ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 96 หมู่บ้านชื่อสยา เมืองกูซู

อ่านนิยายจีนเรื่อง ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ ตอนที่ 96 หมู่บ้านชื่อสยา เมืองกูซู อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 96 หมู่บ้านชื่อสยา เมืองกูซู

จนกระทั่งตอนนี้ การสอบสวนก็ยังเป็นเพียงเยี่ยเว่ยหมิงที่โจมตีฝ่าแนวป้องกันทางจิตใจของหลินผิงจือฝ่ายเดียว ยังไม่ได้คำรับสารภาพของหลินผิงจือ ส่วนซานเย่ว์ที่กำลังว่างงาน นอกจากยืนกอดไหล่หน้านิ่งอยู่ข้างกายเหมือนราชองครักษ์ ก็ทำได้เพียงส่งสติกเกอร์แก้เบื่อลงในช่องทีม

สำหรับรสนิยมบ้านๆ ของนางหนูคนนี้ เยี่ยเว่ยหมิงแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

ขณะเขามองดูการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหลินผิงจืออย่างสนใจ ปากก็พูดต่อไปว่า “สำนักชิงเฉิงสู้กับสำนักดาบทอง แม้จะไม่ได้เคลื่อนไหวในขอบเขตเหมือนตอนสู้กับสำนักคุ้มภัยฝูเวยของพวกเจ้า แต่หากพวกเขาใช้วิธีการลอบจู่โจม ตัดกำลังอันเกรียงไกรของสำนักดาบทองก่อนสักหน่อย จากนั้นค่อยทุ่มสุดกำลังเพื่อจู่โจมตอนสำนักดาบทองไม่ทันระวังตัว เจ้าคิดว่าสำนักดาบทองจะยังต้านไหวอีกหรือ”

หลินผิงจือในตอนนี้ ร่างกายเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ก็ยังกัดฟันแน่นไม่ยอมพูดสักคำ

เยี่ยเว่ยหมิงเห็นดังนั้น กลับนำน้ำกาหนึ่งออกจากห่อสัมภาระ ดื่มไปอึกหนึ่งอย่างใจเย็น แล้วก็ดื่มต่อช้าๆ กระทั่งรู้สึกสดชื่นชุ่มคอแล้วถึงได้พูดต่อว่า “ตอนนี้เจ้าต้องกำลังคิดแน่ๆ ว่าในเมื่อเจ้าไร้ความสามารถที่จะหยุดยั้งไม่ให้พ่อแม่เจ้าเผชิญอันตราย เช่นนั้นเจ้าก็ปิดปากเงียบเสียเลย ไม่ยอมรับสารภาพแล้ว…

…เพราะมีเพียงการมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น เจ้าถึงจะจุดธูปหอมไหว้บรรพบุรุษให้ตระกูลหลินได้…

…มีเพียงการมีชีวิตต่อไปเท่านั้น เจ้าถึงจะมีโอกาสล้างแค้นให้ญาติพี่น้องที่ตายไป!…

…ข้าพูดถูกหรือไม่”

หลินผิงจือก้มหน้าลง ทั้งตัวราวกับถูกปกคลุมไปด้วยอารมณ์ด้านลบที่ยากจะใช้คำพูดบรรยายออกมาได้

เมื่อเยี่ยเว่ยหมิงเห็นสถานการณ์ดังนั้น กลับลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงสองสามที ก่อนจะถามอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เจ้าคิดว่าหากตัวเองไม่พูดอะไรเลย แล้วจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือ”

หลินผิงจือได้ยินแล้วตัวสั่นรุนแรง เขาเงยหน้าอีกครั้ง มองเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“อย่ามองข้าอย่างนั้น” เยี่ยเว่ยหมิงโบกมืออย่างสบายอารมณ์มาก “สำนักมือปราบเทพเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของราชสำนักที่ยุติธรรมเที่ยงตรง ไม่เพียงแค่จะไม่ทำร้ายเจ้าจนถึงแก่ชีวิต ถึงขั้นว่าเมื่อยังไม่มีหลักฐานจริง ก็จะไม่บีบบังคับให้เจ้าสารภาพด้วยซ้ำ อีกทั้งเมื่ออยู่ในเวลาที่กำหนด หากพวกเรายังหาหลักฐานที่ใช้ได้จริงไม่พบ เจ้าก็จะได้รับการปล่อยตัวโดยไร้ความผิด เพียงแต่ว่า…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ บนใบหน้าของเยี่ยเว่ยหมิงก็เผยรอยยิ้มอันไร้พิษภัย “หลังจากเจ้าออกจากสำนักมือปราบเทพไปแล้ว จะรอดพ้นการไล่สังหารแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินของสำนักชิงเฉิงได้จริงหรือ”

เมื่อเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเช่นนี้ออกมา หลินผิงจือก็ราวกับถูกฟ้าผ่าโจมตี ในหัวมีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็เรียกซานเย่ว์ก่อนจะเดินออกไปนอกคุก ขณะเดียวกันก็กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “รักษาช่วงเวลาต่อจากนี้ให้ดีเถอะ ตั้งใจดูคุกนี้เอาไว้ แม้มันจะกักขังอิสระของเจ้า แต่กลับเป็นฉากกำบังสุดท้ายที่ปกป้องความปลอดภัยในชีวิตเจ้าได้ รออีกสักสองสามวัน เกรงว่าต่อให้เจ้าอยากจะเห็นมัน แต่ก็จะไม่ได้เห็นอีกแล้ว”

“ช้าก่อน!”

ขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์กำลังจะออกจากห้องขัง ในที่สุดหลินผิงจือก็ละทิ้งความดึงดันครั้งสุดท้ายแล้วเป็นฝ่ายเรียกเยี่ยเว่ยหมิงก่อน

เมื่อได้ยินเสียงนั้น เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ก็สบตากันแวบหนึ่ง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะออกมาพร้อมกัน

ตอนที่ทั้งสองหันกลับมาอีกครั้ง ตอนที่คุยรายละเอียดกับ ‘ตัวละครฟ้าลิขิต’ คนนี้ต่อ ประตูเหล็กของคุกกลับถูกคนเปิดออกจากด้านนอก

เมื่อเงยหน้ามองอีกครั้ง กลับเห็นโหยวจิ้นที่สวมหน้ากากเหล็กสีดำเดินเนิบนาบเข้ามา ขณะที่เดินลงบันได เขาก็ใช้น้ำเสียงแหบแห้งบาดหูที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนออกไปก่อน ข้ามีบางอย่างจะคุยกับหลินผิงจือเป็นการส่วนตัว”

ปีที่แล้วฉันซื้อนาฬิกามาหนึ่งเรือน[1]!

เมื่อได้ฟังคำขอของโหยวจิ้น เยี่ยเว่ยหมิงก็แทบจะกระโดดออกไปด่าแม่ตรงนั้นเลย

ไม่ง่ายเลยกว่าพวกฉันจะทะลวงฝ่าแนวป้องกันทางด้านจิตใจของหลินผิงจือได้ ไม่น่าเชื่อว่านายจะโผล่มาป่วนสถานการณ์ในเวลานี้ เราไม่ควรเล่นอย่างนี้สิ!

ทว่าไม่ทันรอให้เขาเคลื่อนไหวอะไร ซานเย่ว์ที่อยู่ข้างกายกลับดึงชายเสื้อเขา แล้วกระซิบข้างหูเบาๆ ว่า “ข้าเพิ่งได้รับข้อความแจ้งเตือนจากระบบ บอกว่าภารกิจของเข้าเสร็จสิ้นแล้ว”

แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย

ในเมื่อได้ผลประโยชน์มาไว้ในมือแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ย่อมไม่หาเรื่องผู้บังคับบัญชาอย่างโหยวจิ้นอีก

หลังจากกล่าวอำลาชายหน้ากากเหล็กแล้ว ก็เดินนำซานเย่ว์ออกจากคุกใต้ดินไปเสียเลย

……

ซูโจว ชื่อเดิมคือ ‘อู๋’ เรียกสั้นๆ ว่า ‘ซู’ เรียกว่ากูซู ผิงเจียงก็ได้ เป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เคียงคู่กับเมืองหังโจวมาตั้งแต่สมัยโบราณ ได้รับขนานนามว่าสวรรค์ในโลกมนุษย์ สถาปัตยกรรมแบบสวนหย่อมของที่นี่ก็ยิ่งเป็นสุดยอดในใต้หล้า

เมื่อลงจากรถม้าแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ถือโอกาสซื้อแผนที่ของซูโจวที่จุดพักม้า หาตำแหน่งโดยละเอียดของหมู่บ้านชื่อสยา จากนั้นมุ่งหน้าไปทางใต้ของเมืองโดยใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุด

ขณะเห็นเยี่ยเว่ยหมิงมีท่าทางรีบร้อน ไม่สนใจทิวทัศน์อันงดงามและร้านค้าโดยรอบ ซานเย่ว์ก็รู้สึกจนใจอยู่พักหนึ่ง

ความสามารถในการทำงานของเจ้าหมอนี่นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย ภารกิจที่ทำเอาตัวเองกลุ้มใจมานาน แต่เขากลับพูดไม่กี่คำก็ทำสำเร็จแล้ว

แต่เมื่อมีประสบการณ์เดินเล่นในตลาดกับคนประเภทนี้ นางก็ไม่กล้ากล่าวสรรเสริญเลย

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็ได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงบอกว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าเคยสืบเบื้องลึกของหมู่บ้านชื่อสยามาแล้ว…

…ได้ยินว่าเจ้าบ้านของหมู่บ้านชื่อสยานามว่ากงเหย่เฉียน วิชาหมัดฝ่ามือของเขาจัดว่าเป็นยอดฝีมือระดับบนของยุคเจียงหนาน ยอมรับว่าตัวเป็นรองเพียงมู่หรงฟู่แห่งกูซูเท่านั้น อีกทั้งคนผู้นี้ก็ชื่นชอบการผูกมิตรกับผู้มีฝีมือทั้งใต้หล้า นับเป็นบุคคลที่เข้าได้กับทุกฝ่ายคนหนึ่งเช่นกัน”

เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยถึงภารกิจกะทันหัน ซานเย่ว์ก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับ

ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็อธิบายต่อไปว่า “อีกประเดี๋ยวหลังจากเจอกงเหย่เฉียนแล้ว ข้าจะนำของเลียนแบบของภาพเขียนอักษรที่ถูกขโมยออกมาหยั่งเชิงเขา เจ้าช่วยข้าสังเกตปฏิกิริยาของเขาด้วย เหมือนตอนที่สอบสวนหลินผิงจือก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะพบอะไร ก็จับภาพหน้าจอส่งให้ข้าได้ทุกเมื่อ”

“ข้าช่ำชองงานนี้ เจ้าวางใจเถอะ” ขณะที่พูด ซานเย่ว์เร่งความเร็วฝีเท้า หลังจากเดินมาตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิงแล้วก็หมุนตัว เปลี่ยนเป็นหันหน้ามาหาเยี่ยเว่ยหมิง เดินหันหลังให้กับเส้นทางข้างหน้า ขณะที่เดินถอยหลังก็ยื่นมือขึ้นไปขยับปิ่นมุกบนศีรษะให้ตรง ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วถามเขาว่า “เป็นอย่างไร ดูดีไหม”

ปิ่นมุกเล่มนี้เป็นรางวัลภารกิจที่ซานเย่ว์ได้รับมาจากภารกิจสอบสวนหลินผิงจือก่อนหน้านี้ เด็กสาวคนนี้ส่งลิงก์ไอเทมมาให้เยี่ยเว่ยหมิงทันทีที่ได้รับของมาไว้ในมือ

สิ่งนี้เป็นไอเทมคุณภาพทองคำ ใช้สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ขณะเดียวกันก็เพิ่มขีดจำกัดกำลังภายในกับเพิ่มขีดจำกัดพลังชีวิต ค่าสเตตัสดีมาก เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วยังอิจฉา

เพียงแต่เมื่อเทียบกับโบนัสค่าสเตตัส ก็เห็นได้ชัดว่าซานเย่ว์พอใจกับรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามของมันมากกว่า

ตลอดทางที่มานี้ เยี่ยเว่ยหมิงตอบคำถามแบบเดียวกันมาสามรอบแล้ว “ดูดี”

“เชอะ เจ้าก็พูดตัดคำราญไปอย่างนั้น…”

แม้ปากจะพูดแขวะ แต่ซานเย่ว์ก็ยังหมุนตัวกลับมาเดินข้างกายเยี่ยเว่ยหมิงอีกครั้ง บนใบหน้ายังเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจอยู่ดี

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เมื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่แล้วก็มักจะหวังให้คนชื่นชม สิ่งเดียวที่นางนึกเสียใจทีหลังก็คือ ข้างกายไม่มีเพื่อนที่ชอบอะไรคล้ายกัน มีแต่ชายแท้มาดแมนคนนี้เท่านั้น

ความรู้สึกนี้ก็เหมือนเวลาที่เจ้าเพิ่งได้เหอเถา[2]คุณภาพเยี่ยมมา ตอนที่เจ้ากำลังไปหาคนเพื่อโอ้อวด แต่อีกฝ่ายกลับชื่นชมไข่ต้มสมุนไพรในจานมากกว่า ความในใจของเขาก็คือ เหอเถาของเจ้าไม่ได้ดีเท่าไข่ต้มสมุนไพรของเขาเลย

ถ้าเป็นสะพานสวรรค์น้อย แค่เรื่องปิ่นมุกแท่งนี้เล่มเดียว เพื่อนสาวก็คุยกันได้เป็นครึ่งค่อนวันแล้ว!

ขณะที่ในใจกำลังคิดอย่างภาคภูมิใจ จู่ๆ ซานเย่ว์กลับรู้สึกแน่นเอว นึกไม่ถึงว่าจะถูกเยี่ยเว่ยหมิงคว้าเอวบางของนางไว้กะทันหัน แล้วพุ่งออกไปข้างหน้าหลายเมตร

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้สาวน้อยที่กำลังหลับหูหลับตาชมตัวเองร้องอุทานตกใจ จากนั้นก็เห็นคมกระบี่สะท้อนแสงสีเขียววิบวับ ตามด้วยเสียง โช้งเช้ง! หลายครั้ง ก่อนจะเห็นอาวุธลับหลายชิ้นถูกโจมตีตกพื้น

[1] ปีที่แล้วฉันซื้อนาฬิกามาหนึ่งเรือน 我去年买了个表 พ้องเสียงกับประโยค 我去你妈了个逼 (WQNMLGB) ที่แปลว่า ฉันได้กับแม่แกแล้ว

[2] เหอเถา 核桃 วอลนัท

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด