ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 123 อาการกำเริบ

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 123 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “อาจารย์โปรดวางใจ ทั้งแม่และลูกปลอดภัยขอรับ องค์หญิงให้กำเนิดโอรส เพียงแต่พระองค์ทรงอ่อนแรงและมีอาการป่วยหลังมีพระประสูติการขอรับ”

“เป็นโอรส…” ซูเจ๋อทวนคำของเหลียนชิงโจว หางตากระตุกราวกับมีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่ภายในใจ

สภาพร่างกายของเฉินเสียนตอนนี้เป็นยิ่งกว่าอาการป่วย ตลอดสองวันมานี้เธอมีอาการวิงเวียนและง่วงงุน ร่างกายรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ

อวี้เยี่ยนคอยดูแลอยู่ตลอดจนไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า กว่าจะเคี่ยวเข็ญให้เฉินเสียนกลืนยาลงไปได้ มื้อหนึ่งก็ต้องต้มยาสามถึงสี่ครั้ง และไม่ว่าจะตอนไหนนางก็ไม่ยอมให้แม่บ้านจ้าวเข้ามาปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ เลย

ไม่นานหลังจากนั้นเหลียนชิงโจวก็ส่งแม่นมมาหนึ่งคน

แม่นมมีร่างกายแข็งแรงและมีรูปร่างอวบอิ่ม นางดูเป็นคนช่างระมัดระวังและพิถีพิถัน จะเดินเหินทีฝีเท้าก็แผ่วเบาจนแทบไม่มีเสียงใดๆ

ฉินหรูเหลียงไม่ว่าอะไรและยอมให้เหลียนชิงโจวส่งแม่นมให้มาอาศัยอยู่ในสวนสระวสันตฤดู

นอกจากการให้นมทารก แม่นมยังมีหน้าที่คอยดูแลปกป้องเฉินเสียนผู้เป็นแม่อีกด้วย เพราะนางคือแม่นมที่ซูเจ๋อเลือกมาเองกับมือเพื่อเฉินเสียนกับลูก

ฉินหรูเหลียงสั่งพ่อบ้านว่าถ้าเหลียนชิงโจวต้องการไปเยี่ยมเฉินเสียนกับลูกที่สวนสระวสันตฤดู ก็ให้พาเขาไป

แต่คราวนี้เป็นพ่อบ้านที่ลังเล “ท่านแม่ทัพ องค์หญิงเพิ่งมีพระประสูติการ บ่าวเกรงว่าคงจะไม่ดีนักหากให้บุคคลภายนอกเข้าไปในเรือนเวลานี้”

ฉินหรูเหลียงเอามือไพล่หลังและกล่าวเสียงต่ำว่า “นางอาการไม่ดี และเหลียนชิงโจวก็เป็นสหายเพียงคนเดียวของนาง ถ้าเขาไปเยี่ยม อาการของนางก็น่าจะหายเร็วขึ้นไม่ใช่หรือ”

คราวนี้เฉินเสียนช่วยชีวิตหลิ่วเหมยอู่ไว้ และเขาเป็นหนี้เธอ

อีกอย่าง การยอมให้บิดาของเด็กมาดูบุตรของตนก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เพียงแต่ภายในใจของเขากลับรู้สึกขมขื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่เหลียนชิงโจวจะมาเยี่ยมเยียนในฐานะสหาย

พ่อบ้านเข้าใจแจ่มแจ้ง ในวันธรรมดาๆ องค์หญิงมักจะวางตัวสบายๆ ถ้ามีสหายมาเยี่ยมนางจะต้องดีใจแน่ๆ และบางทีก็อาจจะหายเร็วขึ้น

กำลังวังชาของเฉินเสียนถดถอย บรรยากาศภายในจวนเต็มไปด้วยความหดหู่

พ่อบ้านไปที่หน้าประตูและเชิญเหลียนชิงโจวเข้าไปในจวนพลางกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพกำชับว่าเมื่อคุณชายเหลียนมา ให้ไปเยี่ยมองค์หญิงได้ขอรับ”

เหลียนชิงโจวชะงักไปนิดหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ฉินหรูเหลียงเคยขัดขวางพวกเขาไม่ให้พบหน้ากัน แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น?

แต่ในเมื่อเข้าไปในเรือนเพื่อดูความเป็นไปที่เกิดขึ้นได้ แน่นอนว่าเหลียนชิงโจวจะไป

ปรากฏว่าอาการเจ็บป่วยของเฉินเสียนรุนแรงเกินกว่าที่คิดไว้ เธอนอนอยู่บนเตียงโดยไม่ตื่นขึ้นมาเลย

ใบหน้าของอวี้เยี่ยนซีดเซียว นัยน์ตาของนางแดงก่ำและกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นเหลียนชิงโจวมาหา

ตอนนี้แม่นมกำลังอุ้มทารกและให้นมอยู่

เหลียนชิงโจวนั่งอยู่ในห้องครู่หนึ่ง เขาทุกข์ใจมากและถามไปว่า “องค์หญิงเป็นถึงขนาดนี้ ทำไมเจ้าจึงไม่บอกข้า”

“องค์หญิงไม่ให้บอกเจ้าค่ะ” อวี้เยี่ยนตอบ “ตั้งแต่มีพระประสูติการ อาการป่วยขององค์หญิงก็ทรุดๆ ทรงๆ มาตลอด หมอมาตรวจดูหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น”

ถ้าเหลียนชิงโจวไม่มาวันนี้เขาก็คงจะไม่รู้สถานการณ์แท้จริงที่เกิดขึ้น

หลังจากแม่นมให้นมทารกเสร็จแล้ว นางก็วางเด็กกลับไปไว้ที่ข้างกายเฉินเสียน

เหลียนชิงโจวรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จากนั้นแม่นมก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าทำไม ต่อให้หิวอย่างไรก็ไม่ร้อง”

ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้ดูดนมอย่างกระหายขณะที่ให้นม แม่นมคงไม่รู้ว่าเขาหิว

สองวันที่ผ่านมานี้ทารกดื่มนมจากแม่นมที่หามาชั่วคราว ถ้าเด็กไม่หิวกระหายก็คงไม่สังเกตเห็นปัญหานี้

ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ เหลียนชิงโจวก็กระจ่างขึ้นมาทันที

ที่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติก็เพราะว่าเขาไม่ได้ยินเสียงเด็กร้องเลยนั่นเอง

อวี้เยี่ยนเอ่ยว่า “บ่าวไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่คลอดออกมาเขาก็ไม่เคยร้องเลยจนนิดเดียว หมอตำแยยกแขนก็แล้ว ยกขาก็แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ร้อง”

อวี้เยี่ยนเองก็กังวลเช่นกัน เป็นไปได้ไหมว่าเด็กจะเป็นใบ้

นางเพียงแค่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไป เด็กยังเล็กมาก แม้แต่หมอก็ยังวินิจฉัยไม่ได้

แม่นมเองก็เคยลองหาวิธีเพื่อทำให้เด็กร้องออกมา นางบอกว่ายิ่งร้องดังก็จะยิ่งมีพลัง จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่แข็งแรงและมีสุขภาพดี

แต่พอแม่นมลองทำ เด็กก็ยังไม่ร้อง

แม้กระทั่งจงใจปลุกเขาตอนที่กำลังหลับ เขาก็ไม่งอแงเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่เปิดเปลือกตาขึ้นมาครึ่งหนึ่งจากนั้นก็หลับต่อ

แม่นมจึงได้แต่บอกว่า “ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว คงต้องรอดูกันต่อไป”

เหลียนชิงโจวอยู่ต่ออีกไม่นานก็ลุกขึ้นและจากไป

แม่นมกับอวี้เยี่ยนทำความรู้จักซึ่งกันและกัน

แม่นมเอ่ยว่า “ข้าแซ่ซุย ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าซุยเอ้อร์เหนียงก็ได้”

อวี้เยี่ยนพยักหน้า “ข้าชื่ออวี้เยี่ยน เป็นสาวใช้ข้างกายองค์หญิง”

“ได้ยินคุณชายเหลียนพูดถึงบ้างแล้วก่อนจะมาที่นี่ ต่อจากนี้ข้าจะมาช่วยเจ้าดูแลองค์หญิงกับโอรสและช่วยดูแลกันเองด้วย”

อวี้เยี่ยนรู้สึกซาบซึ้ง

แม่นมซุยมาได้ถูกเวลาเพราะที่สวนสระวสันตฤดูกำลังขาดคนอยู่พอดี ตอนนี้อวี้เยี่ยนไม่คิดจะเชื่อใจใครในจวนแม่ทัพอีกแล้ว

แม่บ้านจ้าวอยากจะช่วยแต่อวี้เยี่ยนไม่ยอม ดังนั้นนางจึงได้แต่ทำงานจิปาถะภายในลานไปเท่านั้น

แม่บ้านจ้าวรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ครึ่งหนึ่งเกิดจากความประมาทเลินเล่อและความกระตือรือร้นที่จะจับคู่ของนาง ตอนนี้เมื่อมีแม่นมเข้ามาอยู่ในลานแห่งนี้อีกคน นางจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ

แม่นมซุยพูดกับอวี้เยี่ยนว่า “ตลอดสองวันมานี้เจ้าคงเหนื่อยทั้งกายทั้งใจ การดูแลองค์หญิงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ เจ้าไปพักผ่อนเสียหน่อยดีกว่า”

หลังจากอวี้เยี่ยนอธิบายเกี่ยวกับการดูแลเฉินเสียนให้แม่นมซุยฟังอย่างละเอียด นางก็ไปพักผ่อน

อวี้เยี่ยนเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดี ต่อไปนี้นางจะดูแลองค์หญิงได้อย่างไร

หลังจากที่เหลียนชิงโจวออกไปจากจวนแม่ทัพเขาก็ตรงไปหาซูเจ๋อทันที จากนั้นจึงเล่าเรื่องของเฉินเสียนให้เขาฟัง

ทั้งภายในและภายนอกสวนสระวสันตฤดูสงบเงียบเมื่อถึงช่วงหัวค่ำ

เสียงจักจั่นในช่วงคิมหันตฤดูหมดลงไปแล้ว หลังจากฝนตกหนักเมื่อสองวันก่อนอากาศก็เริ่มเข้าสู่สารทฤดู

ในพงหญ้าภายในรั้วมีเสียงจิ้งหรีดดังขึ้นเป็นครั้งคราว

อวี้เยี่ยนกลับไปนอนพักที่ห้องตั้งแต่ตอนกลางวัน จนกระทั่งค่ำแล้วก็ยังไม่ตื่น นางไม่ได้หลับเลยตลอดสองวันสองคืนที่ผ่านมา ดังนั้นจึงเป็นการยากที่นางจะตื่นขึ้นมาตอนนี้

มีตะเกียงน้ำมันสีเหลืองจุดอยู่กลางห้อง แม่นมซุยเป็นคนหยิบจับอะไรคล่องแคล่วและทำทุกอย่างอย่างเรียบร้อยและพิถีพิถัน เมื่อแม่บ้านจ้าวเห็นว่านางคอยดูแลเฉินเสียนอย่างดี นางจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ

เมื่อแม่นมซุยออกไปเทน้ำและเห็นว่าแม่บ้านจ้าวยังไม่ได้พักผ่อน นางจึงบอกว่า “แม่บ้านจ้าวกลับห้องไปนอนก่อนเถอะ ตรงนี้ข้าจะคอยดูให้เอง”

แม่บ้านจ้าวถามด้วยความเป็นห่วง “องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง”

“องค์หญิงบรรทมอยู่”

“ข้าขอเข้าไปดูพระองค์หน่อยได้ไหม”

แม่นมซุยกล่าวว่า “ข้าว่ารอให้องค์หญิงฟื้นก่อนแล้วค่อยคุยจะดีกว่า”

แม่บ้านจ้าวทำได้เพียงกลับไปนอนที่ห้องอย่างหดหู่

เมื่อถึงกลางดึกสงัด แม่นมซุยก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเคาะประตู นางก็เดินอย่างเงียบเชียบแล้วไปเปิดประตูให้

ซูเจ๋อสวมชุดดำทั้งตัวจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสีของยามค่ำคืน แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันส่องสว่างทำให้เห็นเรือนร่างของเขา และแสงนั้นก็เปล่งประกายอยู่ในดวงตาเรียวยาวคู่นั้น

ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเย็นสบายในฤดูใบไม้ร่วงและความชุ่มฉ่ำของหยาดน้ำค้าง

“นายท่าน” แม่นมซุยขยับไปยืนข้างๆ เพื่อหลีกทางให้เขาเข้ามา

ซูเจ๋อมองตรงไปในห้องและหยุดสายตาอยู่ที่ร่างซึ่งนอนอยู่บนเตียง

เฉินเสียนอ่อนแอมาก เส้นผมของเธอปัดป่ายอยู่บนหมอน แก้มตอบและดูขาวซีดผิดปกติ

เมื่อซูเจ๋อก้าวเข้าไปข้างใน แม่นมซุยจึงปิดประตู

เขาปัดชุดและทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างเตียงของเฉินเสียน มองเธออยู่นานก่อนจะเอื้อมมือและใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่แก้มของเธอ

หน้าผากของเธออุ่นแต่กลับมีเหงื่อเย็นๆ

อุณหภูมิร่างกายของเฉินเสียนลดลงบ้างแล้วแต่ยังมีไข้อยู่

ซูเจ๋อใช้นิ้วที่ขาวสะอาดของเขาเช็ดเหงื่อให้เธอ แววตาของเขามืดมิดและหยั่งลึกเหมือนคลื่นใต้น้ำที่โหมกระหน่ำ เขาถามเสียงต่ำว่า “ทำไมพระองค์ถึงเป็นแบบนี้”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด