อั่งเปาทะลุโลก (发个红包去未来 ) – ตอนที่ 132
CF:บทที่ 132 การชื่นชม
ในออฟฟิศ อู๋ฮ่าวเหรินมองดูผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ทั้งห้าคนที่เข้ามารายงานเขา, ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนจีน ซึ่งในปัจจุบัน เขานั้นยังไม่มั่นใจที่ให้ชาวต่างชาติเข้ามาร่วมในการวิจัย
ทั้งห้าคนในตอนนี้กำลังมองมาที่อู๋ฮ่าวเหริน ด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
“ตอนนี้ถ้าพวกคุณมีคำถามอะไร ก็เชิญถามมาได้เลย ซึ่งผมจะตอบพวกคุณหรือไม่ก็แล้วแต่กรณีไป”
แน่นอนว่าทั้ง 5 คนกำลังรอประโยคนี้อยู่แล้ว กู้ผ่านผ่าน, ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มนี้ ถามขึ้นอย่างสงสัย, “คุณเป็นผู้บริหารของบริษัทนี้จริงๆเหรอคะ คุณคิดค้นสิ่งต่างๆทั้งหมดที่โชว์บนอินเตอร์เนทจริงๆเหรอคะ?”
อู๋ฮ่าวเหรินยิ้มให้พวกเขาแล้วตอบ “ถ้าผมไม่ใช่ผู้บริหาร คุณคิดว่าผมจะมานั่งตรงนี้ได้อย่างไร? แล้วก็สิ่งที่คุณเห็นบนอินเตอร์เนท ผมสามารถบอกได้แค่ว่าผมทำพวกมันขึ้นมาเองจริงๆ”
แน่นอนว่าเขาไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมา แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไรผิด เพราะมันมาจากอนาคตต่างหาก
“หัวหน้าครับ, คุณพอจะบอกอายุของคุณในปีนี้ได้มั๊ยครับ?” ดูเหมือนหวังจี๋ คนที่แก่ที่สุดในกลุ่ม,ได้ถามขึ้น เพราะเขานั้นสงสัยมาก และอีกสี่คนก็สงสัยเช่นกัน
“อันนี้, เป็นความลับ, ถ้าผมพูดไปพวกคุณจะตกใจเปล่าๆ ดังนั้นไม่จะดีกว่า”
“บอกผมเถอะครับ, หัวหน้า, พวกเราไม่กลัวการตกใจหรอกครับ”
“ใช่แล้ว, หัวหน้า, พวกเราไม่กลัวหรอกครับ พวกเราสงสัยจริงๆ”
อู๋ฮ่าวเหรินชูสองนิ้วขึ้นมาและพูดต่อหน้าในแววตาอันสงสัยของพวกเขา “อีก 1 เดือน 10 วัน ก็น่าจะครบรอบวันเกิดครั้งที่ 24 ของผม”
“อ๊า!”
กู้ผ่านผ่านกรีดร้องออกมา และคนอื่นๆก็จ้องมองมาที่อู๋ฮ่าวเหรินด้วยความทึ่ง พวกเขาคิดว่าอู๋ฮ่าวเหรินนั้นแค่มีรูปร่างดูหนุ่มเท่านั้น
“ผมอายุน้อยที่สุดในหมู่ผู้ชายทั้งสี่คน ปีนี้ผมอายุ 25 ครับ” เหอฉีเฉิ่งพูด
เฉินเจิ้งหนิงก็พูดขึ้นมาบ้างด้วยทีท่าแบบกวนๆ “ตอนผมอายุเท่าหัวหน้า ผมเพิ่งจบจากมหาลัย ผมดูเหมือนไอ้โง่คนหนึ่งที่โดดเข้าไปในสังคมที่กินกันเองและกลายมาเป็นเซลล์แมน ที่เกือบจะจมน้ำตายในฝูงชน”
กู้ซิงเชิงคือคนเดียวที่ดูเงียบที่สุดในกลุ่ม แต่เขากลับจับจ้องมาที่อู๋ฮ่าวเหรินด้วยสายตาที่ร้อนระอุ
“สัตว์ประหลาด, หัวหน้าจะต้องเป็นสัตว์ประหลาดแน่ๆ เป็นเอเลี่ยนปลอมตัวมาแน่ๆ!” กู้ผ่านผ่านพูดออกมาตรงๆ
“คุณน่าจะบอกว่าหัวหน้านั้นเป็นคนที่กลับมาจากโลกอนาคตอาจจะถูกกว่า แต่ก็น่าเสียดาย ที่หนังเป็นได้แค่หนังแค่หนังและนิยายก็เป็นได้แค่นิยาย ไม่เช่นนั้นแล้ว, โลกของเราคงถูกควบคุมโดยคนจากอนาคตไปแล้ว” หวังจี๋ที่ดูมีเหตุผลกว่าพูดขึ้นบ้าง
“ผมยังอยู่ที่นี่อยู่เลย พวกคุณพูดเรื่องเรื่องของผมที่นี่เนี่ยนะ เอาเป็นว่า, เรื่องพวกนี้พวกคุณเก็บไว้คุยกันช้าๆทีหลังนะ ตอนนี้มาคุยเรื่องของพวกคุณก่อน พวกคุณน่าจะเห็นในหนังสือสัญญาแล้วว่า มีบางสิ่งที่พวกคุณจะต้องพัฒนาขึ้นมาในอนาคต แน่นอนว่า,มันก็แค่ของพื้นฐานๆ จะลองอ่านหนังสือสัญญาก่อนก็ได้ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร, หลังจากที่พวกคุณลงนามในสัญญา พวกคุณก็จะกลายมาเป็นพนักงานในบริษัทนี้”
เมื่อพูดถึงเรื่องงาน ทั้งห้าคนก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที, ซึ่งเรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงอนาคตของพวกเขา
ทั้งห้าคนต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ หลังจากที่ได้อ่านหัวข้อย่อยๆแล้ว พวกเขาก็เข้าใจว่าอู๋ฮ่าวเหรินนั้นต้องการให้พวกเขานั้นเข้าร่วมการวิจัยและพัฒนา
“หัวหน้าครับ คุณต้องการที่จะสร้างปัญญาประดิษฐ์งั้นเหรอครับ?”
“ไม่เชิง, มันไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์, สิ่งที่ผมจะทำมันเรียกว่า คอมพิวเตอร์แบบนิรนัย, เพราะมันไม่สามารถคิดได้อย่างอิสระแบบมนุษย์, และสามารถทำงานตามโปรแกรมได้อย่างเดียวเท่านั้น”
ถึงแม้ว่าอู๋ฮ่าวเหรินจะพูดแบบนั้น, แต่สิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้คือสิ่งที่ทางประเทศเองก็กำลังตั้งใจค้นคว้าผลิตปัญญาประดิษฐ์ให้สำเร็จอยู่
ทั้งห้าคนต่างรู้สึกไม่น่าเชื่อ พวกเขามาที่นี่เพราะคิดว่าจะได้ทำงานด้านการป้องกันเว็บไซต์ แต่ไม่ได้คาดคิดว่า พวกเขาจะต้องมาพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำยุคแบบนี้
“หัวหน้าครับ, คุณไม่ได้แกล้งพวกเราอยู่ใช่มั๊ยครับ เทคโนโลยีนี้มันเทคโนโลยีขั้นสูงมากแม้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว แค่ผลิตหุ่นยนต์ให้ร้องเพลงได้ก็ต้องใช้เงินทุนไปมหาศาลรวมถึงช่างเทคนิคมากมายถึงจะทำได้สำเร็จ ต่อให้พวกเราห้าคนพยายามจนถึงตาย พวกเราก็ไม่สามารถทำสิ่งนี้ขึ้นมาได้หรอกครับ” กู้ซิงเชิงที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้น
ในมุมมองของเขา, นี่คืองานที่ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้เลย ถึงแม้จะเป็นเทคโนโลยีในสายวิชาที่เรียนมาก็เถอะ
เขาเริ่มคิดแล้วว่าการที่เขาเลือกเข้าทำงานในบริษัทนี้อาจจะเป็นความคิดที่ผิดก็ได้
“ใช่แล้วครับหัวหน้า, แม้แต่ประเทศต่างๆก็ยังต้องการที่จะวิจัยเทคโนโลยีนี้, ซึ่งจำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความสามารถเป็นจำนวนมาก ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถค้นคว้าอะไรออกมาได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยครับ แล้วนี่พวกเราแค่ 5 คน หัวหน้าครับ, คุณคิดว่ามันจะไม่เกินมือของพวกเราไปหน่อยเหรอครับ?”
พวกเขานั้นไม่ได้ต้องการที่จะดูถูกตัวเอง, แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่สามารถที่จะวิจัยของแบบนี้ออกมาได้จริงๆ
เมื่อมองดูพวกเขาแล้ว, อู๋ฮ่าวเหรินก็คิดว่าจริงๆเขานั้นเคยวางแผนจะให้ทั้งห้าคนได้ค่อยๆใช้เวลาในการปรับตัวและคุ้นเคยกับที่นี่ก่อนแล้วเขาจึงค่อยเอาเทคโนโลยีนี้ออกมา
แต่ทว่า เนื่องจากศูนย์วิจัยของประเทศได้สร้างผลงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าพวกเราไม่รีบตามให้ทันพวกเขา หุ่นยนต์จะต้องมีปัญหาหากจะนำพวกมันออกมา
“พวกคุณพูดถูกแล้ว ถ้าพวกคุณไม่มีพื้นฐานการวิจัยสิ่งนี้แล้ว, มันก็จะเป็นเรื่องยากต่อให้เป็นคนที่เก่งกาจก็ตาม แต่ว่า, ถ้ามีข้อมูลพื้นฐานที่ว่าล่ะ ผมจะบอกอะไรให้ ตอนนี้ประเทศของเราเองได้ประสบความสำเร็จในการวิจัยบางอย่างแบบนี้มาแล้ว”
อู๋ฮ่าวเหรินมองดูพวกเขาที่กำลังตกใจ แล้วพูดต่อ “สิ่งที่ผมต้องการให้พวกคุณทำไม่ใช่การวิจัย, แต่เป็นการศึกษาต่างหาก, ก่อนอื่นเลย, ผมมีข้อมูลพื้นฐานที่ว่าแล้ว และตอนที่ผมเลือกพวกคุณ ผมก็มั่นใจแล้วพวกคุณนั้นมีความสามารถในด้านนี้มากพอ แล้วเมื่อพวกคุณได้ศึกษาเรื่องนี้แล้ว ผมก็จะปล่อยให้พวกคุณทำการวิจัยกันเอง”
ตอนนี้ทั้งห้าคนกำลังรู้สึกอ้ำอึ้ง อะไรนะ? ให้พวกเรามาศึกษาและวิจัย ให้พวกเราศึกษางานวิจัยระดับประเทศที่นี่?
“ใช่, ผมรู้ว่าพวกคุณกำลังสงสัย, แต่ผมไม่สามารถบอกอะไรพวกคุณไปได้มากกว่านี้ ผมบอกพวกคุณให้รู้ได้แค่ว่า พวกเรากำลังวิจัยทำให้สมองกลพังๆให้ร้องเพลงได้เท่านั้น เอ้าว่ายังไง, พวกคุณจะเซ็นสัญญาหรือไม่ล่ะ?”
“โฮ่ๆ, หัวหน้า ผมตกลงที่จะเป็นพนักงานของคุณ แล้วก็หลังจากที่ผมได้เห็นไฟฟ้าชีวภาพบำบัดแล้ว ผมขอซักเครื่องได้มั๊ย?”
“ใช่, ใช่ หัวหน้า, ฉันขอซักเครื่องได้มั๊ยครับ?”
“ผมด้วย”
“ผมเองก็อยากได้ซักเจ้าเครื่องนั้นให้ครอบครัวของผมเหมือนกันครับ”
กู้ผ่านผ่านมองดูทั้งสี่คนที่เหลือแล้วหันหน้าไปหาอู๋ฮ่าวเหริน แล้วหน้าของเธอก็แดงขึ้นแล้วก็พูดขึ้น “ฉันก็อยากได้เหมือนกันค่ะ ฉันอยากได้ไปให้ครอบครัวของฉัน เพราะอย่างนั้น ฉันขอร่วมด้วยค่ะ”
อู๋ฮ่าวเหรินมองไปที่พวกเขาและคิดถึงเรื่องที่พวกเขาพูด ทันใดนั้นก็มีคนที่เดินผ่านหน้าเขาพอดี
“หวังหลาน, หวังหลาน, พาพวกเขาทั้งหมดไปที่ฝ่ายบุคคลนะ ให้พวกเขาเซ็นสัญญาให้เรียบร้อย แล้วก็เรื่องสวัสดิการของบริษัท, ก็ให้พวกเขาตกลงฝ่ายบุคคลเอาละกัน”
เฮ้อ, ดูเหมือนว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีที่เรื่องเนทเวิร์คนั้นพัฒนามาเร็วเกินไป จากเรื่องธรรมดาๆกลายเป็นเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาไปซะได้
อู๋ฮ่าวเหรินเปิดเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อดูยอดสั่งจองในแต่ละประเทศแล้วก็ส่ายหัว ก่อนจะปิดไป
พวกประเทศเหล่านั้นต้องการที่จะโต้กลับเป็นแน่ มันไม่ใช่สไตล์ของพวกเขาที่จะยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ
“ผมจะไม่มีอันตรายอะไรใช่มั๊ย?”
“พวกเขาไม่ออกมาฆ่าคุณแบบโจ่งแจ้งหรอก ดังนั้นคุณยังไม่เป็นอันตรายแน่นอน”
“ก็ดี”
อู๋ฮ่าวเหรินมองดูหุ่นยนต์ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้วในช่องเก็บของระบบซองแดง หุ่นยนต์พวกนี้สามารถถึงออกมาได้ตลอดเวลาเพื่อปกป้องตัวเขาเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อที่จะป้องกันอันตรายของคนในครอบครัว เขาจึงได้วางหุ่นยนต์ไว้ที่บ้านด้วย
แน่นอนว่า, จี้เองก็ได้จับตาดูทุกพื้นที่ในบริเวณเหล่านี้เผื่อมีอะไรเกิดขึ้น
ถ้ามีใครคิดร้ายกับเขา ตราบเท่าที่อยู่ในเขตการส่งสัญญาณของจี้ในบริเวณเหล่านี้ ซึ่งมันจะถูกเจอโดยจี้ก่อน
และก็เป็นอย่างที่อู๋ฮ่าวเหรินคิด มีบางประเทศได้เริ่มลงมือแล้ว
——————–
คอมเม้นต์