อั่งเปาทะลุโลก (发个红包去未来 ) – ตอนที่ 135

อ่านนิยายจีนเรื่อง อั่งเปาทะลุโลก ตอนที่ 135 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

CF:บทที่ 135 ค้นหารากเหง้า ถามหาบรรพชน

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น, อู๋ฮ่าวเหรินจึงคุยกับดาราใหญ่ต่อ, แต่ยิ่งเขาคุยมากขึ้นเท่าไร, เขาก็ยิ่งมึนงงมากขึ้นเท่านั้น เพราะสิ่งที่ดาราใหญ่ถามหานั้น มันช่างดูใกล้เคียงกับช่วงเวลาของเขามาก
มันค่อนข้างยากที่เชื่อ อย่างที่รู้กันดี เราสามารถคำนวณหาช่วงเวลาในยุคปัจจุบันได้โดยอาศัยเหตุการณ์ที่สำคัญๆเป็นหลัก เพราะช่วงเวลาในยุคปัจจุบันนั้นยาวมาก

“คุณบอกว่า คุณกำลังตามหาต้นตระกูลของคุณปู่ของคุณอยู่สินะครับ!”

อู๋ฮ่าวเหรินที่รู้สึกเหมือนตกอยู่ในหลุมมาสักพักใหญ่ ก็เริ่มสงสัยมากขึ้นว่า เพราะเรื่องแค่นี้เองเหรอ ทำไมถึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย?

แต่อย่างไรก็ตาม, สำหรับมนุษยชาติในยุคนั้นแล้ว นี่อาจจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ กับการค้นหารากเหง้าของเทพสงครามและตามหาต้นตระกูลในยุคนี้

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่บอกรายละเอียดมา แต่อู๋ฮ่าวเหรินก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมันน่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่างซ่อนอยู่
มันอาจจะเป็นไปได้ว่าการค้นหาต้นตระกูลในครั้งนี้นั้นอาจจะส่งผลกระทบกับตัวตนของคุณปู่ของเธอก็เป็นได้, เธอจึงไม่ต้องการที่จะค้นหาเรื่องนี้อย่างเปิดเผย

“ถ้าพูดง่ายก็ตามนั้นแหละค่ะ, ฉันกำลังตามหาต้นตระกูลอยู่ แต่ว่า, ช่วงเวลามันห่างกันมากเกินไป ทำให้หลายๆอย่างนั้นไม่สามารถหาหรือค้นพบได้ มันจึงยากมากน่ะค่ะ”

อู๋ฮ่าวเหรินอยากจะพูดว่าเรื่องนี้มันไม่ได้สำคัญอะไรกับเขาเลย, ถึงแม้ว่าข้อมูลมันจะไม่ชี้ชัดว่าเป็นยุคปัจจุบัน แต่สามารถพอที่จะใช้ระบุแบบหยาบๆได้ และดูเหมือนว่าต้นตระกูลของเทพสงครามนั้นค่อนข้างที่จะไม่ธรรมดาแน่ๆ ซึ่งอาจจะค้นหาได้ง่ายๆก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้น, ชื่อแซ่ก็ค่อนข้างแปลกๆ, ชื่อแซ่หลิงนั้นค่อนข้างจะหายากด้วย

อู๋ฮ่าวเหรินจึงรู้สึกอดไม่ได้ที่จะถามกลับไป “ขอโทษนะครับ, มันมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในนั้นใช่รึเปล่าครับ?”

“นั่นสินะคะ, อาจจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ก็ได้, แต่ฉันก็ไม่ค่อยจะมั่นใจเลยค่ะ ฉันฟังคุณปู่เล่าเรื่องนี้อยู่ทุกวันค่ะ ดูเหมือนว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับต้นตระกูลของฉันก็ได้, ดังนั้นฉันเลยอยากที่จะทำให้ความปรารถนาของท่านเป็นจริงค่ะ”

อู๋ฮ่าวเหรินแทบไม่เชื่อในคำตอบที่ได้ยิน เธอเสียเวลาไปมากมายไปกับการตามหาตัวเขา, แต่เธอกลับบอกว่าไม่รู้แน่ชัด คำตอบแบบนี้มันช่างดูคลุมเคลือมาก

เอาเถอะ, เพื่อเห็นแก่หน้าของผู้เฒ่าหอยเม่นแล้ว ฉันจะลองตรวจสอบให้เธอเองละกัน ดูแล้วมันก็ไม่น่าจะยากมากนัก

“ได้ครับ, ผมจะลองค้นหาให้คุณดู แล้วผมจะบอกคุณอีกทีถ้าผมได้ข่าวหรือเจอข้อมูลอะไรเพิ่มแล้วนะครับ”

“ขอบพระคุณมากค่ะ”

“ไม่ต้องหรอก, ไว้ขอบคุณผมทีเดียวตอนที่ผมเจอแล้วดีกว่า”

“ลุงชาวจีนครับ, ยังอยู่สินะครับ ขอบคุณมากสำหรับสำรับแมนฮั่นครบสูตร ผมได้รับแล้วครับ จะว่าไป ผมได้ยินมาว่าคุณนั้นเก่งกาจมาในเรื่องของการหั่นวัตถุดิบ คุณลุงไปเรียนมาจากที่ไหนเหรอครับ?”

“จากตระกูลน่ะ”

“อ๊ะ, จริงสิ ได้ยินมาว่าคุณลุงเคยเป็นนักดาบมาก่อน จะมาเป็นพ่อครัวสินะครับ”

ขณะที่กำลังคิดเรื่องการมองหาต้นตระกูลของเทพสงคราม, อู๋ฮ่าวเหรินก็ฉุกคิดได้ว่า ไหนๆก็ไหนแล้ว เขาน่าจะตามหาต้นตระกูลของลุงชาวจีนด้วยเลย คุณลุงบอกว่าได้สืบทอดวิชามีดมาจากครอบครัว บางทีเขาอาจจะได้เจอสุดยอดผู้ใช้วิทยายุทธ์ก็เป็นได้

“คุณลุงครับ, คุณลุงพอจะรู้ชื่อของบรรพบุรุษของคุณในยุคโลกโบราณบ้างมั๊ยครับ หรือสถานที่ของต้นตระกูลของคุณลุงก็ได้ บางทีผมอาจจะเจออะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับต้นตระกูลของคุณลุงก็ได้ครับ”

ลุงชาวจีนลังเลคิดอยู่พักหนึ่ง, ก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกมา “ชื่อไป๋โม่หนิว อาศัยอยู่อำเภอชวนตี้หลู, มีบันทึกอยู่ในแผนผังตระกูล, ไม่รู้อะไรเพิ่มเติมแล้ว”

“มีแค่นี้ก็ OK ครับ บางทีผมอาจจะหาเจอก็ได้”

อู๋ฮ่าวเหรินลองค้นหาต้นตระกูลของทั้งสองคนด้วยชื่อแซ่ดู ซึ่งพบว่าแปลกมาก, โดยเฉพาะของลุงชาวจีน, ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่พบข้อมูลของคนชื่อแซ่นี้เลย

ตอนแรกเขาคิดว่า เขาอาจจะหาผลกำไรในระบบซองแดงนี้ด้วยการตามหาต้นตระกูลดู

เมิงมองดูพวกเชฟเหล่านี้ หลายๆคนล้วนสืบทอดวิชามาจากอาจารย์หรือตระกูล ถ้าฉันสามารถที่จะค้นหาต้นตระกูลของพวกเขาในยุคนี้ได้ เขาอาจจะสามารถใช้เป็นช่องทางทำเงินก็ได้”

หลิงหยิ่งที่ถูกเมินเฉยโดยอู๋ฮ่าวเหริน, รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย และออกจากระบบซองแดงไป เธอรู้สึกว่าตัวเธอนั้นช่างไม่มีสเน่ห์เย้ายวนต่อพ่อค้าของเก่าเอาเสียเลย

ตัวอู๋ฮ่าวเหรินเองก็ไม่ได้รู้เลยว่า ความเมินเฉยของเขานั้นได้ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งโกรธเข้าเสียแล้ว

ในตอนนี้, เขากำลังศึกษาข้อมูลที่ได้รับมาจากผีสาว, และก็พบบางอย่างที่น่าสนใจ

อาจจะเรียกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับเทพสงคราม เพราะเทคโนโลยีของพวกอารยธรรมที่สูงกว่า, ดูเหมือนจะทำให้เขานั้นมีอายุที่ยืนยาวมาก

นี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ ชนิดที่ว่าบรรพชนเผิงยังดูกระจอกไปเลยเมื่อเทียบกับเขา
ดังนั้นคำถามคือ, ในเมื่อลูกชายทั้งสามคนและลูกสาวของเขาเสียชีวิตไปในสงครามครั้งนั้น แล้วหลานสาวมาจากไหน?

เพราะในข้อมูลระบุไว้ว่า, เธออายุราวๆ 20 ปีเท่านั้น, ซึ่งมันไม่ถูกต้อง แล้วเธอหายไปไหนมาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา?

ยิ่งไปกว่านั้น, แม่ของเธอเองก็อายุมากแล้ว, ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผล!

และที่ยิ่งแปลกกว่าก็คือ ทำไมถึงไม่มีใครในสหพันธ์ที่สงสัยเรื่องอายุของหลานสาวเลย

และด้วยความสงสัยนี้, อู๋ฮ่าวเหรินถึงได้กลับไปที่กลุ่มเลเวลหนึ่ง เพื่อถามหาข้อมูลเพิ่มเติมจากคนในนั้น “พวกคุณพอจะรู้เรื่องของหลิงหยิ่งมาบ้างมั๊ย? เธอเกิดมาเป็นหลานสาวของเทพสงครามได้อย่างไร, พ่อของเธอนั้นแก่มากและเสียชีวิตในสงครามไปแล้วนี่”

“นี่นายไม่รู้เรื่องอะไรเลยงั้นเหรอ?”

“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ? แล้วผมจะรู้ได้ยังไง?”

“งี่เง่าจริงๆ, ทั้งๆที่ได้คุยกันตัวต่อตัวแท้ๆ แต่นายกลับไม่รู้ข้อมูลแบบนี้เนี่ยนะ, สายเลือดเพียงคนเดียวของเทพสงครามนั้น, ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำให้ต้องเข้าแคปซูลผนึกเอาไว้, และไม่ได้ออกจากแคปซูลมาเลยจนกระทั่งเมื่อ 20 ปีก่อน”

“ใช่, มันเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วทั้งสหพันธ์ ได้ยินมาว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บมาจากสงคราม และในตอนนั้น ยังไม่สามารถที่จะรักษาได้ พวกอารยธรรมที่สูงกว่าจึงได้ช่วยเทพสงครามด้วยการนำเธอเข้าไปไว้ในแคปซูลผนึก”

หลังจากที่ได้ฟังที่พวกเขาอธิบาย, อู๋ฮ่าวเหรินก็รู้สึกว่าเรื่องนี้นั้นมันยิ่งแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ, และรู้สึกได้ว่ามันจะต้องมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่

“และนั่นทำให้พวกเราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเด็กคนนั้นคือเทพธิดาหลิงหยิ่ง เพราะตามข้อมูลที่รายงาน, หลิงหยิ่งนั้นอ่อนแอมากในเวลานั้นชนิดที่ว่าทำไมสามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้เลย

“คุณพอจะช่วยผมหารายงานข้อมูลในตอนนั้นให้ผมหน่อยได้มั๊ย? ผมต้องการที่จะรู้”

“ว้าว, พ่อค้าของเก่าของเราเริ่มที่จะสนใจเทพธิดาหลังจากที่ได้เจอเธอเข้าแล้วสินะ เรื่องเด่ะ, นายเคยปฏิเสธที่จะตามจีบเทพธิดา จะมาสำนึกผิดตอนนี้ก็สายไปแล้วว้อย”

“เฮ้ อย่ากวนน่า, ผมแค่ต้องการที่จะรู้ข้อมูลเรื่องนี้ เผื่อจะใช้เป็นเบาะแสที่จะช่วยเธอได้”

“ก็ได้, ข้าจะลองหาข้อมูลดูแล้วเดี๋ยวจะส่งไปให้”

เนื่องจากไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความลับอะไร ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก็หาเจอ อาจเป็นเพราะมันเป็นข่าวใหญ่ในช่วงนั้นด้วย

แต่ทว่า, หลังจากอู๋ฮ่าวเหรินได้ดูทั้งรายงานและวิดีโอ เขารู้สึกสับสนหนักกว่าเดิม

ถึงแม้ว่าทั้งวิดีโอและรายงานพวกนี้จะถูกทำขึ้นมาเป็นอย่างดี และไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกว่ารายงานพวกนี้มันไม่ใช่, และมันเหมือนกับว่าเขากำลังเห็นภาพลวงตาอยู่

ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าของเทพสงครามในเวลานั้น มันดูไม่ใช่สีหน้าของคนที่มีความสุขเมื่อได้เห็นหลานสาวของตัวเองกลับมามีชีวิต, แต่กลับเป็นสีหน้าของคนที่สับสนและงุนงงมากกว่า

อู๋ฮ่าวเหรินส่ายหัว ถึงแม้จะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ในเมื่อมีคนอยากให้เขาช่วยตรวจสอบ, ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆแถมยังมีผลประโยชน์ด้วย, ทำไมเขาจะไม่ทำล่ะ

ออกมาจากระบบซองแดง, อู๋ฮ่าวเหรินได้ให้จี้ลองหาข้อมูลผ่านอินเตอร์, ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก็พบเบาะแส

“เมืองลั่วหยางงั้นเหรอ? ดูเหมือนเรื่องของลุงชาวจีนนี้ค่อนข้างจะยุ่งยากนิดหน่อยแฮะ สถานที่ยังพอหาได้ แต่ชื่อแซ่ดันหาไม่พบ หรือจะมีการเปลี่ยนชื่อกันทีหลังนะ?”

อู๋ฮ่าวเหรินไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร, เพราะช่วงเวลามันห่างกันมาก, บางตระกูลก็อาจจะหายไปด้วยเหตุผลบางอย่าง

โดยเฉพาะในช่วงยุคมืดของมนุษยชาติ, อย่างเช่นสงครามโลก, ที่ทำให้หลายตระกูลต้องหายสาปสูญไปในสงคราม

“เอาเถอะ, ไว้ค่อยลองพยายามดูใหม่ บางทีฉันอาจจะพบเบาะแสอะไรเพิ่มก็ได้”

แล้วอู๋ฮ่าวเหรินก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการเจรจาในวันพรุ่งนี้กับพวกแยงกี้(อเมริกา) ซึ่งเขาไม่รู้ว่าพวกนั้นหวังผลประโยชน์อะไรไว้

———————–

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด