ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 369 ความจริงในวัยเยาว์

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 369 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“เพราะท่าน ทุกอย่างในโรงเรียนไท่จึงเป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับข้า และก็เป็นเพราะท่าน ข้าจึงได้เจอท่านแม่ทัพอยู่บ่อยครั้งในตอนนั้น”

เมื่อกล่าวถึงฉินหรูเหลียง ใบหน้าของหลิ่วเหมยอู่ก็ปรากฏรอยยิ้มที่นุ่มนวลก่อนจะกลายเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่นและเต็มไปด้วยความอิจฉา “ในตอนนั้นเขาปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างดี ไปส่งท่านที่โรงเรียนทุกวัน เย็นชากับคนอื่น แต่ยิ้มให้ท่านเพียงผู้เดียว ทั้งยังปีนต้นแอปริคอตและเด็ดลูกแอปริคอตที่ยอดบนสุดมาให้ท่านเสวย”

“เป็นเพราะท่าน ข้าจึงได้สัมผัสกับความดีของเขา ไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ข้าอิจฉาจริงๆ” หลิ่วเหมยอู่จมดิ่งอยู่ในภาพวันวาน “อิจฉาและริษยา”

“แต่ความริษยาเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากจริงๆ มันหยั่งรากลึกอยู่ในใจของข้าและเติบโตขึ้นทุกวัน ทำให้ข้าเพิกเฉยไม่ได้ ทำให้ข้าเกิดความคิดอื่นๆ… ข้าอยากให้เขาปฏิบัติต่อข้าอย่างดีเหมือนท่าน”

หลิ่วเหมยอู่มองเฉินเสียนด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความสำนึกผิด นางกล่าวว่า “ท่านเป็นองค์หญิง ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือ แต่ข้าไม่ใช่ สิ่งเดียวที่ข้าต้องการคือความอบอุ่นและการปกป้องที่แสนจะเรียบง่าย

ข้าคิดว่า ท่านก็แค่เสียคนที่ดีกับท่านไปแค่คนเดียว ยังมีคนอีกมากมายที่ปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างดี ทว่าสำหรับข้า ข้าต้องการเพียงแค่คนคนเดียวที่ดีกับข้า เท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว”

ดวงตาภายใต้คิ้วคมของฉินหรูเหลียงดูประหนึ่งดวงดาวที่หนาวเหน็บ เขาขบริมฝีปากแน่น แม้แต่ลมหายใจก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง

สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความไม่อยากเชื่อ

หลิ่วเหมยอู่กล่าวว่า “ดังนั้นข้าจึงเริ่มคิดหาวิธีสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นระหว่างท่านกับท่านแม่ทัพ โชคดีที่ช่วงหนึ่งท่านถูกควบคุมให้อยู่ในวังอย่างเข้มงวด ข้าจึงมักจะอาศัยช่วงนั้นอ้างชื่อของท่านให้ท่านแม่ทัพไปพบกันที่สวนแอปริคอต”

“ในตอนแรกท่านแม่ทัพจะผิดหวังเมื่อได้เห็นข้า ยิ่งท่านผิดนัดอย่างไม่มีเหตุผลเขาก็จะยิ่งผิดหวังมากขึ้น ต่อมาเมื่อเป็นเช่นนั้นบ่อยขึ้น เมื่อผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านแม่ทัพก็ค่อยๆ ชินกับมัน”

หลิ่วเหมยอู่มีสีหน้าพึงพอใจ “ในที่สุดท่านแม่ทัพก็ยอมปีนขึ้นไปเก็บแอปริคอตมาให้ข้ากิน เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาก็ค่อยๆ ลืมท่าน

ในช่วงเวลานั้น การได้อยู่กับท่านแม่ทัพเพียงลำพังบ่อยๆ ทำให้ข้ายิ่งรู้สึกว่า ข้ากับเขาอยู่ในโลกใบเดียวกัน นั่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของข้า”

“แต่ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่คิดจะไปหาท่าน ท่านก็มักจะอยากไปหาเขา ดังนั้นข้าจึงคิดหาข้ออ้างครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ท่านละทิ้งความคิดที่จะไปหาเขา ท่านไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงอยากทำตัวห่างเหินจากท่าน และเพราะทุกๆ วันที่ท่านเป็นคนนัดเขาก่อนแต่กลับไม่ยอมไปพบเขา เขาจึงผิดหวัง”

หลิ่วเหมยอู่กล่าวว่า “ท่านรู้ไหมว่าคนอย่างท่านแม่ทัพที่ดูภายนอกเหมือนไม่มีอะไรเลย แต่ความจริงภายในใจเขามักจะรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงแค่ลูกชายของขุนนางธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ท่านคือองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ซึ่งเป็นที่รักยิ่ง และเขายังกังวลเกี่ยวกับผลได้ผลเสียของตนเอง”

“ทุกครั้งที่ข้านัดเขาออกมาในนามของท่าน ทุกครั้งที่เขาเห็นว่านั่นคือข้า ท่านแม่ทัพจะคิดว่าท่านไม่ต้องการอยู่กับเขา ท่านจึงส่งให้ข้าไปแทนอย่างขอไปที ดังนั้นท่านแม่ทัพจึงทำในสิ่งที่ท่านต้องการโดยการอยู่ด้วยกันกับข้าในภายหลัง”

“แต่ท่านรู้หรือไม่ ข้าต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากจึงจะค่อยๆ เข้าไปอยู่หัวใจของเขาได้”

เฉินเสียนจำสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายในอดีตขึ้นมาได้ เธอจึงถามไปว่า “เกิดอะไรขึ้นตอนที่ข้ากับเขาทะเลาะกันอย่างรุนแรงคราวนั้น”

“คราวนั้น…” หลิ่วเหมยอู่กล่าว “ท่านพบว่าข้าแอบเขียนจดหมายนัดท่านแม่ทัพให้ไปเจอกันที่สวนแอปริคอต และท่านก็พบว่าข้าพยายามใช่เล่ห์เหลี่ยมเพื่อทำลายมิตรภาพระหว่างท่านกับท่านแม่ทัพ จากนั้นท่านก็ไม่ได้คบหากับข้าอีก แต่คราวนั้นท่านบอกว่าข้าขโมยหยกของท่านไปและต้องการจะค้นตัวข้า”

หลิ่วเหมยอู่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าดีใจมาก ที่ในที่สุดท่านแม่ทัพก็ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อปกป้องข้า ในที่สุดเขาก็ไม่ชินกับท่าทีที่เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจของท่าน”

“ต่อมาแทนที่จะค้นหาที่ตัวของข้า เราก็ไปค้นหารอบๆ โรงเรียน ไปที่ https://th.booktrk.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน!

หลังจากนั้นเขาก็พาหลิ่วเหมยอู่จากไป นี่คือสิ่งที่เฉินเสียนรู้

ยังไม่ทันที่เฉินเสียนจะถามอะไร หลิ่วเหมยอู่ก็พูดออกมาเองว่า “จริงๆ แล้วหยกนั่นข้าเป็นคนเอามาเอง เพียงแต่นั่นเป็นสิ่งที่องค์หญิงมักสวมติดตัว แม้ว่าข้าจะได้มา แต่ก็เก็บมันไว้ไม่ได้ ข้าก็เพียงแค่ทิ้งมันไว้ที่ต้นหลิว รอจนกระทั่งทุกคนไปพบ”

เฉินเสียนเลิกคิ้ว “เจ้าพูดได้ชัดเจนดีจริงๆ”

“ท่านเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป เพราะท่านจะต้องมาเอาคืนข้าแน่ๆ เมื่อท่านแน่ใจว่าข้าทำลายมิตรภาพของพวกท่าน”

“ข้าเองก็ดีใจที่ท่านรังแกข้า เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านแม่ทัพจะยิ่งเกลียดท่าน

ท่านเป็นองค์หญิงที่มีผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ข้าโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่ง มีเพียงท่านแม่ทัพเท่านั้นที่ปกป้องข้า ดังนั้นทุกๆ ครั้งเขาจะเห็นว่าท่านรังแกข้า กลั่นแกล้งข้า”

“ความจริงบางครั้งข้าก็ตั้งใจปะทะกับท่าน ตั้งใจให้ท่านรังแก หลังจากนั้นพวกท่านก็ค่อยๆ ห่างกันไป แต่เขาก็ยังคงใช้เวลานานเช่นเดิมกว่าจะลืมท่านได้หมดหัวใจ”

ทว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉินหรูเหลียงก็ไม่เคยยิ้มอย่างสดใสเหมือนตอนที่ยังเยาว์วัยอีกเลย

ตอนนี้ความจริงถูกเปิดเผยจนหมดแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าฉินหรูเหลียงจะได้ยินชัดหรือไม่

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง ในตอนนั้นทุกคนยังเด็กและไม่มีประสบการณ์ แต่หลิ่วเหมยอู่ผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสากลับเริ่มวางแผนไว้ตั้งแต่แรก

ในเวลานั้นหลิ่วเหมยอู่รู้ดีว่าสิ่งที่ตนเองต้องการคืออะไร

และฉินหรูเหลียงก็ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ โผงผาง มุทะลุ และมักจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่เขาเห็นเท่านั้น

เขาเชื่อในความไร้เดียงสาและความอ่อนแอของหลิ่วเหมยอู่ เชื่อในความพาลและการข่มเหงรังแกของเฉินเสียน เขาไม่เคยเชื่อคำอธิบายของเฉินเสียนเลยแม้แต่คำเดียว นางบอกว่าไม่ได้ทำ แต่เขาไม่เชื่อ

เขาคิดมาตลอดว่าเขากับหลิ่วเหมยอู่คือคนที่ได้รับบาดเจ็บ นานวันเข้าความเฉยเมยและความเหินห่างก็ทำให้เขาไม่ยอมเข้าใกล้ด้วยท่าทีที่ต่ำต้อย

เขาคิดมาเสมอว่าเฉินเสียนเป็นฝ่ายละทิ้งมิตรภาพของพวกเขาก่อน

เรื่องในยามเยาว์วัยไม่มีอะไรมากไปกว่าคนหนึ่งถูก คนหนึ่งผิด… บางคนเสียใจมากกว่า บางคนเสียใจน้อยกว่า

บางครั้งเรื่องในอดีตเหล่านั้นก็ถูกโยนทิ้งให้ปลิวไปตามสายลม แต่กลับมีบางคนเก็บมันไว้ในใจอย่างไม่สบายใจมานานหลายปี

ในตอนนั้นฉินหรูเหลียงตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโง่ที่ถูกคนอื่นปั่นหัวเล่น

เป็นเขาที่ทำร้ายคนที่เขาเคยชอบมากที่สุด ทว่ากลับคิดมาตลอดว่าตนเองคือคนที่ถูกหักหลัง

ต่อมาเขาไปรบที่ชายแดนอันห่างไกลเพื่อฝึกฝนตนเอง

เขาเข้าร่วมกับกษัตริย์ไหวหนานไปตามสถานการณ์และต่อสู้กับเย่เหลียง บุกน้ำลุยไฟเพื่อแลกกับชื่อเสียง

ตอนที่ราชวงศ์ล่มสลายเขาไม่ได้กลับไป ตอนที่เฉินเสียนโดดเดี่ยวและสิ้นไร้ความช่วยเหลือมากที่สุดเขาไม่ได้กลับไป…

หลังจากแยกจากกันมาหลายปี ในที่สุดเขาก็ได้ก้มมองดูเธอจากในสถานะที่สูงกว่า เฝ้ามองดูเธอตกจากก้อนเมฆลงไปสู่โคลนตม เฝ้ามองครอบครัวของเธอแตกสลาย และมองดูเธอที่ดิ้นรนอยู่ในกองเลือด

ระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วนอกจากความหนาวเหน็บและความแปลกหน้าต่อกัน ไม่มีอะไรอื่นเลย…

จนถึงตอนนี้ฉินหรูเหลียงยังจำได้ว่าในตอนนั้น ในดวงตาของเฉินเสียนสะท้อนไปด้วยสีเลือดที่ท่วมท้นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทว่าดวงตาคู่นั้นยังคงเปล่งประกายเมื่อมองมาที่เขา

เธอตะโกนเรียกเขา… หรูเหลียง

ทันใดนั้นหัวใจของฉินหรูเหลียงก็ปวดร้าวขึ้นมา

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด