I Found A Planet – ตอนที่ 41

อ่านนิยายจีนเรื่อง I Found A Planet ตอนที่ 41 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

41 ความลับทางธุรกิจ

ณ ถนนหมายเลข 188 จินหลิงตะวันตก มีร้านค้าที่ชื่อ “มรดกแห่งอัญมณี” โดยเป็นชื่อที่เฉินจินตั้งให้กับร้านขายเครื่องประดับของเขา ในแท้ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะใช้ชื่อนี้แต่แรก แต่เขาคิดชื่อร้านที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้นเฉินจินจึงถามแม่ของเขา เฉาหลี่ เพื่อให้ตั้งชื่อให้ร้านแห่งนี้จึงได้ชื่อนี้มา

ทางด้านของ ชิววันติงผู้จัดการร้านของเฉินจิน เธอได้ทำการปรับปรุงและตกแต่งร้านอย่างรวดเร็วเนื่องจากสถานที่แห่งนี้เคยเป็นร้านขายเครื่องประดับมาก่อน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมใช้งานอยู่บ้างแล้ว เธอรู้ว่าเฉินจินกระตือรือร้นที่จะเปิดร้านและต้องการให้ทำการปรับปรุงร้านใหม่เสร็จสิ้นภายในครึ่งเดือน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจทำการซ่อมแซมร้านบางส่วนที่โทรมลงไป และนำเฟอร์นิเจอร์บางอย่างมาเสริมเพิ่มเติมเล็กน้อย แต่ส่วนสำคัญอื่นๆของร้านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก เธอยังวางเคาท์เตอร์คิดเงินไว้ที่จุดเดิมของร้านเก่า และใช้กระเบื้องปูพื้นยี่ห้อเดิมก่อนจะทำการขัดกำแพงอีกครั้ง ตอนนี้เหลือแคมโคมไฟที่แขวนบนเพดานเท่านั้นที่จะต้องปีนขึ้นไปทำความสะอาด ในที่สุดเธอก็ได้ทำการปรับปรุงร้านจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ภายในครึ่งเดือนและซึ่งมันมีค่าใช้จ่ายสูงถึงประมาณ 200,000 หยวน ถึงแม้ว่าเธอจะประหยัดที่สุดแล้วในการปรับปรุงร้านในครั้งนี้

ในตอนนี้เฉินจินนั้นพอใจกับสิ่งที่เขาได้เห็นเป็นอย่างมาก

จริงๆแล้วชิววันติงไม่จำเป็นจะต้องประหยัดเงินในการปรับปรุงร้านในครั้งนี้ก็ได้ แต่เพราะความเชื่อใจของเจ้านายและไว้วางใจให้เธอทำตำแหน่งงานที่สำคัญเช่นนี้ เธอจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการดูแลรักษานี้เอาไว้ อีกทั้งเธอรับรู้ว่าค่าเช่ารายปีของอาคารแห่งนี้นั้นมันแพงถึง 500,000 หยวนต่อปีได้เลยและเธอคาดการณ์เจ้าของร้านอย่างเฉินจินคงได้กำไรไม่มากจากการทำธุรกิจนี้ ถ้าเธอไม่พยายามตั้งแต่ต้นในการช่วยเจ้านายของเธอประหยัดล่ะก็อนาคตของร้านนี้คงอยู่ได้ไม่นานและอาจทำให้เธอตกงานอีกครั้ง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เธอจะพยายามประหยัดทุกอย่างที่อยู่ในร้านที่มีเฉินจินเป็นเจ้าของแห่งนี้

อันที่จริงร้านนี้ เฉินจินคิดว่าคงจะเปิดตัวร้านในต้นเดือนหน้า หรือไม่ก็ภายในสิ้นเดือนนี้ อย่างไรก็ตามเขายังมีปัญหาเรื่องการหาสินค้ามาขายภายในร้าน เพราะในตอนนี้เขายังไม่ได้สร้างแบรนด์ให้กับเหล่าของมีค่าที่วางกองอยู่ในแคมป์บนดาวไฮเออร์แอลฟา หากไม่มีสต็อกเก็บของที่เหมาะสมเขาเองจะเปิดร้านได้อย่างไรภายในสิ้นเดือนนี้

ดังนั้นชิววันติงต้องพูดคุยกับเจ้านายและเตือนเฉินจินอย่างสม่ำเสมอเพื่อยืนยันว่าเขาได้เตรียมกระบวนการต่างๆภายในร้านไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่ทันกำหนดในการเปิดร้านสิ้นเดือนหน้า เธอโทรหาเจ้านายและขอให้เขามาที่ร้าน พวกเขาทั้งสองคุยกันเรื่องนี้ในสำนักงานที่ตั้งอยู่บนชั้นสาม

“ เจ้านาย ตอนนี้เจ้านายมีช่องทางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายเครื่องประดับพวกนี้หรือแหล่งตลาดแล้วใช่ไหม หรือทำข้อตกลงกับผู้ผลิตเครื่องประดับหรือลงนามในสัญญาให้พวกเขาเป็นซัพพลายเออร์ให้กับเจ้านายหรือยัง?”

“ซื้อ? สัญญา?” เฉินจินถึงกับนิ่งไปกับคำถามเหล่านี้ทั้งหมด เขาส่ายหัว “ ไม่ ผมยังไม่ได้จัดการเรื่องพวกนี้” ก่อนหน้านี้เขายุ่งมากกับการตามหาคนขายนาฬิกาจนลืมไปว่าจะต้องมาดูแลร้านของเขาเอง

ชิววันติงจึงพูดออกมาว่า“ นี้มันเป็นเรื่องเร่งด่วนมากเลยนะคะ เจ้านายจะต้องรีบไปเจรจา ถ้าเรามีสินค้าไม่เพียงพอ เราคงจะเปิดร้านสินเดือนนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน และอาจเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะเปิดตัวในต้นเดือนหน้า”

เฉินจินส่ายหัวและพูดอย่างตรงไปตรงมา“ ผมยังใหม่มากกับเรื่องพวกนี้” เฉินจินไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับธุรกิจเครื่องประดับเลย อาจพูดได้ว่าเขาค่อนข้างโง่กับการเข้ามาในธุรกิจนี้ เช่นการจัดซื้อการเจราจาร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องประดับ ราคาและแนวโน้มอุตสาหกรรม เขาพูดได้เพียงว่า“ ป้าชิว” ผมจะโอนเงินให้ป้าและป้าช่วยไปคุยกับซับพลายเออร์เครื่องประดับเกี่ยวกับช่องทางการซื้อขายให้หน่อย ผมจะมอบเรื่องทั้งหมดนี้ให้ป้าป้าคิดว่ายังไงครับ” เขาวางแผนที่จะมอบหมายงานทั้งหมดให้กับผู้เชี่ยวชาญมากกว่าที่เขาจะลงมาทำเอง

“ ว่ายังไงนะค่ะ? เจ้านายจะให้ฉันไปเจรจาซื้อขายอย่างงั้นหรอ ” ชิววันติงถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ เจ้านายของเธอได้มอบหมายให้เธอทำเรื่องสำคัญอย่างนี้จริงๆหรอ? แท้ที่จริงแล้ววันติงไม่รู้มาก่อนว่าเจ้านายของเธอ เฉินจินนั้นมีเงินถุงเงินถังมากพอและเขาเองก็ไว้ใจเธอให้เธอทำงานที่สำคัญเช่นนี้? เธอรู้สึกประทับใจเล็กน้อยและพบว่านี้มันเป็นเรื่องตลกหรือเปล่า เจ้านายของเธอที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เขาเหมือนกระดาษขาวที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจนี้เลยอีกทั้งเขายังขาดประสบการณ์ในการทำงานและการเข้าสังคมและเขาเองดูไม่เป็นผู้ใหญ่หรือมีประสบการณ์ใดมากก่อน โดยรวมแล้วเขาดูเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่บริสุทธิ์พุดผ่อง

แต่ความจริงในตอนนี้วันติงเธอจะต้องไปทำหน้าที่ในการเจรจากับซัพพลายเออร์ด้วยตัวเอง เพราะสุดท้ายเธอเป็นคนที่อยู่ในธุรกิจนี้มานานกว่า 20 ปีและรู้จักเครือข่ายและช่องทางธุรกิจทุกอย่างเหมือนการมองหลังมือของเธอเอง ไม่มีใครรู้จักเส้นสายหรือเทคนิคเบื้องหลังที่ชั่วร้ายของธุรกิจนี้ได้กว่าเธอแล้วในตอนนี้ และเธอก็รู้จักกฏและมารยาทที่ไม่ได้กล่าวในการทำธุรกิจนี้เป็นอย่างดีอีกด้วย จะเป็นการดีกว่าถ้าเธอไปทำการเจรจาดีกว่าปล่อยเจ้านายที่ไม่รู้ปะสีปะสาไป เพราะมันจะมีทุ่นระเบิดและกับดักมากมายที่ควรจะหลีกเลี่ยงที่รอคอยอยู่ในการเจรจาในครั้งนี้“ ซึ่งมันเป็นราคาการในเรียนรู้” ที่สูงมาก

อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งที่เธอต้องประกาศไว้ล่วงหน้า “ เจ้านาย ถ้าเจ้านายเชื่อใจตัวของฉันอย่างแท้จริงแล้ว ฉันสามารถช่วยเจ้านายในการเข้าร่วมเจรจาเรื่องช่องทางการซื้อขายได้ อย่างไรก็ตามฉันหวังว่าเจ้านายจะให้ความไว้วางใจในตัวฉันอย่างแน่นอน แน่นอนว่าฉันจะให้รายละเอียดบัญชีของทุกรายการและใบแจ้งหนี้ทุกใบ ฉันสามารถยืนยันได้ว่าค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะมีหลักฐานในการยืนยันการใช้จ่ายทั้งหมด ฉันหวังว่าฉันจะได้รับความไว้วางใจจากเจ้านายอย่างเต็มที่ แค่นี้ก็จะทำให้ฉันมั่นใจได้ว่าฉันจะเป็นตัวแทนของเจ้านายในการทำหน้าที่ต่อรองต่างๆกับซัพพลายเออร์ได้” เธอหมายถึงว่าเธอหวังว่าเฉินจินจะให้อำนาจกับเธอมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่เธอจะได้มีอิสระในการเจรจาต่อรองที่หลากหลายยิ่งขึ้น มันจะทำให้เธอจะมีความกล้าที่จะไปและเจรจาต่อรอง

เฉินจินเข้าใจความต้องการที่เธอไม่ได้พูดออกมาและพยักหน้า “ไม่มีปัญหา. ป้าชิวผมเชื่อใจป้า ผมจะมอบความไว้วางใจให้กับป้าในทุกเรื่อง!”

หลังจากพิจารณาแล้วเขากล่าวว่า“ แล้วเงิน 5,000,000 หยวนจะพอไหม เงิน 5,000,000 หยวน พอที่จะเปิดร้านในครั้งนี้ไหม”

“ อืม…ร้านของเราค่อนข้างใหญ่ เงิน ห้าล้านหยวนอาจไม่พอ เพราะตอนนี้เราเหลือเงินแค่แปดแสนหยวนจากการปรับปรุงร้านที่ผ่านมา แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะเอาสิ้นค้ามาขายมากน้อยแค่ไหน?” ตัวอย่างเช่นการลดสัดส่วนของเครื่องประดับทองคำและเพิ่มเคาน์เตอร์แสดงผลสำหรับเครื่องประดับเนื้อเงินแทน

“ โอเคป้าชิว ผมจะโอนเงิน 5,000,000 หยวนให้ป้า ถ้าเงินยังไม่พอก็บอกผมได้เลย!” ที่จริงแล้วเฉินจินต้องการพูดว่าทองคำข้างกองสมบัติที่อยู่ในแคมป์มันมีน้ำหนักรวมกันทั้งหมดเกือบ 1.55 ตัน กำลังรอที่จะออกมาขายอยู่ซึ่งเฉินจิงแทบจะรอไม่ไหวแล้ว

“ เอาล่ะ ขอบคุณค่ะเจ้านาย ฉันจะทำให้เต็มที่!” ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเธอก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างมาก! เธอเข้าสู่ธุรกิจเครื่องประดับครั้งแรกในวัย 20 ปีที่แล้วและมีประสบการณ์มากมายในการขายของเหล่านี้มากมาย การติดต่อโดยตรงกับลูกค้าจำนวนมากของเธอนับไม่ถ้วนทำให้เธอได้รับประสบการณ์ล้ำค่ากลับมา

วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับอำนาจสูงสุดในการกำกับการดำเนินงานของร้านขายเครื่องประดับขนาดใหญ่เช่นนี้ เธอสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ตามความคิดของเธอเองและใช้เทคนิค วิธีการของตัวเองซึ่งเธอไม่สามารถทำได้ในอดีต โดยรวมแล้วตอนนี้เธอสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เคยเปลี่ยนไม่ได้จากการทำงานที่ร้านเดิมได้ ณ จุดนี้ภายในใจของเธอเต็มไปด้วยความคิดมากมายและอย่างไรก็ดีร่างกายของเธอเต็มนั้นเต็มไปด้วยพลังงาน และเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างล้นหลามเธออดไม่ได้ที่จะเปิดเผยความลับในวงการให้เจ้านายอย่างเฉินจินฟัง

“ หลักการทองคำ 99.99% มันเป็นแค่แนวคิดในการจะเก็งกำไรจากลูกค้า ไม่มีทองคำในตลาดที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% แม้ว่าจะได้รับการยืนยันจากผู้เชียวชาญก็ตาม ร้านเครื่องประดับจะนำทองป้ายมาติดว่าทองคำ 99.99% เพื่อสร้างแรงดึงดูดให้กับร้าน โดยพื้นฐานแล้วนี่เป็นเคล็ดลับที่ใช้หลอกลวงผู้ซื้อ การทำสิ่งนี้จะช่วยทำให้เราสามารถแข่งขันกับร้านที่มีเชื่อเสียงอยู่ในวงการมานานได้ เพราะในฐานะที่เป็นร้านค้าที่ไม่มีแบรนด์เรามีตัวเลือกมากมายเกี่ยวกับการซื้อเครื่องประดับและอำนาจการกำหนดราคาที่มากขึ้น ร้านขายเครื่องประดับที่มีแบรนด์สินค้าส่วนใหญ่จะขายชื่อแบรนด์ของพวกเขา พวกเขาสามารถซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์ที่เป็นเครื่องประดับที่ถูกเลือกไว้เพียงบางอย่างเท่านั้น ตัวอย่างเช่นร้านขายเครื่องประดับ หลิวฟู ก่อนหน้านั้น ร้านนี้ซื้อทองคำในราคา 3 หยวน ถึง 5 หยวน แพงกว่าต่อกรัมเมื่อเทียบกับร้านค้าทั่วไปที่ไม่มีแบรนด์ แต่คุณภาพของทองก็ใกล้เคียงกัน ทำให้เราไม่มีข้อได้เปรียบเมื่อพูดถึงเรื่องราคา สังเกตได้จากร้านที่ไม่ได้ดังมากอย่าง ร้านลองเจ้อเจีย หรือ ร้านโจวฉางฉิน แต่ร้านพวกนี้ก็ไม่ปิดกิจการเสียที ถึงแม้ไม่ใช่แบรนด์ดังอะไรถูกไหม? ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเมื่อรสนิยมความงามของผู้คนเปลี่ยนไปตอนนี้มันเป็นประโยชน์มากกว่าที่เราปรับเปลี่ยนมาทำร้านเครื่องประดับเงิน ราคาของเนื้อเงินมันไม่สูงมาก และเนื้อเงินในอุตสาหกรรมราคาก็ตกอยู่ประมาณ 3 หยวนต่อกรัมเท่านั้น แต่เครื่องประดับเงินหนึ่งชิ้นสามารถขายได้ในราคา 200 หยวน ถึง 300 หยวน ด้วยมูลค่าเพิ่มเช่นนี้ ราคาวัตถุดิบเนื้อเงินนั้นไม่ได้สูงมากแต่กับทำกำไรสูงกว่าทองคำ!” ตอนนี้มันทำผลกำไรมากขึ้นที่และถือเป็นเครื่องประดับที่ทำกำไรได้ค่อนข้างดี”

ชิววังติงพูดอย่างมีความสุข เธอถ่ายทอดความรู้เกือบทุกอย่างรวมถึงความลับทั้งหมดของวงการนี้ให้กับเฉินจิน เฉินจินทำได้เพียงพยักหน้าซ้ำๆ ในความประหลาดใจกับสิ่งที่เธอพูด เขาไม่เคยคิดเลยว่าธุรกิจเครื่องประดับจะมีความซับซ่อนเช่นนี้! ในเวลาเดียวกันเขารู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่ได้ว่าจ้างมืออาชีพที่มีความรู้ในการจัดการร้านค้า หากเขาต้องรีบเร่งและลงมือทำอย่างลับๆแน่นอนว่าเขาอาจได้รับบทเรียนราคาแพงมาอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการที่เขาต้องทำธุรกิจด้วยตัวเองเดือนละ 20,000 หยวนที่เขาจ่ายให้ป้าชิวก็ทำให้เฉินจินสบายใจมากขึ้น

ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 คือความสามารถ เขาเคยได้ยินคำวลีที่ว่า“ขนาดม้าแข่งที่ตายลงไปแล้ว ยังต้องใช้ทองคำหนึ่งพันแผ่นถึงจะได้ครอบครองมันได้” อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาที่จะพูดคุยเรื่องค่าตอบแทนและผลประโยชน์ผู้คนมักจะคิดถึงวิธีประหยัดเงินก่อน วิธีการได้รับประโยชน์สูงสุดในขณะที่ใช้จ่ายให้น้อยที่สุด พวกเขาจะพูดถึงความมุ่งมั่นและพยายามอย่างหนัก แต่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ใช้งานได้จริง ด้วยทัศนคติและสไตล์นี้พวกเขาจะไม่มีวันบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน!

เฉินจินมีลางสังหรณ์บางอย่าง: แม้ว่าเขาจะไม่นำอัญมณีและเครื่องประดับจากแคมป์มาขายในร้านตัวเอง แต่ด้วยประสบการณ์และความสามารถของป้าชิว ร้านของเขาก็จะสามารถทำกำไรได้ มันจะไม่ทำให้เขาขาดทุน แต่เขาก็ยังสงสัย ทำไมเธอถึงไม่เปิดร้านขายเครื่องประดับของตัวเองเมื่อเธอมีความสามารถขนาดนี้?

“ เมื่อ12 ปีที่แล้วตอนที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ฉันหาเงินมากกว่า 300,000 หยวน แต่ในปีนั้นสามีของฉันอยากให้ให้ฉันทำอาหารสามมื้อให้เขาทุกวันและที่ทำงานของฉันอยู่ไกลเกือบ 10 กิโลเมตรจากบ้านของฉัน” ขณะที่เธออธิบายสายตาของเธอก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่าและความหดหู่ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ

เฉินจินหยุดที่จะถามต่อ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด