ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 486 มาสะสางเรื่องที่ท่านกับข้ายังสะสางไม่เรียบร้อย

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 486 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บนเตาไฟยังต้มน้ำร้อนเอาไว้ ซึ่งอวี้เยี่ยนจะนำมาให้เฉินเสียนใช้ล้างหน้า นางกล่าวว่า “เพิ่งจะหยุดไปได้แค่สองวัน ลมกับหิมะก็พัดมาอีกแล้ว ดูทรงแล้วไม่รู้เลยนะเพคะว่าจะหยุดเมื่อไหร่”

เฉินเสียนหยิบหนังสือที่อยู่ข้างเตียงขึ้นมาและพูดว่า “เจ้ารีบกลับไปนอนเถอะ ตอนกลางคืนอากาศหนาว ห่มผ้าให้มิดชิดหน่อยล่ะ”

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวี้เยี่ยนจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นหากมีอะไรองค์หญิงก็เรียกบ่าวนะเพคะ”

เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเจ้าทำไม ข้าแก้ปัญหาเองก็ได้ จะได้ไม่ต้องทำให้ทั้งข้าและเจ้าหนาวตาย”

อวี้เยี่ยนแลบลิ้นนิดหนึ่งและกล่าวว่า “เช่นนั้นบ่าวกลับห้องก่อนนะเพคะ”

ที่นี่ไม่ได้สะดวกเท่ากับตอนอยู่ที่สวนสระวสันตฤดูหรือพระตำหนักไท่เหอ ตอนนั้นอวี้เยี่ยนพักอยู่ติดๆ กันและพร้อมจะมาปรนนิบัติทันทีที่เรียกหา ทว่าตอนนี้อวี้เยี่ยนอาศัยอยู่ด้านนอกลาน ถ้าอยากเรียกนางเธอจะต้องออกไปเรียก

ดังนั้นเฉินเสียนจะไม่ไปรบกวนอวี้เยี่ยนถ้าเธอจัดการเองได้ นอกจากนี้เธอก็ไม่ใช่คนที่มักจะตื่นขึ้นมากลางดึกอยู่แล้ว

อากาศหนาวมากหลังจากพ้นช่วงหัวค่ำ ถ้าองครักษ์ซึ่งถูกจัดมาเฝ้ายามอยู่ที่เชิงเขาต้องปฏิบัติหน้าที่ตลอดทั้งคืน จนถึงพรุ่งนี้พวกเขาจะต้องกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งเป็นแน่

ทว่าในคืนวันส่งท้ายปีเก่าเช่นนี้จะแอบอู้งานก็ย่อมได้ พวกเขาจึงแอบไปอู้อยู่ในที่พักชั่วคราวซึ่งสร้างไว้ตรงเชิงเขานานแล้ว

มีใครคนหนึ่งซึ่งค่อยๆ ถอยห่างออกมาจากแสงไฟสลัวในเมืองหลวง อาศัยความมืดของยามราตรีเดินฝ่าลมและหิมะขึ้นไปบนภูเขาเพียงลำพัง

เงาดำนั้นกลมกลืนกับความมืดในยามค่ำคืนและพายุหิมะที่โปรยปรายลงมา และไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ

เฉินเสียนเอนหลังอยู่บนเตียงและถือหนังสือไว้ในมือ นานแล้วที่เธอไม่ได้พลิกหน้ากระดาษเช่นนี้

เธอหยิบตุ๊กตาหุ่นกระบอกสองตัวที่วางอยู่บนหัวเตียงขึ้นมา วางมันไว้ในมือและเฝ้ามองอย่างพินิจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหน้ากากที่แขวนอยู่บนชั้นไม้โดยบังเอิญ ซึ่งนั่นทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์

เมื่ออยู่ที่นี่เธอไม่จำเป็นต้องคอยเลี่ยงที่จะวางของเหล่านี้ไว้ในที่ที่เธอมองเห็นได้ และเธอก็หวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาได้ตามที่ใจปรารถนา หวนคิดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของเหล่านี้ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

เฉินเสียนยิ้มให้ตัวเองและวางหนังสือลงข้างๆ จากนั้นจึงวางหุ่นกระบอกกลับไปไว้ที่ตำแหน่งเดิมอย่างเบามือ

ในเวลากลางวันก็ยังพอว่า เธอไปที่พระอุโบสถเพื่อสวดมนต์ได้ ไปหาตำราอ่านที่หอไตรก็ได้ หรือจะถักผ้าพันคอก็ยังได้ ขอเพียงแค่มีอะไรให้ทำ มีอวี้เยี่ยนอยู่ข้างกาย มีพระและสามเณรผ่านไปผ่านมา เท่านี้เธอก็ไม่คิดอะไรมากแล้ว

แต่ตอนนี้เมื่ออยู่คนเดียว พอมองเห็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ เธอก็อดคิดถึงสิ่งต่างๆ ขึ้นมาไม่ได้

เฉินเสียนจ้องมองหน้ากากซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายอยู่ครู่หนึ่ง ฟังเสียงแว่วๆ ของหิมะที่ตกลงมากระทบลายฉลุบนหน้าต่าง จากนั้นจึงขยับร่างกายและเตรียมจะล้มตัวลงนอน

แต่ยังไม่ทันจะนอนลงไปก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เป็นเสียงเคาะที่ฟังดูเรียบเรื่อยซึ่งดังขึ้นมาสามครั้ง

เฉินเสียนรู้สึกประหลาดใจและถามไปว่า “ใช่อวี้เยี่ยนหรือเปล่า”

ไม่มีการเคลื่อนไหวจากภายนอก

เธอเลิกผ้าห่มและลุกออกจากเตียงเดินไปที่ประตู ดึงสลักประตูและเปิดประตูออกโดยที่ยังไม่ทันถามให้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้

บางทีอาจเป็นเพราะเสียงเคาะที่เงียบลงในเวลาอันสั้นนั้น ดูเหมือนกับลักษณะของใครบางคน

เฉินเสียนชะงักไปทันทีที่เปิดประตูห้อง

แสงสีเหลืองซีดส่องสว่างอยู่ที่ข้างประตูท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดภายนอก ส่องให้เธอมองเห็นตรงหน้าประตูซึ่งมีชายรูปงามในชุดสีดำยืนสงบอยู่

เส้นผมสีดำขลับตกกระทบลงมาบนบ่า บนเรือนผมดูเหมือนจะมีเกล็ดน้ำแข็งปะปนอยู่ด้วย สีผิวของเขาขาวซีดราวกับถูกแช่แข็ง เสื้อผ้าสีดำที่สวมใส่มีหิมะปกคลุมอยู่มิใช่น้อย และหิมะก็ย้อมผมของเขาจนเป็นสีขาว

ไม่รู้ว่าเขาเดินฝ่าพายุหิมะมานานแค่ไหน ทั่วทั้งกายจึงเต็มไปด้วยไอเย็น

ไปที่ https://th.readeraz.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! ทันทีที่เขาเห็นเฉินเสียน ภายในแววตาของเขาก็สลักเธอไว้ทันที เขายิ้มอย่างอบอุ่นและกล่าวว่า “ดีจริงที่ข้ายังมาทันก่อนท่านจะนอน”

เฉินเสียนจ้องเขาตาค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าซูเจ๋อจะมาในเวลานี้ หรือว่าเวลาที่กำลังนึกถึงหรือคิดถึงเขา เขาจะปรากฏตัวขึ้นมาได้ทุกครั้งอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น?

“จะไม่เชิญข้าเข้าไปหน่อยหรือ” ซูเจ๋อก้าวเท้าเข้าไปในห้องของเธอหนึ่งก้าว

การเข้ามาใกล้อย่างกะทันหันทำให้เฉินเสียนต้องก้าวถอยหลังไปอย่างช่วยไม่ได้

ซูเจ๋อทิ้งระยะห่างและหันกลับไปปิดประตูราวกับว่าที่นี่เป็นห้องของตัวเอง

เขามองอารามแห่งนี้นิดหนึ่งและถามว่า “ชินกับการอยู่ที่นี่หรือยัง”

เฉินเสียนได้สติกลับมาและหันกลับไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมตัวไว้ เอ่ยโดยไม่มองเขาว่า “ท่านมาทำไม”

“คืนนี้มีเวลาว่าง จึงมาสะสางเรื่องที่ท่านกับข้ายังสะสางไม่เรียบร้อย”

เฉินเสียนใจหายวูบ เมื่อถึงเวลาที่ควรเผชิญหน้า ถึงอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน

มีหลายสิ่งที่ขวางอยู่ระหว่างพวกเขา และทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าน่องน้อย

เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยเบาๆ ว่า “ก็ได้ คืนนี้ข้าพอจะมีเวลาเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นก็ถือโอกาสคุยกันให้กระจ่างเสียเลย ท่านจะได้ไม่มาเสียเที่ยว แต่ข้าคงไม่มีชาร้อนๆ มาต้อนรับท่าน”

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ดื่ม”

เฉินเสียนเหลือบมองเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่ามีหิมะตกลงมาบนเสื้อผ้าและเส้นผมของเขา ความเจ็บปวดก็ฉายวาบขึ้นมาในแววตาของเธอ เธอกล่าวว่า “สะบัดหิมะบนเสื้อผ้าของท่านเสียก่อนเถิด อีกครู่ถ้าละลายเข้าจะยิ่งหนาว”

คืนนี้หิมะตกหนักและอากาศเย็นจัด ลมหนาวโหมกระหน่ำ เขาฝ่าพายุหิมะมาทั้งที่ชุดสีดำตัวนี้ดูไม่มีความหนาเลยสักนิด นี่เขาไม่รู้จักใส่ชุดเพิ่มหรืออย่างไร

ซูเจ๋อปัดชุดบริเวณหัวไหล่อย่างไม่ใส่ใจและกล่าวว่า “อากาศหนาวเช่นนี้ทำให้ท่านหนาวหรือไม่ ท่านไปนอนฟังข้าบนเตียงก็ได้”

เฉินเสียนกล่าวว่า “ไม่เป็นไร คุยทั้งอย่างนี้นั่นแหละ”

ซูเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง

เฉินเสียนตกใจเล็กน้อยเมื่อเงยหน้ามองเขาและเห็นว่าเขากำลังมองไปที่หุ่นกระบอกบนหัวเตียงรวมทั้งหน้ากากที่แขวนอยู่บนชั้นไม้

เฉินเสียนไม่อยากให้ซูเจ๋อรู้ว่าในช่วงหลายวันมานี้เธออาศัยสิ่งของเหล่านี้เพื่อระลึกถึงเขา ดังนั้นเธอจึงเข้าไปยืนบังไว้และกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน เช่นนั้นข้าจะถาม ส่วนท่านก็ตอบมา”

“ตกลง”

ซูเจ๋อถอนสายตากลับมามองเฉินเสียนอีกครั้ง ตรึงเธอเอาไว้ด้วยสายตาของเขา

เธอเงียบไปนานและพบว่าเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่ต้องเป็นฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน

ในที่สุดเฉินเสียนก็สงบใจลงได้ ความคิดทั้งหมดที่เธอคอยระงับไว้ตลอดมาปรากฏขึ้นมาในใจ

เฉินเสียนเลือกที่จะถามคำถามที่สำคัญที่สุดก่อน เธอเงยหน้ามองซูเจ๋ออย่างมั่นคงและเอ่ยด้วยเสียงแหบต่ำว่า “เจ้าน่องน้อย เป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านใช่ไหม”

ไม่ว่าในใจของเธอจะยืนยันแน่ชัดหรือไม่ ถึงอย่างไรเธอก็อยากฟังคำตอบของซูเจ๋อกับหูของเธอเอง

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ซูเจ๋อหลุบตามองเธอและตอบว่า “เขาเป็นลูกของข้ากับท่าน”

ดวงตาของเฉินเสียนสั่นเทา

“แล้วเหตุใดจึงต้องปิดบังข้า ไม่ยอมรับเขา”

“เพราะยังไม่ถึงเวลา”

“ยังไม่ถึงเวลา…” ทันใดนั้นเฉินเสียนก็หัวเราะเยาะ น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตา “ตอนที่ออกไปจากเมืองหลวง ข้ากำชับอวี้เยี่ยนกับเอ้อร์เหนียงว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นให้พาเจ้าน่องน้อยไปหาเหลียนชิงโจว เป็นท่านหรือที่บอกไม่ให้เอ้อร์เหนียงไปหาเขา”

ซูเจ๋อขมวดคิ้ว

เฉินเสียนถามว่า “เป็นท่านที่ปล่อยให้คนจากในวังมาพาเจ้าน่องน้อยเข้าไปในวัง? เป็นท่านที่ส่งเหลียนชิงโจวไปไกลจากเมืองหลวง เช่นนั้นใช่หรือไม่”

“ใช่”

เฉินเสียนพ่นลมหายใจออกมา เธอจับโต๊ะเอาไว้และออกแรงจนนิ้วมือกลายเป็นสีขาว “ทำไม”

“เพราะเจ้าน่องน้อยเพียงคนเดียวอาจจะทำให้เกิดผลกระทบได้มากมาย”

“ท่านกลัวถ้าเหลียนชิงโจวยื่นมือเข้ามาแทรกแซง เรื่องอาจจะถูกเปิดโปง ท่านกลัวว่าเจ้าน่องน้อยจะทำให้เหลียนชิงโจวมีปัญหา ซึ่งแบบนี้จะไม่มีใครคอยวิ่งเต้นแทนท่าน ไม่มีใครเดินเรื่องเตรียมการให้ท่าน เหลียนชิงโจวยังมีประโยชน์ต่อท่าน แต่เจ้าน่องน้อยไม่มี ดังนั้นท่านจึงเลือกที่จะสละเขาทิ้ง”

ขณะที่ซูเจ๋อก้าวเข้ามาใกล้เฉินเสียน เฉินเสียนก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ซูเจ๋อ อย่าเข้ามา อย่าเข้ามาใกล้ข้า ยืนอยู่ตรงนั้นและพูดกันให้ชัดเจน”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด