัน ใช้ระยะการหลบน้อยมาก แทบจะหลบนิ้วที่ไวปานสายฟ้าของหวงโส่วจุนไม่ทัน

ทว่าเมื่อโจมตีครั้งเดียวแล้วไม่ถูกเป้าหมาย หวงโส่วจุนกลับเป็นเปลี่ยนใช้ฝ่ามือแทน ใช้ฝ่ามือเป็นดาบ ฟันขวางเข้ามาตรงหน้าผากแบนราบของเยี่ยเว่ยหมิง

กระบวนท่านี้รวดเร็วอัศจรรย์เช่นเดียวกัน แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับเอนหลังอย่างไม่รีบร้อน จึงหลบดาบฝ่ามือนี้ของหวงโส่วจุนได้

ผู้เล่นอีกสองคนตาปริบๆ มองฝ่ามือของหวงโส่วจุนเฉียดผ่านปลายจมูกของเขาไป แต่กลับทำร้ายเขาไม่ได้แม้แต่ครึ่งเส้นขน

เป็นท่าร่างที่เจ๋งมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะหลบหลีกการโจมตีที่รวดเร็วดุดันได้สบายๆ!

หลังจากนั้น หวงโส่วจุนก็โจมตีเยี่ยเว่ยหมิงอีกสิบกว่ากระบวนท่าในอึดใจเดียว แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับหลบหลีกได้อย่างเหมาะเจาะ

ในสายตาของซานเย่ว์กับเฟยอวี๋ ตอนนี้หวงโส่วจุนกลายเป็นเงาเลือนรางที่มองเห็นไม่ชัดแล้ว แต่ท่ามกลางการโจมตีโหดที่เหมือนพายุฝน เยี่ยเว่ยหมิงกลับหลบซ้ายหลบขวา ใช้การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็รอดจากการโจมตีที่รวดเร็วจนเหนือสายตามนุษย์ของหวงโส่วจุนได้!

หลังจากผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า เงาร่างของหวงโส่วจุนก็ ‘เทเลพอร์ต’ อีกครั้ง หายไปจากตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง กลับมานั่งประจำที่ของตัวเองในหอประชุมอีกครั้ง ราวกับไม่เคยย้ายที่มาก่อน เอาแต่อมยิ้มมองเยี่ยเว่ยหมิงที่ยังไม่หายตกใจ “ตอนนี้ เจ้าเข้าใจหรือยัง”

ก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงถูกหวงโส่วจุนโจมตีต่อเนื่อง เมื่อค่าสเตตัสท่าร่างประกอบกับกำลังภายในแล้วแสดงประสิทธิภาพสูงสุดออกมา เขาเพียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็หลบการโจมตีที่เหมือนพายุฝนของหวงโส่วจุนได้แล้ว ตอนนี้ย่อมไม่มีกะจิตกะใจไปครุ่นคิดถึงอย่างอื่น

ตอนนี้เมื่อได้ยินหวงโส่วจุนเตือน เขากลับดีอกดีใจมาก รีบกุมหมัดคารวะ “ขอบคุณหวงโส่วจุนมากที่ชี้แนะ ข้าเข้าใจแล้ว ครั้งนี้ข้าเข้าใจแล้วจริงๆ!”

หวงโส่วจุนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เข้าใจก็ดีแล้ว วันนี้พวกเจ้าได้อะไรไปไม่น้อยเลย กลับไปตั้งใจเรียบเรียงให้ดีเถิด”

ทั้งสามกล่าวอำลาแล้วออกจากหอประชุม

ตอนที่เพิ่งออกจากประตูใหญ่ ซานเย่ว์อดไม่ไหว คว้าแขนเยี่ยเว่ยหมิงแล้วถามอย่างตื่นเต้นว่า “อาหมิง เจ้าเก่งกาจเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าขนาดหวงโส่วจุนโจมตีสุดกำลังแล้ว เจ้าก็ยังหลบได้สิบกว่ากระบวนท่าโดยไม่บาดเจ็บเลยสักนิด เป็นบิดาของบิดาของบิดาของยอดฝีมือจริงๆ!”

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเจื่อนเยาะเย้ยตัวเอง “ข้าเก่งบ้าอะไรล่ะ!”

ไม่รอให้อีกฝ่ายถาม เขาก็อธิบายต่อว่า “เมื่อครู่ข้าใช้ความเร็วจนเต็มขีดจำกัดของตัวเองแล้ว แต่กลับทำได้เพียงหลบการโจมตีของหวงโส่วจุนเท่านั้น อยากจะดึงระยะห่างสักก้าวยังทำไม่ได้…

…แต่หวงโส่วจุนกลับไม่เปลืองแรงเลยสักนิด…

…ความเร็วของเขาไม่มากหรือน้อยไป แต่กลับบีบให้ข้าพยายามหลบสุดความสามารถได้ ไม่ถึงขั้นรับมือไม่ไหวด้วย เพียงทำให้ข้าสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ หลังจากถึงเลเวลสิบได้ดียิ่งขึ้นก็เท่านั้นเอง…

…ในสายตาพวกเจ้า ความเร็วของเขานับเป็นระดับสูงสุดแล้ว แต่ความจริงเขาเพียงใช้ความเร็วที่มากกว่าบีบให้ข้าใช้ความเร็วสูงสุดก็เท่านั้นเอง ด้านกระบวนท่ากลับเคลื่อนไหวเยอะมาก โจมตีไปโจมตีมา ในระหว่างนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนใดๆ บางทีอาจจะมีเพียงการทำอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะรู้สึกได้ถึงเอฟเฟ็กต์ของค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’”

“ความว่องไว?” เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างๆ กลับจับประเด็นสำคัญจากคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงได้แล้ว เขาถามว่า “ฟังจากที่เจ้าพูด หลังจาก ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เพิ่มถึงเลเวลสิบแล้ว ก็จะเพิ่มเอฟเฟ็กต์พิเศษให้ ‘ความว่องไว’ ทั้งยังเพิ่มอย่างชัดเจนมากด้วยอย่างนั้นหรือ”

ซานเย่ว์ที่อยู่ข้างกันกลับยังงงงวย “ค่าสเตตัสอย่างความว่องไวแสดงประสิทธิภาพได้แข็งแกร่งขนาดนี้เหมือนกันหรือ ข้ายังนึกว่าเจ้าได้ท่าร่างเสริมที่ร้ายกาจมากเสียอีก”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วถามกลับว่า “ตอนนี้เข้าเกมมาได้สักระยะแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า พลังกับความเร็วที่พวกเจ้ามีตอนนี้เป็นอย่างไร ตอนที่พวกเจ้าประมือกับศัตรู พวกเจ้าใช้วิธีการรีบสู้รีบจบ ใช้ทุกกระบวนท่าที่อันตรายที่สุด หากเปลี่ยนเป็นตอนที่พวกเราเพิ่งเข้ามาในเกมแล้วอยู่ในการต่อสู้นั้น พวกเจ้าจะควบคุมพลังกับความเร็วที่ตัวเองมีไหวหรือเปล่า”

“เรื่องนี้…”

พอได้ยินคำถามของเยี่ยเว่ยหมิง ทั้งสองก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกัน

จนกระทั่งตอนนี้ ซานเย่ว์เพิ่งจะเข้าใจ “สิ่งที่ทำให้พวกเราควบคุมพลังกับความเร็วได้ก่อนหน้านี้ก็คือผลจากค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’ หรือ”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ อาศัยเลเวลและโบนัสเคล็ดวิชาต่างๆ ค่าสเตตัสแต่ละรายการที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างเฉลี่ยกัน แต่ ‘ความว่องไว’ ของข้าเพิ่มเร็วสุดในบรรดาค่าเตตัสทั้งหมด ข้าจึงไมได้สังเกตจุดนี้เลย”

“เพราะก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็ได้อัปเลเวลค่อนข้างเยอะ กอปรกับการจู่โจมของหวงโส่วจุน ถึงทำให้ข้าตระหนักได้ถึงความสำคัญของความว่องไว”

พอนึกถึงความรู้สึกที่ตัวเองควบคุมทุกอย่างได้ก่อนหน้านี้ แม้เยี่ยเว่ยหมิงจะรู้ชัดว่ารู้สึกไปเอง แต่กลับยังแอบดีใจ

เมื่อมี เอฟเฟ็กต์เสริมอย่าง ‘เงาของเทพกระบี่’ ก็ทำให้เขากลายเป็นยอดฝีมือที่เคลื่อนไหวรวดเร็วได้ภายในเวลาสั้นๆ แล้ว

โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีสมาธิสูงอย่างนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนได้ใช้ ‘เอฟเฟ็กต์หลบกระสุน’ ในภาพยนตร์!

ราวกับทั้งโลกนี้หมุนช้าลง ทำให้เขารับมือกับทุกสถานการณ์ฉุกเฉินได้สบายๆ

ส่วนเฟยอวี๋กับซานเย่ว์พอได้ฟังเขาพูดแล้วก็อดเผยสีหน้าครุ่นคิดไม่ได้ ราวกับกำลังพิจารณาว่าต้องเลือกทักษะยุทธ์ที่เหมาะสมสักวิชาเพื่ออัปเลเวลให้ถึงระดับสมบูรณ์ก่อนไหม

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า กลับเป็นคนแรกที่ดึงสติกลับมาก่อน จู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ไปกันเถอะ ข้าพาพวกเจ้าไปดูธนูระดับทองคำที่ข้าพูดถึงก่อนหน้านี้”

คาดไม่ถึงว่าเฟยอวี๋ได้ยินแล้วกลับส่ายหน้า “หากเทียบกับธนูระดับทองคำอะไรนั่น เยี่ยเว่ยหมิง เจ้าจำเรื่องที่หมู่บ้านแปะก๊วยตอนนั้นได้ไหม ที่พวกเราสัญญากับสหายถังไว้”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอดชะงักไม่ได้ จากนั้นบอกว่า “เจ้าพูดถูก เขาเคยรับปากเจ้า ว่าหากเจ้าเลิกใช้ดาบแล้วมาใช้กระบี่เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้าย เขาก็จะพิจารณาเรื่องยอมรับเจ้า”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด