ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 126 บุตรสาวของหลิงเฟิง
อืม…
ไม่ต้องสงสัยเลย เยี่ยเว่ยหมิงกำลังเล่นเกมทายคำอยู่ชัดๆ
ที่จริงแล้ว ต่อให้ชวีหลิงเฟิงไม่ยอมจำนน เขาก็ไม่คิดจะทำร้ายเด็กผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว
การที่เขานำญาติพี่น้องของฝ่ายตรงข้ามมาข่มขู่เมื่อเกิดเรื่องจวนตัว ก็เป็นเพราะไม่มีทางเลือก แต่หากทำร้ายผู้บริสุทธิ์จริงๆ เรื่องทั้งหมดก็จะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ต่อให้รู้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียง NPC เป็นเพียงข้อมูลชุดหนึ่งที่ไม่มีชีวิตก็ตาม
แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เขาล้ำเส้นแน่นอน!
คนอื่นจะคิดอย่างไรนั้นไม่สำคัญ อย่างน้อยเยี่ยเว่ยหมิงก็เลือกที่จะรักษาเส้นคุณธรรมและเจตนาเดิมของตัวเองเมื่ออยู่ในเกม!
นอกจากนี้ ตอนรับรางวัลจากเหมียวเหรินเฟิ่ง เขาก็เพิ่งถูกหักค่าวีรบุรุษไปยี่สิบแต้ม ตอนนี้ถูกหักเพิ่มอีกไม่ได้แล้ว หากถูกหักค่าวีรบุรุษอีก เขาก็จะกลายเป็นคนชั่วแล้ว
แม้สำนักมือปราบเทพจะไม่ ‘ไล่ออกจากสำนัก’ เพียงเพราะเขากลายเป็นคนเลว แต่เมื่อค่าวีรบุรุษติดลบก็จะยังส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ในเกมเป็นอย่างมาก
เยี่ยเว่ยหมิงไม่อยากสัมผัสความรู้สึกเจ็บแสบเกินบรรยายยามกลายเป็นคนน่าสมเพชเวทนา
ดังนั้น ตอนนี้เขาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไม่ไหวจริงๆ!
ทว่าเรื่องที่เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้คิดจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์นี้ เนื่องจากทักษะการแสดงที่สมจริงของเขา ชวีหลิงเฟิงกลับมองไม่ออก กอปรกับภาพจำของคนในยุทธภพมักคิดว่าหน่วยงานที่เป็นสุนัขรับใช้ราชสำนักอย่างสำนักมือปราบเทพเช่นนี้ โดยปกติแล้วไม่ใช่ของดีอะไร ภาพลักษณ์ของหน่วยงานนี้ไม่มีทางตรงกับคำว่า ‘ความเป็นธรรม’ ในใจพวกเขาได้
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงจับคนเป็นตัวประกันแล้ว สีหน้าของชวีหลิงเฟิงก็ย่ำแย่ลงทันที เขาทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะกล่าวเสียงต่ำว่า “ได้! ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก แต่เจ้าอย่าทำร้ายลูกสาวของข้า!”
พูดพลางชวีหลิงเฟิงก็สะบัดมือขวา ไม้เท้าเหล็กในมือกระเด็นออกมาแล้ว ดูเหมือนเตรียมจะเลิกขัดขืนแล้วจริงๆ
เมื่อได้เห็นฉากนี้ พวกเฟยอวี๋และซานเย่ว์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน แต่ผู้ที่สายตาแหลมคมอย่างเยี่ยเว่ยหมิงกลับพบว่าขณะที่เขาปล่อยไม้เท้าเหล็กออกมา มือขวาก็ทำท่าพลิกฝ่ามือรวมพลังปราณ
การเคลื่อนไหวท่านี้บางเบาและคลุมเครือมาก แต่เยี่ยเว่ยหมิงเชื่อว่าตัวเองมองไม่ผิดแน่นอน!
อย่าบอกนะว่านี่คือ…ฝ่ามือตัดอากาศในตำนาน?
เมื่อในใจคาดเดาได้เช่นนี้ ที่จริงตอนนี้ขอเพียงเยี่ยเว่ยหมิงลงมือทำอะไรกับเด็กผู้หญิงที่ตัวเองควบคุมอยู่มากขึ้น ชวีหลิงเฟิงที่กลัวลูบหน้าปะจมูก[1]ก็จะไม่กล้าบุ่มบ่ามใช้ฝ่ามือโจมตีแน่นอน
แต่ทันใดนั้น แผนการที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่ากลับปรากฎขึ้นมาในหัวของเขาแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงแสร้งไม่รู้ตัวและสบตากับชวีหลิงเฟิงต่อไป คมกระบี่ชิงจู๋ในมือเว้นระยะห่างออกมาเล็กน้อย จะได้ไม่พลาดทำร้ายโดนเด็กผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาจริงๆ
วินาทีถัดมา…
ตุ้บ!
บนบ่าขวาของเยี่ยเว่ยหมิงพลันถูกโจมตีอย่างรุนแรงทีหนึ่ง แทบจะจับกระบี่ยาวในมือไว้ไม่อยู่ ที่ยิ่งกว่านั้นคือร่างสะเทือนจนกระเด็นไปข้างหลัง ก่อนจะกระแทกกับผนังโรงเตี๊ยมอย่างแรง เหนือศีรษะมีตัวเลขดาเมจสี่หลักลอยขึ้นมา
-3386!
แค่การโจมตีธรรมดาหนึ่งครั้ง ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงเสียพลังชีวิตไปเกือบครึ่ง!
ส่วนชวีหลิงเฟิงก็กระทุ้งไม้เท้าในมือซ้ายลงบนพื้น ทำให้อิฐเขียวก้อนหนึ่งใต้เท้าแลกละเอียด แล้วพุ่งร่างออกมาข้างหน้าราวกับลูกธนูดอกหนึ่ง ก่อนจะใช้มือซ้ายที่ถือไม้เท้าเหล็กเอื้อมออกมาหนีบเด็กผู้หญิงที่เหม่อลอยทำอะไรไม่ถูกเอาไว้ใต้รักแร้
ในขณะเดียวกัน ไม้เท้าเหล็กที่ถูกเขาโยนออกมาก่อนหน้านี้ก็ชนเสาไม้กลางห้องแล้วกระดอนกลับมา เขารับมันไว้ในฝ่ามือได้อย่างสบายๆ
ที่แท้การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในแผนการของชวีหลิงเฟิงทั้งหมดแล้ว!
เมื่อไม้เท้าสองด้ามอยู่ในมือ ชวีหลิงเฟิงก็กำชับเด็กผู้หญิงคนนั้นทันที “กอดพ่อไว้แน่นๆ!”
เด็กผู้หญิงว่านอนสอนง่าย เมื่อได้ยินดังนั้น นางก็กอดต้นขาที่ไม่ปราดเปรียวของชวีหลิงเฟิงไว้แน่นทันที ส่วนชวีหลิงเฟิงก็ใช้สองมือดันไม้เท้า แล้วพุ่งตรงไปทางประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม
ตอนที่เฉียดผ่านเยี่ยเว่ยหมิงไป เขาพลันโบกไม้เท้าเหล็กในมือ โจมตีตรงมายังขมับข้างซ้ายของเยี่ยเว่ยหมิง
ฟังจากเสียงลมที่พัดม้วนขึ้นมาจากไม้เท้าก็ตัดสินได้แล้วว่าพลังนี้มีอานุภาพเหนือกว่าการโจมตีครั้งใดๆ ที่ผ่านมาแน่นอน!
ชวีหลิงเฟิงแค้นที่เยี่ยเว่ยหมิงจับตัวลูกสาวเขามาขู่ สุดท้ายจึงเลือกลงมือสังหารอย่างไม่พะว้าพะวังอีก
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นดังนั้น ก็รีบโบกกระบี่เข้ารับ กระบี่ชิงจู๋ฟันออกมาเหมือนดุดันไร้ที่เปรียบ ชนกับไม้เท้าเหล็กของชวีหลิงเฟิงพอดี
ทว่าชั่วพริบตาที่ไม้เท้าและกระบี่ปะทะกัน ชวีหลิงเฟิงกลับรู้สึกว่าเยี่ยเว่ยหมิงไม่ปล่อยกำลังภายในที่แฝงอยู่ในกระบี่ออกมา ไม่หวังจะเอาชนะศัตรูเลย หวังเพียงปกป้องตัวเองเท่านั้น
ส่วนพลังที่ออกจากไม้เท้าของเขาครั้งนี้ ก็ถูกพลังประหลาดบนกระบี่ของอีกฝ่ายลดไปแล้วเจ็ดแปดส่วน พลังที่เหลือแม้จะโจมตีให้เยี่ยเว่ยหมิงกระเด็นได้ แต่กลับไม่ถึงขั้นลดค่าพลังชีวิตของศัตรูที่ถูกโจมตี
“หืม” เมื่อโจมตีแล้วไม่ได้ผล ชวีหลิงเฟิงก็อุทานเสียงเบาโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่มีท่าทีว่าจะไล่ตามโจมตีต่อแม้แต่น้อย เพียงมองเยี่ยเว่ยหมิงปราดหนึ่งด้วยแววตาลึกล้ำ แล้วก็ยันไม้เท้าคู่อีกครั้ง พา ‘พู่ห้อยต้นขา’ ของเขากระเด้งออกไปข้างหน้าพร้อมกัน หายไปจากตรงหน้าพวกเยี่ยเว่ยหมิงในชั่วพริบตาเดียว
ขณะมองตามทิศทางที่ชวีหลิงเฟิงกับลูกสาวหายไป พวกเยี่ยเว่ยหมิงกลับเงียบงันอยู่นานมาก
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เฟยอวี๋ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพูดทำลายความเงียบ “นึกไม่ถึงว่า BOSS ที่ชื่อชวีหลิงเฟิงจะแข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ฝ่ามือตัดอากาศทำร้ายคนได้!”
“หากมีการเตรียมตัวล่วงหน้า พวกเราคงไม่ปล่อยให้หนีไปง่ายๆ แน่นอน และตราบใดที่มีเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ในมือ พวกเราก็เท่ากับควบคุมจุดอ่อนของชวีหลิงเฟิงได้แล้ว แม้อาจจะไม่ทำให้เขายอมถูกจับแต่โดยดีได้ แต่หากจะล่อเขาเข้ากับดักของโหยวจิ้น คิดดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงกลับยิ้มอย่างมั่นใจในตนเอง “ที่จริงก่อนที่เขาจะลงมือ ข้าก็มองออกแล้วว่าเขาจะเล่นไม่ซื่ออย่างนี้”
“หึหึ…” ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ เฟยอวี๋โต้แย้งเยี่ยเว่ยหมิงระหว่างทำภารกิจไม่ได้ แต่สิ่งนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อเขาในการแขวะเยี่ยเว่ยหมิงยามสบโอกาส “พูดตามตรงนะ การที่เจ้าอวดเก่งเช่นนี้ ช่างดูไม่มีระดับเลย ถ้าเจ้าไม่สังเกตเห็นว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่มีใครโทษเจ้าหรอก แต่เจ้าดันบอกว่าตัวเองสังเกตเห็นแล้ว…
…เช่นนั้นก็เกิดปัญหาแล้ว ในเมื่อเจ้าสังเกตเห็นล่วงหน้า เหตุใดถึงยังปล่อยให้ชวีหลิงเฟิงช่วยคนสำเร็จ”
เมื่อได้ยินคำถาม เยี่ยเว่ยหมิงกลับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าข้าจะบอกว่าข้าจงใจให้เขาช่วยตัวประกันหนีออกไปล่ะ”
ทุกคนได้ยินแล้วตะลึงค้างพร้อมกัน
จากที่ได้คลุกคลีกันมาหลายครั้ง พวกเขาก็พอจะรู้จักเยี่ยเว่ยหมิงอยู่บ้าง อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าภายใต้เปลือกนอกที่ดูไร้พิษภัยของเจ้าหมอนี่ ความจริงแล้วซ่อนหัวใจที่ร้ายกาจ…เปี่ยมด้วยสติปัญญาเอาไว้
คนประเภทเยี่ยเว่ยหมิง ต่อให้การตัดสินใจจะดูเหมือนโง่เง่า แต่ย่อมต้องมีความหมายลึกซึ้งอย่างอื่นอีกแน่นอน
“เจ้ามีแผนสำรองอีกอย่างแล้ว ถึงขั้นคิดว่าจะไม่อาศัยกำลังของโหยวจิ้น จะอาศัยเพียงกำลังของพวกเราไม่กี่คนเพื่อจับเป็นชวีหลิงเฟิง?” เฟยอวี๋ขมวดคิ้วถาม
“ไม่ผิด!” เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าอย่างใจเย็น
“จะเป็นไปได้อย่างไร” ครั้งนี้ถังซานไฉ่เป็นฝ่ายพูดบ้าง “ชวีหลิงเฟิงนั่น ยามเผชิญหน้ากับพวกเราก็เหมือนเสือวิ่งเข้าฝูงแกะ หากพวกเราไม่มีตัวประกันอยู่ในมือ ตอนที่สู้กับเขา นอกจากตายหมู่ ข้าก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่นไม่ออกแล้ว สหายเยี่ย เจ้าเตรียมจะสู้กับเขาอย่างไร”
“เสือเข้าฝูงแกะ? การเปรียบเปรยนี้น่าสนใจเกินไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินการเปรียบเปรยของถังซานไฉ่ เยี่ยเว่ยหมิงก็หัวเราะ จากนั้นก็เริ่มร้องเพลง “เจ้าเสือสองตัว เจ้าเสือสองตัว วิ่งเร็วมาก วิ่งเร็วมาก ตัวหนึ่งไม่มีตา ตัวหนึ่งไม่มีหาง แปลกจังเลย แปลกจังเลย…(ทำนองเมาคลีล่าสัตว์)”
เฟยอวี๋เห็นแล้วขมวดคิ้วมุ่นทันที “เยี่ยเว่ยหมิง ตอนนี้พวกเราปฏิบัติภารกิจด้วยกัน เจ้าเลิกอุบไว้ได้แล้ว หากมีวิธีการอะไรก็บอกมาตามตรง อย่างไรเสียข้าก็กลัวว่าชวีหลิงเฟิงนั่นอาจจะย้อนกลับมาโจมตีได้ทุกเมื่อ”
“เจ้าคิดถึงจุดนี้ได้ ก็แสดงว่าเจ้าเติบโตแล้ว”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าปลอบเฟยอวี๋ เห็นอยู่ตำตาว่าอีกฝ่ายเดือดดาล แต่เขากลับไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายฉีกหน้า พึมพำกับตัวเองต่อไปว่า “ที่จริงในเพลงที่ข้าเพิ่งร้องไปเมื่อครู่นี้ ก็ได้ชี้ช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดของชวีหลิงเฟิงแล้ว แต่ข้ายังไม่ว่างอธิบายเรื่องนี้ ตอนนี้ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าก่อน”
[1] ลูบหน้าปะจมูก หมายถึง ทำอะไรเด็ดขาดจริงจังไม่ได้เพราะเกรงใจ หรือเห็นแก่พวกพ้อง
คอมเม้นต์