I Found A Planet – ตอนที่ 39
39 ตามหาพ่อค้าที่ไม่มีอยู่จริง
“ได้ครับพ่อผมกำลังไป” หลังจากวางสายโทรศัพท์เฉินจินก็รีบขับรถตรงไปที่ Commercial Aircraft Corporation (CAC) บริษัทที่พ่อของเฉินจินทำงานอยู่
…
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเฉินจินขับไปถึงหน้าบริษัทและเห็นพ่อของเขายืนรอเขาอยู่ ใบหน้าของเฉินกังตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย และเฉินจินเองก็ไม่สามารถจอดรถในบริษัทได้ เนื่องจากบริษัทพยายามป้องกันการจอดรถของคนนอก เลยออกนโยบายไม่ให้คนนอกที่ไม่ใช่พนักงานนำรถมาจอดในบริษัทได้
“ พ่อ เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นหรอ?” เฉินจินตะโกนถามขณะที่กำลังลงจากรถในเวลาเดียวกับเฉินกังก็วิ่งเขามาหาเฉินจินด้วยความรีบร้อน
“ มาตรงนี้…” เฉินกังเอามือแตะบนไหล่ของเฉินจินแล้วพาเฉินจินไปที่หลังก้อนหิน เฉินกังพยายามพูดกับเฉินจินลูกชายของเขาให้เบาที่สุด “เราจะคุยกันตรงนี้”
ตอนนี้เฉินจินเต็มไปด้วยความสับสับ เพราะเฉินจินเดาไม่ได้เลยว่าตอนนี้พ่อของเขากำลังต้องการจะทำอะไร
“ ไอ้ลูกชาย! พ่อจะถามแกอีกครั้ง นาฬิกาที่แกให้พ่อในวันครบรอบแต่งงาน แกไปซื้อมันมาจากที่ไหน ” เฉินกังถามพร้อมกับมองตาเฉินจิน ด้วยแววตาที่จริงจัง
“ พ่อ ผมก็บอกไปแล้วไง? ผมซื้อจากข้างถนนย่านฉางไฮ้ นี้ผมต้องบอกพ่ออีกครั้งกันเนี่ย?” เฉินจินพยายามเลี่ยงที่จะตอบคำถามเรื่องนาฬิกากับพ่อของเขา
“ แกไม่รู้จริงๆหรอว่าร้านที่แกซื้อมาตั้งอยู่ตรงไหน” เฉินกังเองไม่ละความพยายามนี้ เขาพยายามเค้นความจริงจากเฉินจินว่าลูกชายของเขาได้นาฬิกานี้มายังไงกันแน่ และร้านที่เขาซื้อนาฬิกามามันตั้งอยู่ตรงไหน
“เอิ่ม ผมคิดว่าเขาน่าจะตั้งขายอยู่แล้วสวนสาธารณะที่ถนนจงไห่ไม่ก็ละแวกข้างๆ…” เฉินจินพยายามแสร้งทำตอบคำถามพอเขา โดยพยายามแกล้งทำเป็นคิดว่ากำลังหาสถานที่ของร้านขายนาฬิกาข้างถนนที่เขาแต่งเรื่องขึ้นมาเอง
“ แกบอกว่าร้านมันตั้งอยู่แถวข้างถนนใช่ไหม? อย่างงั้นแกต้องช่วยพ่อหาเขาแล้ว! เร็วเขา! ตามพ่อมา!”
โอ้เวรล่ะ. เฉินจินเอามือแปะที่หน้าผากของเขาแล้วพูดกับพ่อว่า“ นี้ผมยังไม่บอกพ่ออีกหรอ? คนขายนะเป็นพ่อค้าเร่ เขาจะย้ายร้านไปที่อื่นเรื่อยๆไม่มีที่ประจำเป็นหลักเป็นแหล่ง อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ขายแค่นาฬิกาอย่างเดียว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาตัวของเขาเจอ”
“ เอาล่ะ! อย่างน้อยเราก็ควรลองดูก่อน แกรู้ไหมชายคนที่พ่อกำลังตามหาอยู่นั้นสำคัญมากๆ!”
“ ผม…” ก็แค่พ่อค้าไม่ใช่หรือยังไง จะสำคัญแค่ไหนเชียว? เฉินจินไม่เข้าใจว่าพ่อเขากำลังคิดอะไรอยู่ ราวกับว่าเขากำลังมีเรื่องสำคัญมากๆและไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้จนกว่าพ่อของเขาจะได้พบกับพ่อค้าด้วยตัวเอง
เฉินกังเริ่มอธิบายให้กับเฉินจินฟังว่าทำไมเขาถึงต้องการหาพ่อค้าคนนั้น “ เฉินจิน แกรู้ไหมว่านาฬิกาที่แกมอบให้พ่อเมื่อสองเดือนที่แล้วนั้นมันผิดปกติ เพราะเมื่อพ่อมามองดูดีๆแล้วมันไม่ใช่นาฬิการาคาถูกที่พ่อเคยคิดไว้แต่แรก แต่เป็นนาฬิกาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากที่มีความแม่นยำในการจับเวลาสูง? มันเป็นนาฬิการะดับอะตอมที่มีอะตอมซีเซียมขนาดเล็กภายในนาฬิกาซึ่งหมายความว่ามันควบคุมเวลาและส่วนเบี่ยงเบนจะคงอยู่น้อยกว่าและอาจคาดเคลื่อนเล็กน้อยประมาณหนึ่งวินาทีต้องหลังจากผ่านไปแล้ว 100,000 ปีแลยนะ! เทคโนโลยีและทักษะที่ใช้ในการออกแบบนาฬิกาเรือนนี้เป็นสิ่งที่เกินความเข้าใจของเราในปัจจุบันมาก ประเทศของเราไม่สามารถผลิตนาฬิกาเรือนนี้ขึ้นมาได้ แม้ว่าเราจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและพัฒนามามากแล้ว แต่ต่อให้ผ่านไปแล้ว 30 ปีเราก็ไม่สามารถสู้ได้! ถ้าตีราคานาฬิกาเรือนนี้ละก็มันอาจจะไม่สามารถตีเป็นตัวเงินออกมาได้เลย!” เฉินกังโบกแขนของเขาไปมา กวาดแขนเพื่อต้องการให้เห็นว่าสิ่งที่เขากำลังเล่าอยู่นั้นมันน่าตื่นเต้นขนาดไหน“ นาฬิกาเรือนนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศของเรามาก ตอนนี้เรายังไม่แน่ใจเกี่ยวกับกระบวนการผลิตที่อยู่เบื้องหลังมัน แต่ถ้าเรามีนาฬิกาเรือนอื่นๆเพิ่มขึ้นมาเราจะสามารถทำการวิจัยมันได้ และใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง มันจะช่วยผลิกโฉมวงการอุตสาหกรรมในประเทศเราไปตลอดการ!”
อะไรนะ? เฉินจินถึงกับตกใจเมื่อได้ฟังสิ่งที่พ่อของเขาพูด ใครกันจะคิดว่าแค่นาฬิกาจากต่างดาวเรือนเดียวจะสามารถสร้างเรื่องราวได้มากมายเช่นนี้? มันอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศในอนาคต มันมีคุณค่าขนาดนั้นเลยหรอนั้นคือสิ่งที่เฉินจินกำลังคิดอยู่ภายในใจ
ตอนนี้เฉินจินดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อเช็ดน้ำไหลของพ่อเขาที่กระเซ็นเต็มใบหน้าของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ และเฉินจิงถามด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็นว่า “อย่างงั้น … แสดงว่านาฬิกาเรือนที่ผมให้ไปมันก็น่าจะทำเงินได้มหาศาลเลยใช่ไหมครับ?”
เงิน? เฉินกังถึงกับหยุดนิ่งไปสักพักและคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ก่อนที่จะตอบโต้เฉินจินกลับไป “ โอ้มันยิ่งกว่าถูกหวยเสียอีกถ้าได้มันมา ”
“ ถ้าเป็นพ่อ พ่อจะให้ราคามันเท่าไรต่อหนึ่งเรือน สักหนึ่งหมื่นห้าพันหรือหนึ่งแสนห้าหมื่น หนึ่งแสนห้าหมื่นหรอ หรือ 1.5 ล้านหยวนเลยนะ?”
“อาจจะขายมันในราคานั้นได้. ถ้าเป็นพ่อ พ่อก็จะซื้อตามราคาที่ผู้ขายเสนอมาให้เลย … เดี๋ยวก่อน เฉินจิน พ่อกำลังจริงจังนะ ไม่งั้นคงไม่เรียกลูกมาหาพ่อหรอก!” ตอนนี้เฉินกังส่ายหัวอย่างรุนแรง ราคา? ราคาเท่าไหร่? ในตอนนี้ต่อให้มีเงินก็ไม่สามารถซื้อราคาเรือนนี้ได้ เฉินกังจับแขนเฉินจินที่เป็นลูกของและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก“ เฉินจินได้โปรด! ช่วยพ่อหาคนขายคนนั้นด้วยเถอะ! ถ้าเราหาเขาเจอมันจะส่งผลให้การพัฒนาประเทศอย่างใหญ่หลวง!” เฉินกังจบลงด้วยการพูดจาด้วยน้ำเสียงอันไพเราะและใบหน้าของเฉินกังนั้นดูจริงจังมาก หวังว่าลูกของเขา เฉินจินจะเห็นด้วยและช่วยให้เขาตามคนขายคนนั้น
เมื่อเฉินจินเห็นใบหน้าอันจริงจังจากพ่อของเขา เฉินจินก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ เฉินจินรู้จักพ่อของเขาดี พ่อของเขานั้นเป็นพวกชาตินิยม และพร้อมที่จะสนับสนุนประเทศอย่างจริงจัง มันยากที่จะหาคนอย่างเขาในยุคนี้
นอกจากนี้ในฐานะรองหัวหน้าฝ่ายถึงของบริษัทถึงแม้ตำแหน่งของเขาไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่เฉินกังไม่สามารถละเลยเรื่องนี้ไปได้ ตอนนี้รายได้หลักของเฉินกังอยู่ที่เดือนละ 2,000 หยวน ซึ่งเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยคนทั้งเมืองแล้วเฉินกังมีรายได้มากกว่าคนอื่นไปเล็กน้อยเท่านั้น
จริงแล้วๆเฉินกังเองก็มีโอกาสที่จะได้ทำงานในสายของดารา ถึงแม้จะไม่ได้เก่งด้านการแสดงมากแต่เขาก็สามารถทำเงินได้ เกือบ 12 ล้านหยวนต่อเดือน ร่วมไปถึงยังไม่อีกหลายธุรกิจที่เสนอเงิน 150 ล้านหยวนในแต่ละปีเพื่อซื้อตัวเขาไปทำงานให้เช่นเดียวกับการเสนอบ้านและรถยนต์ให้อีก แต่เฉินกังก็ตัดสินใจอยู่กับบริษัท CAC เขาจึงละทิ้งข้อเสนอทั้งหมดเพื่ออุทิศตนทำงานในการซ่อมอุปกรณ์การบินให้กับประเทศ!
ลึกลงไปฉันกังดูเป็นวีรบุรุษของเฉินจินแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะไม่ได้ชื่นชมหรือวิจารณ์พ่อของเขาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผ่านๆมาในอดีต ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลองช่วยพ่อของเขาในเรื่องนี้ “ ตกลงครับพ่อ ผมจะทำให้ดีที่สุดเพื่อตามหาคนชายคนนั้น ผมจะโทรหาพ่อทันทีที่พบเขา แต่ได้โปรดอย่ามาโทษผมถ้าผมทำไม่ได้จริงๆ ชางไห่เป็นเมืองใหญ่เป็นไปได้ยากที่จะเดินหาซุกซอกทุกมุม ผู้คนมหาศาลอาศัยและเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองนี้ ไม่แปลกใจเลยถ้าผมไม่เจอเขาจริงๆ”
“แกพูดถูก. แค่ทำให้ดีที่สุดก็พอ เพราะนี้ไม่ใช่ความผิดของแกเลย” เฉินกังปรับความคิดของเขา ลูกชายของเขาพูดถูกต้องทั้งหมด ด้วยจำนวนคนที่มากและยิ่งเป็นคนผอมแห้งแล้งน้อยอย่างเฉินจินจะสามารถค้นหาคนขายของเร่ได้ง่ายๆได้อย่างไรกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็วางแผนที่จะขับรถไปรอบๆเมืองในช่วงสุดสัปดาห์ โดยมองหาพ่อค้าแม่ค้ารายนี้ซึ่งตามคำอธิบายของเฉินจิน เขาจะผอมและตาตี๋ๆ
เฉินกังพยายามจะไม่ตำหนิตัวเองถ้าเขามีตำแหน่งระดับสูงกว่านี้เขาอาจจะสามารถใช้เส้นสายจากกรมตำรวจให้พวกตำรวจเดินหาคนขายของเร่มันจะเร็วกว่าการขับรถไปรอบๆ มองหาคนขายของเร่ที่มีจำนวนนับแสนคนในเมืองนี้
“ พ่อ เดียวผมจะพยายามหาคนขายให้เจอ พ่อกลับไปทำงานเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เอาล่ะ ขับรถปลอดภัยนะลูก!”
“ ครับ” เฉินจินโบกมือลาพ่อขณะขับรถมินิคูเปอร์ออกไปจากบริษัทของเฉินกัง
เฉินจินขับรถอย่างไรจุดหมายปลายทางอยู่ในเมืองชางไห่โดยไม่มีความตั้งใจเดียวที่จะมองหาใครเลย เพราะเขารู้ดีว่าหายังไงก็คงหาไม่เจอหรอก; เฉินจินจะหาชายคนขายคนนั้นได้จากไหนกัน! ดังนั้นเขาจึงขับรถไปรอบๆและถ่ายรูปแบบไปมั่วๆเพื่อพิสูจน์ว่าเขาได้พยายามมองหาคนขายที่พ่อของเขาต้องการเจอตัวแล้ว ด้วยรอยยิ้มที่น่าขันบนใบหน้าของเฉินจิน เขาพึมพำกับตัวเอง“ ฉันอุสาไม่พูดมาตั้งหลายวันแล้ว แต่พ่อกับรู้เรื่องนาฬิกาจนได้ ฉันไม่น่าเอานาฬิกาให้เขาเลยถ้าฉันรู้ก่อน ฉันคงจะหาอย่างอื่นมาให้แทน อ่าครั้งหน้าฉันจะต้องระวังให้มากกว่านี้ ครั้งนี้ฉันเกือบถูกจับได้แล้ว “
โชคดีที่ฉันเป็นนักแสดงที่มีทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยม ฉันหลอกพ่อของฉันได้อยู่มัดและดีที่เขาไม่ได้สงสัยอะไรในตัวฉันเลย
ทักษะเหล่านี้เขาได้มาจากการที่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงคำสั่งต่างๆของเฉาหลี่ผู้เป็นแม่ ที่ชอบให้เขาทำนู้นนี้นั้นอยู่ตลอดเวลาถึงแม้เฉินจินอาจจะไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำได้เนียน แต่เขาก็พอจะเอาตัวรอดได้อยู่
หลังจากขับรถวนไปมาสองสามรอบในเมืองในที่สุดเฉินจินก็กลับถึงบ้านประมาณ 21.00 น. ซึ่งเขาเหนื่อยจากการเดินทาง เขาแสดงให้พ่อเห็นภาพบนโทรศัพท์ของเขา “ พ่อ ผมมองหาจนทั่วเมืองแล้ว แต่ผมก็ไม่พบเขาเลย”
“ โอ้ไม่เป็นไร เดียวค่อยตามหาวันพรุ่งนี้ต่อ” เฉินกังส่ายหัว เขารู้สึกผิดหวังมาก แต่เขาเองก็ยังไม่ยอมแพ้กับเรื่องแต่อย่างใด
คอมเม้นต์