อั่งเปาทะลุโลก (发个红包去未来 ) – ตอนที่ 296

อ่านนิยายจีนเรื่อง อั่งเปาทะลุโลก ตอนที่ 296 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

CF: บทที่ 296 โบราณวัตถุแห่งโลกยุคปัจจุบัน

 

มองดูคนในกลุ่มพวกพวกเขาทุกคนกําลังพูดคุยถึงปัญหาว่าไม่มีซองแดงใส่อาหารให้ฉกกันอยู่

 

อู๋ ฮ่าวเหรินจึงถามว่า “ช่วงนี้ตาลุงหัวรั้นไม่ค่อยปรากฏตัวมาหรือ? ทําไมล่ะ?”

 

“มันไม่เกี่ยวกับหลินหยิ่ง หลานสาวของเทพสงคราม ได้ยินว่าตาลุงหัวรั้นหาคนของอารยธรรมพาลอสไม่ได้ เขาเลยไปที่ดาวอาณาจักรที่ตัวเรือดอยู่ เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปได้ยังไง”

 

ได้ฟังคําอธิบายของพ่อครัวแล้วอู๋ ฮ่าวเหรินได้สังเกตุช่วงเวลาแห่งความเงียบของเขตดาวตัวเรือด กองกําลังของตาลุงไม่ใช่จุดแข็งของเขา แต่เป็นอาหารสังหารของเขาต่างหากที่น่ากลัวที่สุด

 

ด้วยอาหาร สัตว์ร้ายก็จะถูกล่อไปกับดักและถูกจัดการโดยที่เขาไม่ต้องลงมือเลย

 

คนเหล่านี้เล่าให้เขาฟังว่าลุงก็ใช้วิธีนี้เพื่อฆ่าตัวเรือดในขบวนยานรบตอนที่เขาต่อสู้กับตัวเรือด

 

ลุงนั้นอยู่ในรายชื่อกลุ่มคนอันตรายของจักรวาลและอยู่ระดับสูงกว่าอารยชนหลายคนเลยทีเดียว

 

แม้ว่าอารยธรรมชั้นสูงจะทรงพลังมาก แต่พวกเขาสามารถเลือกได้เพียงหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสัตว์ยักษ์บางตัวในท้องฟ้า โชคดีที่สัตว์ประหลาดในท้องฟ้าส่วนใหญ่ไม่โจมตีโลกมนุษย์แบบสุ่มๆ

 

คนชงชาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ไอ้หนู ฉันเจอชาดีที่นายต้องการแล้ว แล้วก็ขอบคุณสําหรับชาโบราณที่นายส่งมาให้ฉันถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้รสชาติดีมาก แต่ก็ได้รสชาติแปลกใหม่เหมือนกัน”

 

อู๋ ฮ่าวเหรินดูชาที่มอบให้เขา เขาก็ตาเป็นประกาย มันทําจากใบชาซิงหลิงและต้นซิงหลิงม่วง

 

ต้นไม้ชนิดนี้แปลกมาก มันสามารถเติบโตได้ภายใต้แสงดาวเท่านั้น หากมันต้องแสง ชนิดอื่นมันก็จะตายในไม่ช้า

 

ใบนั้นเป็นสีม่วงซึ่งดูเหมือนแสงดาวอยู่เล็กน้อย มันไม่เหมือนชาแต่เหมือนศิลปะมากกว่า

 

“ขอบคุณ เยี่ยมมากเลยผมชอบมันมาก”

 

” นายสมควรได้รับมันแล้ว ฉันก็เอาชานายมา ซึ่งมันมีค่ามากกว่านั้นอีก”

 

อู๋ ฮ่าวเหรินไม่พูดอะไร ใบชาเหล่านั้นถูกส่งมาโดย จื่อหยงผู้ที่มาหาเขาอยู่หลายครั้งก่อนหน้านี้และตอนนี้ก็ไม่มีใบชาเหลืออยู่แล้ว

 

ในตอนนั้น ดูที่ชื่อพ่อครัวแล้วเขาคิดหนักก่อนที่จะให้ชาเขาไป เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ของดีเช่นนี้กลับมา

 

หลังจากพูดคุยกันซักพักในกลุ่มพ่อครัว อู๋ ฮ่าวเหรินก็ไปเข้ากลุ่มของเก่า ปกติแล้วเขาจะเข้ามาที่นี่เพื่อดูเล่นเท่านั้น เว้นแต่เขาจะมีของเก่าที่เขาอยากได้ เขาก็จะนําของเก่าของโลกปัจจุบันมาแลกเปลี่ยนกับพวกเขา

 

ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อยากเสียของเก่าที่นี่หรอก แต่ทําแบบนั้นก็จะดูเป็นแกะดํา

 

หากมีทางเลือก อู๋ ฮ่าวเหรินก็ไม่ต้องการกลุ่มลักษณะนี้อย่างแน่นอนเพราะมันมีความสําคัญน้อยสําหรับเขา ของเก่าของเขามีไว้สําหรับยกระดับไม่ใช่เพื่อแลกเปลี่ยนกับคนเหล่านี้

 

“พ่อค้าของเก่ามาแล้ว รีบเข้ามาเอาของจากสมัยโลกโบราณให้ชายคนนี้ดูว่ามันคือโบราณวัตถุอะไร”

 

“ใช่แล้ว ให้คนนี้ได้รู้ว่าความต่างระหว่างฟ้ากับเหวมันหมายความว่าอย่างไร ถ้าเขาหาหยกโบราณ ก็บอกได้เลยว่ามันจะเป็นหยกโบราณที่เก่าแก่ที่สุด”

 

“พอเห็นพ่อค้าของเก่าในกลุ่มนี้แล้ว นายยังกล้าจะบอกว่าหยกโบราณที่นายซื้อมาเป็ นอันที่เก่าแก่ที่สุดอีกรึ”

 

อู๋ ฮ่าวเหรินบทสนทนาของคนในกลุ่มนี้แล้วจึงถามออกไปด้วยความสงสัย “มีเรื่องอะไรรึ?”

 

“ชายคนนี้ไม่รู้ได้หยกโบราณอะไรมา มันดูเหมือนว่าจะเป็นหยกจากยุคโลกโบราณและเป็นของราชวงศ์หยวน เขาก็เลยกล้าพูดว่ามันเป็นหยกที่เก่าแก่ที่สุด”

 

“งั้นฉันขอดูภาพหน่อยได้มั้ย?”

 

ในไม่ช้าภาพก็ปรากฏขึ้น ภาพแสดงให้เห็นว่าหยกโบราณนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี มันน่าจะเป็นเครื่องประดับที่ใครสักคนพกติดตัว

 

อย่างไรก็ตาม อู๋ ฮ่าวเหรินไม่สนใจเรื่องนี้ แต่มันก็เป็นหยกโบราณของราชวงศ์หยวนจริง เขาไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นหยกโบราณที่รอดมาได้นานขนาดนี้

 

มองดูหยกแล้วอู๋ ฮ่าวเหรินก็ไม่เข้าใจ เขารู้ว่ามันเป็นของดี และมันก็เป็นของดีที่น่าจะผ่านร่องรอยกาลเวลามาอย่างโชกโชน!

 

“ของดีจริง มันน่าจะเป็นหยกที่มีคนสําคัญเคยสวมใส่มาแล้ว หยกโบราณที่ไม่เคยมีใครใส่ของฉันเทียบไม่ได้เลย”

 

“เรารู้ว่ามันเป็นของดี แต่เขาบอกว่ามันเป็นหยกโบราณที่เก่าแก่ที่สุด เราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น นายเพิ่งจะได้ดูภาพระบุตัวตนไม่กี่รูปที่จะบอกเขาว่ามันคืออะไรกันแน่”

 

อู๋ ฮ่าวเหรินรู้สึกอายเล็กน้อย หยกของคนอื่นสามารถซื้อแผ่นดินได้ แต่หยกของเขานั้นไม่ได้มีมูลค่ามากมายอะไรนัก

 

นี่คือความแตกต่างระหว่างการที่มันเคยถูกสวมใส่และไม่เคยถูกสวมใส่

 

อย่างไรก็ตาม เห็นว่าทุกคนให้เขาดูภาพ อู๋ ฮ่าวเหรินก็ใส่คําอธิบายตัวตนของหยกโบราณแห่งราชวงศ์ถังลงในรูป

 

“นายมีของดีแบบนี้ อยากจะแลกมันกับฉันไหม เลือกของเก่าพวกนี้ได้เลย”

 

“เอาสิ หยกโบราณแบบนี้ นายสามารถเอาขยะโบราณพวกนั้นออกไปแล้วมาดูของสะสมของฉันก็ได้”

 

“ของสะสมของฉัน นายจะดูก็ได้ ฉันไม่อยากได้หยกโบราณนี้หรอก แต่อยากได้ดาบในรูป เมื่อวันก่อนมากกว่า”

 

เห็นคนเหล่านี้อยากจะได้ของเขา อู๋ ฮ่าวเหรินก็ปิดปากเงียบ

 

ในตอนนี้เองชายคนหนึ่งนามว่าไซกูพูดขึ้นว่า “พวกนายนี่เทียบกับฉันไม่ได้หรอก เอาแต่ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น พูดตามตรงหยกโบราณของพ่อค้าของเก่านั้นดีมากๆ แต่พวกมันทั้งหมดถูกปิดผนึกไว้ ถ้าพวกมันถูกสวมใส่มาจนถึงตอนนี้มันจะกลายเป็นสมบัติอย่างแน่นอน”

 

“มันจริงถ้ามันถูกใส่มาจนถึงตอนนี้ ด้วยพลังงานแปลกๆของหยกแบบนี้จะต้องรวยมากแน่ อย่างไรก็ตามไซกูหยกของนายตกทอดมาสู่นายจากปู่ของนายใช่ไหม?”

 

“คุณปู่ไปสํารวจดวงดาวแล้วและอาจไม่กลับมาอีก”

 

“มันก็เป็นความปรารถนาอันยาวนานของเขาที่ต้องการสํารวจท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวไปตลอดชีวิตของเขาและตายในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพวกนั้น”

 

อู๋ ฮ่าวเหรินจึงถามขึ้นในตอนนี้ว่า “ตระกูลของนายไม่ใช่ว่าเป็นนักสํารวจดวงดาวตั้งแต่ยุคโลกโบราณหรอกหรือ?”

 

“มันก็ใช่ และก็เพราะแบบนี้ตระกูลเราถึงได้รอดมาจากยุคมืดได้และบางอย่างก็เหลือรอดมาด้วย”

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด อู๋ ฮ่าวเหรินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาได้พบกับตระกูลนักสํารวจดาวที่พวกเขาพูดถึงกัน

 

ในช่วงแรกสุดของโลก การเดินทางสํารวจอวกาศ ว่ากันว่ามนุษย์เหล่านั้นบ้างก็รอดชีวิตและเติบโตมาได้บนดาวบางดวง

 

บ้างคนเสียชีวิตระหว่างการสํารวจและท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่

 

และตัวตนของเขา คนพวกนั้นคิดมาตลอดว่าเป็นลูกหลานของนักสํารวจดาวดวงกลุ่มแรกๆ ของโลก

 

เพราะมีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถบอกเรื่องราวของโลกโบราณได้มากมาย

มาย

 

เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับคนแบบนี้ในกลุ่มของเก่า อู๋ ฮ่าวเหรินเริ่มถามเกี่ยวกับการสํารวจดาวจากชายที่ชื่อว่าไซกู

 

เห็นได้ชัดว่าการสํารวจดาวโดยเฉพาะการสํารวจดาวในช่วงต้นนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีสําหรับมนุษย์เลย

 

บางคนเลือกทางนี้เพื่อการผจญภัย บางคนเลือกทางนี้เพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

 

ในบรรดานักสํารวจดาวหลายสิบล้านคนมีน้อยคนที่โชคดีพอที่จะรอดมาได้

 

จากไซกูตรงนี้ อู๋ ฮ่าวเหรินก็ได้เรียนรู้ว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติบางอย่างไม่สามารถพบได้ในเครือข่ายข้อมูล

 

แต่น่าเสียดายที่ชายคนนี้ไม่รู้อะไรมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเพราะเวลานั้นนานเกินไปและหลายอย่างถูกทําให้คลุมเครือไปด้วยกาลเวลา

 

ในตอนที่จะออกจากระบบซองแดงอู๋ ฮ่าวเหรินยังคงนึกถึงคําพูดของไซกูว่าอันตรายเริ่มแรกของมนุษย์นั้นก็มาจากตัวมนุษย์เอง

 

มันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่มันก็เป็นคําพูดที่ส่งต่อกันมาในตระกูลของเขาราวกับว่ามันสําคัญมาก

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด