ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 6 อนุภรรยาทำพิธียกน้ำชา
สีหน้าของฉินหรูเหลียงดูแย่เอามากๆ ถ้าเขาจำไม่ผิด ตอนนั้นเขาบอกกับเฉินเสียนชัดเจนแล้วว่าเมื่อหลิ่วเหมยอู่แต่งเข้ามาแล้ว นางจะมีสถานะทัดเทียมกัน แต่ผ่านไปเพียงไม่นานนางกลับลืมเสียแล้ว!
ท่าทางที่ไม่ยอมอ่อนข้อแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาเพียงอย่างเดียว สี่ผัวมองบ่าวสาวคำนับฟ้าดินใหม่อีกครั้ง
คราวนี้เฉินเสียนไม่ได้เข้ามาขัดขวาง นางเพียงแต่เฝ้ามองอย่างเงียบๆ ตลอดพิธี
ตามกฎแล้วหลังจากเสร็จสิ้นพิธีคำนับฟ้าดิน อนุภรรยาคนใหม่จะต้องทำพิธียกน้ำชาให้ภรรยาเอก
เฉินเสียนเพียงแค่รอจิบชาของนาง
สาวรับใช้เตรียมน้ำชาไว้เรียบร้อยแล้วและยืนรออยู่ข้างๆ
สี่ผัวตะโกนป่าวร้องว่า “เจ้าสาวทำพิธียกน้ำชาให้ภรรยาเอก—”
หลิ่วเหมยอู่ที่กำลังถือถ้วยน้ำชาหวาดกลัวจนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
เฉินเสียนเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มและถามว่า “ทำไม กลัวข้าจะกินเจ้าหรือ”
หลิ่วเหมยอู่ขบริมฝีปากเบาๆ รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวเฉินเสียนสร้างความหวาดกลัวได้ไม่น้อย
ฉินหรูเหลียงเอ่ยขึ้นมาอย่างทันท่วงทีว่า “ไม่ต้องทำพิธียกน้ำชาแล้ว”
เฉินเซียนจึงกล่าวว่า “ไม่ต้องแล้ว? หมายความว่าหลังจากนางแต่งเข้ามาแล้วจะต้องยกเลิกกฎทั้งหมดภายในครอบครัวงั้นหรือ นี่ใช่การแต่งอนุภรรยาที่ไหนกัน มันคือการแต่งพระเข้าบ้านต่างหาก”
เหลียนชิงโจวที่ยังคงกอดอกยืนอยู่เบื้องหลังฝูงชนเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “แม้ว่าภรรยาเอกของท่านแม่ทัพจะสิ้นไร้ความสามารถ แต่ถึงอย่างไรองค์จักรพรรดิก็พระราชทานงานแต่งให้เมื่อสามเดือนก่อนและพระราชทานยศเป็นองค์หญิง คงไม่มากเกินไปที่นายหญิงน้อยผู้นี้จะต้องคุกเข่าและยกน้ำชาให้ผู้เป็นภรรยาเอก”
ทันทีที่เขาเอ่ยออกมาทุกคนต่างก็คิดว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ถ้าเหลิ่วเหมยอู่ทำไม่ได้ อาจจะไม่เป็นที่โปรดปรานและดูไม่ดีนักในสายตาของท่านแม่ทัพ
หลิ่วเหมยอู่มองไปที่ฉินหรูเหลียงอย่างเอาอกเอาใจและเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ไม่เป็นไรค่ะท่านแม่ทัพ นี่คือสิ่งที่เหมยอู่ควรทำ”
โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางไม่ลังเล มันอาจไม่คุ้มที่นางจะคุกเข่าลง
ฟังจากคำพูดของเหลียนชิงโจว นางจะต้องเสียใจมากถ้าไม่คุกเข่า
ทว่ายังไม่ทันที่หลิ่วเหมยอู่จะยื่นมือยกชาไปให้ เฉินเสียนก็เอื้อมมือมาคว้าถ้วยชาไปเสียก่อน
หลิ่วเหมยอู่ผงะไป ทันใดนั้นเฉินเสียนก็โยนถ้วยน้ำชาทิ้งต่อหน้านาง ถ้วยน้ำชาแตกกระจายและกระเด็นไปทั่วพื้น เสียงใสของมันดังกังวานชัดเจน
เฉินเสียนชี้ไปถ้วยเครื่องเคลือบบนพื้นอย่างใจเย็นและเอ่ยว่า “คุกเข่าเดี๋ยวนี้ และไปนำถ้วยชามาทำความเคารพข้าใหม่”
แขกเหรื่อที่อยู่ภายในงานต่างตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าอยู่ๆ จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่องค์หญิงผู้โง่เขลากลายมาเป็นคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทั้งยังหาเรื่องจับผิดได้ด้วยเหตุผลที่ชอบธรรม ยุติธรรมและมีเกียรติ
ฉินหรูเหลียงโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “เฉินเสียน ท่านอย่าเหิมเกริมให้มันมากนักนะ!”
เฉินเสียนหันไปมองเขาด้วยสายตาที่มั่นคงและสงบนิ่ง “แม่ทัพฉิน ได้โปรดเรียกข้าว่าองค์หญิงจิ้งเสียน”
ใบหน้าของหลิ่วเหมยอู่ขาวซีด น้ำตาใสๆ คลออยู่ในหน่วยตา นางเอ่ยอย่างน่าเวทนาว่า “ทำไมองค์หญิงต้องทำให้ข้าอับอายถึงเพียงนี้”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าแค่ทำให้เจ้าอับอายเจ้าก็ทนไม่ได้แล้วหรือ ถ้าทนไม่ได้เจ้าจะไปตายเสียก็ได้นะ
ที่ถนนทางทิศตะวันตกมีแม่น้ำอยู่ไม่ใช่หรือ เจ้าเจาะน้ำแข็งแล้วลองกระโดดลงไปดูสิ
หรือไม่ที่หน้าตลาดสดก็มีต้นไม้เก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง เจ้าไปที่นั่นแล้วแขวนคอตัวเองก็ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเคยบอกกับข้างั้นหรือ วันนี้ข้าขอมอบทั้งหมดคืนให้เจ้า”
ดวงตาของหลิ่วเหมยอู่เบิกกว้างและมองเฉินเสียนด้วยความหวาดกลัว
แขกเหรื่อแอบกระซิบกระซาบกันเป็นการส่วนตัว “องค์หญิงทรงทำเกินไปหรือเปล่า… นายหญิงน้อยช่างน่าสงสารเหลือเกิน”
เหลียนชิงโจวกลัวว่าแค่นี้โลกจะยังไม่วุ่นวายพอ จึงขยับปากและเอ่ยไปว่า “ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่านายหญิงน้อยจะเคยเอ่ยคำพวกนี้กับองค์หญิงมาก่อน มันจะเป็นอาชญากรรมที่ชั่วร้ายแค่ไหนกันนะ ถ้าองค์หญิงถูกนางขับไล่ออกไปจริงๆ และกลับมาด้วยรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ ตอนนี้องค์หญิงแค่ขอให้นายหญิงน้อยคุกเข่าลง โดยส่วนตัวแล้วข้าไม่เห็นว่ามันจะเกินไปเลยสักนิด”
ผู้คนที่อยู่รอบข้างเริ่มรู้สึกว่าสิ่งนี้ก็ฟังดูมีเหตุผล
เหลียนชิงโจวยังกล่าวอีกว่า “ได้ยินมาว่าองค์หญิงไร้ที่พักพิงอาศัย ทั้งยังถูกทำร้ายจนเสียโฉม ท่านแทบจะหนาวจนแข็งตายในหิมะ”
แขกที่มาร่วมงานตกใจ “มีเรื่องแบบนี้จริงๆ รึ เดิมทีองค์หญิงนั้นโง่เขลา นี่ยังจะกล้าขับไล่และหมายชีวิตด้วยหรือ”
เหลียนชิงโจวทอดถอนใจก่อนจะกล่าวว่า “แม้ว่าจะเป็นอดีตองค์หญิง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นองค์หญิงอยู่ดี แม่ทัพฉินปฏิบัติอย่างเย็นชาเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะอับจนหนทางท่านจะตีโพยตีพายแบบนี้หรือ แม่ทัพฉินมีแต่จะลำเอียงไปทางนายหญิงน้อย ข้าไม่เห็นว่านางจะน่าสงสารตรงไหน”
ผู้คนที่อยู่รอบข้างเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ใช่ๆๆ องค์หญิงน่าสงสารยิ่งกว่า”
“ข้ายังได้ยินมาอีกว่า—” เหลียนชิงโจวหยุดนิดหนึ่งก่อนจะอมยิ้มเล็กน้อย ดูสุภาพและสง่างาม
คนที่อยู่รอบๆ ต่างเงี่ยหูรอ
ใครบางคนถามขึ้นมาว่า “ได้ยินอะไรมาอีกล่ะ”
เหลียนชิงโจวกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “มีคนใจดีพาองค์หญิงไปส่งที่โรงยา หมอตรวจอาการแล้วจึงพบว่าองค์หญิงกำลัง… ทรงพระครรภ์”
ผู้คนต่างส่งเสียงอื้ออึง “อา… เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน ทรงพระครรภ์อยู่แท้ๆ แต่กลับต้องร่อนเรอยู่ข้างนอก นี่มันจงใจชัดๆ!”
คอมเม้นต์