อั่งเปาทะลุโลก (发个红包去未来 ) – ตอนที่ 61

อ่านนิยายจีนเรื่อง อั่งเปาทะลุโลก ตอนที่ 61 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

CF:บทที่ 61 ผู้มาเยือนจากสถาบันวิจัย

 

ลู่เปงเฟยที่อยู่ในเยอรมันโทรศัพท์เข้ามา แจ้งว่าธุระของเขาดำเนินไปได้ด้วยดี ทุกส่วนสำเร็จได้โดยไม่มีปัญหาหรือความผิดพลาดแต่อย่างใด

 

และสิ่งทำให้อู๋ฮ่าวเหรินดีใจที่สุดคือ ลู่เปงเฟยบอกกับเขาว่าได้ซื้อเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ที่เขาต้องการเรียบร้อยแล้ว และเมื่อของพวกนั้นถูกส่งมาถึง เมื่อรวมเข้ากับชิ้นส่วนและปัญญาที่เขามี เขาน่าจะจัดการที่เหลือเองได้

 

และถ้ามันไม่ยากเกินมือของอู๋ฮ่าวเหรินแล้ว เขาก็อยากจะสร้างสายการผลิตเครื่องจักรอัตโนมัติตามในบันทึกของจี้ แล้วจากนั้นก็สร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาหลายๆตัว แล้วทุกอย่างก็จะเป็นเรื่องง่าย

 

แต่เขาก็รู้ดีว่า การจะสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมานั้นย่อมต้องมีปัญหามากมายตามมาแน่นอน เพราะหุ่นยนต์บนโลกในปัจจุบันนั้นยังล้าหลังและโปรแกรมยังขาดความยืดหยุ่น

 

แน่นอนว่า ถ้าเขาคิดจะสร้างหุ่นยนต์ที่มีปัญญาคำนวนนั้น เขาจะต้องสร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บข้อมูลคำนวนพวกนั้นได้เสียก่อน

 

ในการจะสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถคำนวนแบบนิรนัยด้วยตัวเองได้นั้น เขาต้องการสุดยอดตัวเก็บข้อมูล

 

อย่างไรก็ตามด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน การจะสร้างสุดยอดอุปกรณ์เก็บข้อมูลนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

 

แน่นอนว่ามันมีอีกทางอย่างการซื้ออุปกรณ์จากคนอื่นในระบบซองแดง แต่ทว่ามันก็เป็นการไม่ฉลาดเอาเสียเลยที่จะซื้ออุปกรณ์มา มันจะดีกว่าถ้าเขาจะฉกซองแดงในระบบซองแดงมาแทน

 

แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องเป็นเลเวล 2

 

จากการอ่านในบันทึกข้อความแชทของคนในนั้นแล้ว เห็นว่าหลังจากที่ขึ้นเป็นเลเวล 2 แล้ว พวกเขาจะส่งของดีมาให้มากขึ้น

 

มีบางคนบ่นว่า มีของใหญ่มากมายไม่สามารถส่งได้ด้วยระบบซองแดงเลเวล 1

 

สมมติว่า มีคนในกลุ่มเรียกตัวเองว่ามาสเตอร์รถบิน เขาจะไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มเลเวล 1 ได้อีกต่อไป เพราะการที่เขาจะส่งรถบินได้นั้น มีเพียงกลุ่มเลเวล 3 ขึ้นไป ถึงจะส่งของระดับนั้นได้

 

แน่นอนว่า มันมีเหตุผลของมันอยู่ นั่นคือเหรียญพลังงาน มันต้องการเหรียญพลังงานในจำนวนมาก ซึ่งเทียบไม่ได้กับของในระดับเล็กๆ

 

หรือในอีกความหมายก็คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบันยังต่ำเกินไป ต่อให้เอาของสุดหรูออกมาได้ ก็ไม่สามารถใช้ได้อยู่ดี

 

เช่นว่า คุณบอกวิธีสร้างเครื่องบินขับไล่ทันสมัยให้คนในยุคโบราณ ต่อให้พวกเขารู้วิธีสร้าง ก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้อยู่ดี เพราะการสร้างเครื่องบินขับไล่นั้นต้องอาศัยเทคโนโลยีทันสมัยหลายอย่าง ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีขนาดย่อมอีกนับไม่ถ้วน

 

ไม่กี่วันต่อมา เมื่อลู่เปงเฟย กลับมาพร้อมกับเครื่องจักรกล อู๋ฮ่าวเหรินก็ตื่นเต้นดีใจก่อนที่จะสะดุดพบกับปัญหา เขามีเครื่องจักรกลแล้ว แต่เขายังไม่มีโรงงาน

 

และยังมีอีกปัญหาคือ มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องยากที่จะแปลงเครื่องจักรกลอันนี้ให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่เขาต้องการ

 

ลู่เปงเฟย มองสีหน้าของอู๋ฮ่าวเหรินแล้วบอก “หัวหน้าครับ ถ้าคุณยังใช้มันไม่ได้ ก็เก็บเอาไว้ก่อนก็ได้ เมื่อไรที่โรงงานเราสร้างเสร็จแล้ว พวกเราค่อยเริ่มทำมันอีกที”

 

“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ผมกำลังคิดเกี่ยวกับโครงร่างการนำเสนอวัสดุเส้นใยพืชอยู่น่ะ”

 

เมื่อสักครู่นายกเทศมนตรีก็ติดต่อเข้ามาว่า จะมีคนเบื้องบนจะเข้ามาหา ทางรัฐเองก็จะส่งคนสำคัญมาด้วย ดูเหมือนว่าพวกตัวใหญ่ๆในรัฐสภาคงจะช็อคน่าดู

 

เห็นได้ชัดเลยว่า เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งในระดับชาติแล้ว, ความแข็งแกร่งระดับบุคคลก็ไร้ประโยชน์ไปเลย และหลีฉุยเองก็ได้เตรียมพื้นที่โรงงานขนาดใหญ่ไว้และทำงานล่วงเวลาในการก่อสร้าง

 

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนในวงการสื่อต่างก็เริ่มพูดถึงเขามากขึ้นแล้ว

 

สำหรับเรื่องนี้นั้น อู๋ฮ่าวเหรินคิดว่า ถ้าขายมันให้ทางรัฐ แล้วกินส่วนแบ่งมันอาจจะดีกว่า

 

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาขาดไม่ใช่เรื่องเงิน สิ่งที่เขาขาดคือนโยบายจากเบื้องบน ถ้าปราศจากการช่วยเหลือจากรัฐบาลแล้ว มันก็จะเป็นเรื่องยากที่เขาดึงสิ่งต่างๆออกมา

 

“แต่เอาจริงๆนะคะ, หัวหน้า ฉันคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเราจะจดสิทธิบัตรสิ่งนี้ไว้ ถ้าใครจะเอาไปใช้ก็ต้องจ่าย” เซี่ยเสวี่ยพูดขึ้น

 

อู๋ฮ่าวเหรินส่ายหัว ในตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะจดสิทธิบัตรแล้ว ทางรัฐนั้นต้องการที่จะใส่สิ่งนี้ในการหลอกผู้คน การที่จะจดสิทธิบัตรนั้นจะต้องไม่บอกใครในโลกว่ามีวัสดุชนิดนี้

 

ลืมมันซะและเลิกคิดไปได้เลย อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้เสียเงินอะไร ตามข้อตกลงในสัญญา พวกเขาจะจัดการปัญหาพวกนี้เอง

 

“จะว่าไป แล้วเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ชีวไฟฟ้าบำบัดและการแถลงข่าวล่ะ?” อู๋ฮ่าวเหรินมองไปที่เซี่ยเสวี่ย

 

“เพื่อนร่วมชั้นของฉันสองคนได้ทำการติดต่อแล้วค่ะ น่าจะรายงานกลับมาที่บริษัทเร็วๆนี้”

 

“แล้วก็ไม่มีปัญหาเรื่องอุปกรณ์ แต่มีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ”

 

“โอ๊ะ วัตถุดิบอะไรมีปัญหางั้นรึ?”

 

“คือวัตถุดิบตัวนี้ถูกควบคุมโดยทางรัฐ และพวกเราก็ไม่สามารถหาซื้อเป็นจำนวนมากได้” เมื่อรู้วัตถุดิบที่มีปัญหาที่ทราบจากเว่ยหมิง อู๋ฮ่าวเหรินก็อึ้งไปชั่วขณะ เพราะวัตถุดิบตัวนั้นใช้สร้างและกักเก็บข้อมูล

 

ยิ่งไปกว่านั้น หุ่นที่เขาจะสร้างก็จำเป็นที่จะต้องใช้วัตถุดิบตัวนี้ด้วย จึงทำให้อู๋ฮ่าวเหรินรู้สึกอายเล็กน้อย รึฉันควรจะติดต่อไปยังทางรัฐดีนะ?

 

และในตอนนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เมื่อมองไปที่โทรศัพท์ก็พบว่าเบอร์โทรเข้าไม่คุ้นเลย ทำให้เขารู้สึกงงๆ เพราะเบอร์เขาก็เพิ่งเปลี่ยนมา มีเพียงคนสนิทและเพียงไม่กี่คนที่รู้เบอร์นี้

 

“สวัสดีครับ”

 

“สวัสดีครับ ใช่คุณอู๋ฮ่าวเหรินรึเปล่า? ผมจื่อหยงเองนะ ตอนนี้คุณอยู่ที่บริษัทรึเปล่า? อีกเดี๋ยวพวกเราจะเข้าไปที่บริษัทคุณนะ”

 

“ผมอยู่ที่บริษัทครับ คุณคือผู้การจื่อหยงใช่มั๊ยครับ?”

 

“เดี๋ยวอีกสักพักจะไปหา ถึงตอนนั้นเดี๋ยวเราค่อยคุยกัน”

 

มองที่โทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไป อู๋ฮ่าวเหรินยังรู้สึกงงๆอยู่ ดูเหมือนว่าเขาดูท่าทางจะรีบร้อนพิกล

 

10 นาทีต่อมา อู๋ฮ่าวเหรินมายืนรอที่หน้าประตูเพื่อรอพบกับจื่อหยง แต่ว่าเขาไม่ได้มาคนเดียว ยังพาผู้อาวุโสมาด้วยอีก 3 คน

 

อู๋ฮ่าวเหรินได้ต้อนรับผู้มาเยือนเข้ามาในบริษัท แล้วเมื่อเขาเห็นท่าทีของจื่อหยงที่มีต่อผู้อาวุโสเหล่านั้นแล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่าต้องเป็นบุคคลสำคัญของรัฐบาลแน่ๆ

 

“คนหนุ่มเอ๋ย เจ้าคือคนที่คิดค้นวัสดุเส้นในพืชขึ้นมางั้นรึ?” ชายอาวุโสใจดีคนหนึ่งได้ถามอู๋ฮ่าวเหรินด้วยรอยยิ้ม

 

“ใช่ครับ, วัสดุเส้นใยพืชคือวัสดุที่ผมพบโดยบังเอิญจากการทดลองเล็กๆและต่อมาผมก็ค้นพบความสำคัญของวัสดุนี้”

 

“ดีมาก ดีมาก ที่พวกเราได้คนอย่างคุณอาศัยอยู่ในจีน เล่าโก๋ว, คุณจะเชื่อเรื่องนี้ได้รึยัง?”

 

คนอาวุโสที่อยู่ใกล้ๆเขาน่าจะคือเล่าโก๋ว เขาดูจริงจัง ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนที่ทำงานอย่างเคร่งครัด

 

“ฉันก็ยังไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่เขาพูดว่าคิดค้นขึ้นมาเอง เชื่อยาก”

 

ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังที่กำลังมองอีกสองคนกำลังถกเถียงกัน ก็ได้ยืนขึ้นและแยกพวกเขาออกจากกันก่อนจะพูดขึ้น “ที่นี่ไม่ใช่ห้องแล็บนะ แต่เป็นบริษัทของคนอื่น พวกคุณช่วยสงบปากสงบคำหน่อย ตาเฒ่าโก๋ว คุณก็ควรจะเปลี่ยนทรรศนคติได้แล้ว คนหนุ่มมีผลงาน พวกเราก็ควรที่จะสนับสนุนและให้กำลังใจ อาจจะกลายเป็นเสาหลักของประเทศก็ได้

 

อีกสองคนเมื่อได้ยินที่อีกคนพูดเชยชมอู๋ฮ่าวเหรินก็หัวเราะออกมา ในขณะที่อีกคนที่ทำหน้านิ่งมาตลอดก็เกิดอาการโกรธแต่ก็เงียบลง

 

“เสี่ยวจื่อ บอกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ ที่พวกเรากำลังจะคุยกับเขาหน่อย”

 

“ครับ ผู้อาวุโส”

 

ผู้อาวุโส!

 

อู๋ฮ่าวเหรินตกใจเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำเรียกผู้อาวุโสจากปากของผู้การคนนี้ ก็ไม่ต้องเดาเป็นอื่นเลย เป็นอย่างที่เขาคิดแน่ๆ

 

“น้องอู๋ ครั้งนี้ที่พวกเรามากัน เพราะว่าคราวที่แล้วหลังจากที่พวกเรานำข้อมูลกลับไปวิจัยก็พบว่าวัสดุชนิดนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะใช้ได้ พวกเราจึงอยากที่จะศึกษามันเพิ่ม

 

“โอ้ ถ้าคุณอยากจะศึกษามันก็เชิญเลยครับ แต่ผมไม่จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย”

 

แน่นอนว่า, อู๋ฮ่าวเหรินคาดไว้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องการอะไร แต่เขาไม่คิดจะร่วมมือด้วย

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด