อั่งเปาทะลุโลก (发个红包去未来 ) – ตอนที่ 68

อ่านนิยายจีนเรื่อง อั่งเปาทะลุโลก ตอนที่ 68 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

CF:บทที่ 68 กระปุกเหรียญทองแดง

 

เมื่อฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ฉันก็ได้ยินเสียงของแม่กำลังจิกกัดกับพ่อ “คุณก็พูดอยู่เหมือนกันไม่ใช่รึไงว่าขนมของลูกเมื่อคืนอร่อยมาก จะมาห้ามฉันทำไม?”

 

“ก็ขนมนั่นลูกได้มันมาจากเพื่อนที่ต่างประเทศ อย่าพูดถึงมันจะดีกว่า”

 

“แล้วมันจะทำไมล่ะ? ลูกฉันมันกตัญญูกับฉัน จะไม่ให้ฉันพูดได้อย่างไร”

 

“ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้คุณพูด แต่คุณเองก็พูดถึงมันไม่หยุดตลอดคืนยันเช้า แล้วถ้าลูกมันได้ยินคุณพูดเข้า บางทีมันอาจจะไปขอให้เพื่อนมันซื้อมาจากต่างประเทศให้อีก และก็ต้องเสียเงินเยอะมาก ไม่ใช่ว่าคุณเป็นห่วงค่าใช้จ่ายมากไม่ใช่รึไง”

 

“จริงด้วยสินะ ถ้าเจ้าลูกชายมันได้ยิน บางทีอาจจะให้คนซื้อไปมาจากต่างประเทศอีกก็ได้” เฉิงซูเซี่ยคิดเกี่ยวกับมัน เธอรักเงินมาก

 

แล้วตอนนี้เอง อู๋ฮ่าวเหรินเดินออกมาจากห้อง และรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินพ่อกับแม่คุยกัน

 

“พ่อกับแม่ครับ บอกผมมาตรงๆก็ได้ว่าอยากจะกินอะไร แค่ขนมเอง มันใช้เงินไม่เท่าไรหรอกครับ เดี๋ยวผมจะให้ใครซื้อมาให้เองครับ”

 

“ลูกเอ๊ย ของนอกน่ะราคามันแพงมากนะ ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้หรอก เอาล่ะ ไปล้างหน้าแปรงฟันซะนะ แล้วค่อยมาทานข้าวเช้า”

 

อู๋ฮ่าวเหรินเดินออกไป พลางคิด เงินน่ะไม่ได้ใช้หรอก แต่ใช่วัตถุดิบหายากตะหาก ดูเหมือนเขาจะต้องหาทาง หาวัตถุดิบดีๆมาให้ได้ ไม่ก็ เชิญเชฟซักคนมาทำอาหารให้ แล้วส่งไปให้พวกนั้นลองดู

 

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ อู๋ฮ่าวเหรินก็บอกกับอู๋เชิงให้ขับรถพาเขาเข้าไปในเมือง วันนี้เขาตั้งใจที่จะไปที่ย่านขายของเก่าในเมือง

 

เนื่องจากเขาได้สัญญากับคนในกลุ่มไว้ เขาจึงไปที่ย่านขายของเก่าเพื่อมองหาของขวัญเล็กๆให้พวกเขา

 

เขาถอนเงินจำนวนหนึ่งมาจากธนาคารแล้วให้อู๋เชิงไปสองพันหยวน “เอาเงินไปหาอะไรทำรอฉันนะ จะกลับเมื่อไรเดี๋ยวฉันจะติดต่อไป”

 

“โอเค น้องฮ่าว เรียบร้อยเมื่อไรก็เรียกผมได้เลยนะ”

 

อู๋เชิงไม่รอช้า หลังจากที่ได้เงินมาจากอู๋ฮ่าวเหริน เขาก็รีบแจ้นไปยังย่านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ

 

ย่านของเก่าหลีฉุยนั้นมีขนาดไม่ใหญ่ จะเรียกว่าเล็กมากก็ยังได้ เมื่อเทียบกับเปยจิง หลิวหลีฉ่าง และพันเจียเหยวน

 

แต่ถึงว่าจะมีขนาดเล็กแต่มันก็มีตรอกซอยถึง 5 ซอย และมีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงร้านขายของอยู่มากมาย

 

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมย่านขายของเก่าที่มีขนาดเล็กนี้สามารถใช้เป็นจุดสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของหลีฉุย

 

แต่ที่หลีฉุยนั้น ไม่ได้เน้นขายของโบราณเท่าไร เน้นพวกงานฝีมือมากกว่า

 

เรียกได้ว่าร้านขายของเก่าที่เปิดได้เกิน 3 ปี หาไม่ได้ที่นี่ ดังนั้นถ้าต้องการจะหาของดีจริงๆ ไปร้านขายของเก่าธรรมดาๆ

 

แต่อู๋ฮ่าวเหรินไม่ได้ต้องการซื้อของดี ที่เขาต้องการคือของเก่าจริงๆ และส่งมันไปในระบบซองแดง ซึ่งของเก่ากำลังเป็นที่สนใจของคนพวกนั้นในตอนนี้

 

เขานั่งยองๆลงที่หน้าแผงร้านขายเครื่องเซรามิค อู๋ฮ่าวเหรินมองดูเครื่องเซรามิคที่ดูวิจิตรงดงาม ก็ชวนคิดว่าเขาควรจะซื้อติดไปซักหน่อยดีไหม?

 

“ไงน้องชาย สนใจมั๊ย? ฉันมีของโบราณทั้งในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงเลยนะ”

 

อู๋ฮ่าวเหรินไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แล้วเอามือแตะที่เครื่องเซรามิค ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยรอยยิ้ม “การทำเครื่องเซรามิคมีมาตั้งแต่สมัยยุคนั้นก็จริง แต่คนในยุคนั้นไม่สามารถขัดเครื่องเซรามิคให้ผิวเป็นเงาเหมือนกระจกแบบนี้ไม่ได้หรอก ดังนั้นที่คุณบอกมากน่ะโกหกทั้งเพ อย่างน้อยถ้าเป็นเครื่องลายครามก็ยังจะดูออกได้ยากกว่านี้”

 

“ฮ่า ฮ่า ล้อเล่นน่า, ล้อเล่น แต่ดูแจกันนี่สิน้องชาย มันสวยมากเลยนะ มันสนใจซื้อกลับบ้านไปใส่ดอกไม้บ้างเหรอ”

 

อู๋ฮ่าวเหรินส่ายหัวแล้วยืนขึ้น ถ้าแจกันพวกนี้มันเล็กกว่านี้ เขาอาจจะซื้อติดมือกลับไป

 

เมื่อเห็นอู๋ฮ่าวเหรินเดินออกไป พ่อค้าก็ไม่ได้พูดอะไรอีก และทักทายกับลูกค้าคนอื่นต่อ

 

ตลอดทาง อู๋ฮ่าวเหรินเห็นข้าวของมากมาย แต่ก็ไม่มีอะไรที่เข้าตาเขาเลยซักชิ้น ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

 

ปัญหาจริงๆคือ ตัวเขาเองนี่แหละ จริงอยู่ว่าที่ของพวกนี้มีไว้หลอกคนมาซื้อ แต่ถึงเขาจะซื้อมันไปให้คนพวกนั้น มันก็ถือว่าเป็นของโบราณจริงๆอยู่ดี แต่ตัวเขารู้สึกไม่สบายใจที่จะทำแบบนั้น

 

แต่แน่นอนว่า เขาไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อให้ตัวเขาสบายใจซักหน่อยก็เถอะ

 

“ลูกพี่ สนใจมาดูเหรียญทองแดงของผมหน่อยมั๊ย? ผมรวบรวมมันมาไว้ขาย ใช้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย หลีกเลี่ยงภยันตราย และเรียกความมั่งคั่งและพลังฉี

 

อู๋ฮ่าวเหรินหันไปมอง แล้วทันใดนั้นตาของเขาก็ลุกวาว เมื่อมองไปยังกองเหรียญทองแดงที่กระจัดกระจายอยู่ที่แผงขายของ ที่สภาพดูเหมือนถูกขุดมาจากที่ไหนสักแห่ง

 

เขานั่งลงและหยิบเหรียญขึ้นมาดูกองนึง ก็พบว่าบางเหรียญมีรอยสนิมขึ้นที่ลายเต็มไปหมด บางเหรียญก็เป็นสนิมติดกันแกะไม่ออก

 

เหรียญทองแดงพวกนี้เป็นเหรียญพิเศษ เป็นชุดเหรียญทองแดงจริงๆ

 

ในปัจจุบันเหรียญทองแดงพวกนี้ เวลาซื้อขายมักจะถามถึงน้ำหนักของทองที่ผสมอยู่ ซึ่งเหรียญพวกนี้ปกติจะขายกันในราคา 1-2 หยวนต่อเหรียญ

 

ยิ่งถ้าเป็นเหรียญในสมัยยุคห้าจักรพรรดิ์ ก็ไม่ต้องคิดเลย เพราะมันเป็นไปได้ที่จะปลอมเหรียญทองแดงพวกนี้

 

“คุณเก็บเหรียญทองแดงพวกนี้มาจากในเขตชนบทงั้นเหรอ?”

 

“ใช่แล้ว ผมเก็บมันมาเองแหละ ลูกพี่ตั้งใจดูมากเลยนะ ผมไม่หลอกขายหรอกน่า ผมเขียนราคาไว้ชัดเจนอยู่แล้ว สองหยวนต่อเหรียญ

 

แน่นอนว่า คนขายคนนี้รู้ดีว่า มันไม่ง่ายที่จะหลอกขายของกับคนอย่างอู๋ฮ่าวเหรินได้ มันจะดีกว่าถ้าขายแบบตรงไปตรงมา

 

“สองหยวนต่อหนึ่งเหรียญเหรอ ถ้าฉันซื้อมากกว่านั้นล่ะ”

 

คนขายตัวน้อยหัวเราะเมื่อได้ยินที่อู๋ฮ่าวเหรินพูด ดูเหมือนเขาจะชอบลูกค้าแบบนี้

 

“จะเอาเท่าไรล่ะ? สิบเหรียญ, หรือจะเอายี่สิบ สามสิบ หรือ ห้าสิบเหรียญดี”

 

“แล้วถ้าฉันจะเหมาหมดล่ะ”

 

“เหมา!” คนขายตัวน้อยผงะไปพักนึงก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้น “เอางี้ ผมขอแค่ แปดร้อยหยวนเป็นไง?”

 

“แปดร้อย แพงไป สามร้อยพอ ที่คุณสะสมน่าจะราคาไม่ถึง สองร้อยหยวนด้วยซ้ำ”

 

“สามร้อย! ลูกพี่ คนต้องทำมาหากินนะลูกพี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องขึ้นเขาไปหาน่า เจ็ดร้อยก็ได้เอ้า

 

“ห้าร้อยเอ้า ถ้าไม่เอาก็จะไปละ” อู๋ฮ่าวเหรินลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินไป

 

คนขายตัวน้อยเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างก่อนจะหันหลังให้ เขารู้ดีว่าเหรียญทองแดงพวกนี้ไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก

 

ยิ่งไปกว่านั้นเขาซื้อต่อมาจากคนอื่นและจ่ายแค่ร้อยหยวนเท่านั้น เหรียญพวกนี้มันขายไม่ได้ ดังนั้นคงจะไม่ดีถ้าจะต่อรองไปมากกว่านี้

 

เขาทำเป็นกัดฟันให้ดูเหมือนว่าขาดทุนแล้วพูดขึ้น “วันนี้ผมได้เจอลูกพี่ อาจเป็นชะตากรรมให้ผมขายห้าร้อยก็ได้ คุณเอาไปหมดเลยละกัน”

 

อู๋ฮ่าวเหรินควักห้าร้อยเหรียญออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งมันให้กับคนขาย จากนั้นก็กวาดเหรียญทองใส่ลงไปในแจกันที่อยู่ใกล้ๆเขา

 

เมื่อพ่อค้าเห็นแจกันแล้วก็ตกใจไปชั่วแวบนึง คิดอะไรบางอย่างก่อนจะรีบพูดขึ้น “ผมไม่ได้ขายแจกันอันนั้นนะ”

 

อู๋ฮ่าวเหริน นิ่งไปพักนึงและมองมาที่ตาของคนขาย ก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่ต้องพูด คนขายคงจะคิดว่า เขานั้นคิดจะหลอกซื้อเหรียญพวกนี้เพื่อจะเอาแจกัน

 

เขาจึงเทเหรียญทองแดงออกมาจากแจกันและพูดขึ้น “ผมไม่ได้พกอะไรติดตัวมาเลย คุณคงต้องหาอะไรให้ผมมาใช้ใส่เหรียญพวกนี้แล้วล่ะ”

 

พ่อค้าตัวน้อยมองไปที่อู๋ฮ่าวเหรินแล้วพบว่า เขาไม่ได้พกอะไรติดตัวมาเลยจริงๆ นอกจากแจกันที่อยู่ใกล้ๆเขา ด้วยสัญชาติญาณพ่อค้า เขาไม่ปล่อยแจกันใบนั้นให้อู๋ฮ่าวเหรินไปฟรีๆแน่ เขาจึงหันไปหาหม้อปูนปั้นที่ซื้อต่อมาในราคาห้าสิบหยวน ให้เขาแทน

 

“ใช้นี่แทนละกัน”

 

อู๋ฮ่าวเหรินไม่ได้พูดอะไรต่อ เขารับหม้อนั้นมาแล้วกวาดเงินใส่ลงไป เขาแค่ต้องการจะซื้อเหรียญทองแดงเท่านั้น ไม่ได้ต้องการหลอกซื้ออะไร

 

สามนาทีต่อมา หลังจากที่อู๋ฮ่าวเหรินเดินทางกลับไปที่บริษัทที่มณฑลหยุนหลงแล้ว

 

ที่ย่านขายของเก่า มีชายแก่คนหนึ่งเดินมากับชาวนาแก่ๆวิ่งมาหาแผงร้านที่ๆอู๋ฮ่าวเหรินซื้อเหรียญทองแดง แล้วชี้ไปที่ชาวนาแก่ๆ แล้วถามคนขายว่า

 

“หม้อดินดำที่คนนี้ขายอยู่ที่ไหน?”

 

“หม้ออินดำ อะไรคือหม้อดินดำ”

 

“มันคือหม้อปั้นดินเผา ที่เธอซื้อต่อมาจากชายคนนี้ในราคาห้าสิบหยวนนั่นไงเล่า

 

เมื่อพ่อค้าได้ยินเข้า เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาซื้อของดีมาได้ซะแล้วแต่ก็รู้สึกชะงักเล็กน้อย เพราะเมื่อกี๊เขาเพิ่งยกหม้อให้คนๆนึงไปไว้ใส่เหรียญทองแดง

 

อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ยอมแพ้ เขาหันไปหยิบหม้อที่ใส่เหรียญทองแดงตอนแรกให้กับเขาแล้วถาม “ใช่ใบนี้รึเปล่า?”

 

ชายแก่มองดู แต่ไม่รับมาแล้วพูดกลับไป “ไม่ นี่มันหม้อที่คนนี้ปั้นขึ้นมาต่างหาก ฉันมองหาเครื่องปั้นดินเผาสีดำต่างหากเล่า”

 

คนขายตัวน้อยแทบจะรู้สึกหัวใจวาย หลังจากที่ชนเข้ากับกำแพงแห่งความผิดหวัง ดูเหมือนว่าตัวเขาจะพ่ายแพ้ซะแล้ว

————————–

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด