ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 133 เขาเป็นคนลงกลอนปิดตายประตูบานนั้นเอง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 133 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

หลิ่วเหมยอู่พูดขึ้นทั้งน้ำตา : “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เหมยอู่จะให้คนใช้ไปเตรียมอาหารเช้ามาให้ท่านแม่ทัพใหม่”

ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่อยากกิน ประเดี๋ยวให้คนใช้เก็บกวาดด้วย เจ้ากลับสวนดอกพุดตานเถอะ”

พูดจบก็ไม่ได้หันมามองนางแม้แต่นิด เขาเดินออกจากประตู แล้วไปเข้าเฝ้ายามเช้าทันที

หลิ่วเหมยอู่มองตามแผ่นหลังของเขาที่ไม่ได้เหลียวกลับมาแม้แต่นิดเดียว ในใจนางรู้สึกทั้งเคืองทั้งเสียใจ

นางนึกว่านางจะยังสามารถหวนกลับไปครองรักกับฉินหรูเหลียงเหมือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ฉินหรูเหลียงพยายามหายาถอนพิษให้นางโดยไม่คำนึงถึงราคายาถอนพิษที่แพงมหาศาล นางสัมผัสได้ว่าฉินหรูเหลียงยังคงรักนางสุดหัวใจ

แต่มาวันนี้ ฉินหรูเหลียงเสียแขนข้างหนึ่งไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองกลับค่อยๆ ย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ เพียงเพราะแขนข้างเดียว

เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่หลิ่วเหมยอู่คาดการณ์ไว้

ฉินหรูเหลียงกลับจากการเข้าเฝ้ายามเช้า แต่กลับไม่ได้ไปหาหลิ่วเหมยอู่ที่สวนดอกพุดตานเป็นอันดับแรก

หลิ่วเหมยอู่ไปที่เรือนหลักเองอยู่หลายครั้ง แต่กลับถูกฉินหรูเหลียงบอกให้กลับไป : “เจ้ากลับไปเถิด ข้าขออยู่เงียบๆ คนเดียวสักพัก”

ฉินหรูเหลียงรู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์จิตใจตัวเขาเองได้ เขาไม่อยากจะเอาความรู้สึกผิดหวังและความโกรธเคืองมาลงกับคนรอบข้าง

ทั้งหมดนี้เขาเป็นคนสมัครใจและตัดสินใจทำทุกอย่างด้วยตัวเขาเอง เขาจะมาโทษหลิ่วเหมยอู่ไม่ได้

ลมยามค่ำคืนเริ่มพัดโบก ฉินหรูเหลียงยืนรับลมอยู่ริมทะเลสาบ

จู่ๆ ก็เดินไปถึงสวนสระวสันตฤดูอย่างไม่รู้ตัว

ในสวนสระวสันตฤดูจุดตะเกียงสว่างพริ้มพราย เขายืนอยู่นอกเรือน ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของอวี้เยี่ยนและเสียงที่ทั้งสงสัย เศร้าใจ หรือเสียงหัวเราะที่ไม่เหมือนเสียงหัวเราะของเฉินเสียนด้วย

ในเรือน แม่นมซุยกำลังให้นมเจ้าน่องน้อย

เฉินเสียนห้ามแม่นมซุยอย่าพึ่งให้นม เธอม้วนแขนเสื้อขึ้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อย่ามาห้ามข้า วันนี้ข้าจะให้เจ้าน่องน้อยร้องไห้เต็มเสียงสักครั้งให้ได้ ตั้งแต่คลอดออกมาจนถึงตอนนี้ไม่เคยร้องเลยสักแอะ จะเป็นใบ้หรือเปล่ารอจนครบขวบไม่ไหวแล้ว ข้าจะรู้ตอนนี้ให้ได้”

แม่นมซุยกับอวี้เยี่ยนรีบเข้ามาห้ามทันที อวี้เยี่ยนรีบพูดขึ้นว่า : “อย่าเพคะองค์หญิง เจ้าน่องน้อยเนื้อหนังยังบอบบาง เกิดได้แผลขึ้นมาจะทำยังไงเพคะ!”

แม่นมซุยเองก็เข้าไปช่วยพูดหว่านล้อม : “องค์หญิง ใต้เท้าบอกแล้วว่าอย่ารีบร้อน รอต่ออีกหน่อยเถอะเพคะ รอให้ครบขวบสองขวบไม่ไหว แต่ยังไงเดือนสองเดือนนี้ก็ต้องรอนะเพคะ เจ้าน่องน้อยเป็นเด็กดีขนาดนี้ เวลากินก็กิน เวลานอนก็นอน นอกเสียจากไม่ส่งเสียงร้อง อย่างอื่นก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่เพคะ”

เฉินเสียนเหมือนจะสู้แม่นมซุยและอวี้เยี่ยนไม่ไหว ทั้งคู่ปกป้องเจ้าน่องน้อยแน่นหนามาก

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “เจ้าน่องน้อยอายุยังไม่ทันจะครบครึ่งเดือน พวกเจ้าก็โอ๋ขนาดนี้แล้ว วันข้างหน้าไม่รู้จะตามใจจนเสียผู้เสียคนขนาดไหน เจ้าภาระตัวน้อย เด็กดี มาให้แม่ตีเสียดีๆ!”

อวี้เยี่ยนยังคงต่อต้านไม่ลดละ : “องค์หญิง เรื่องนี้จะโทษเจ้าน่องน้อยไม่ได้นะเพคะ! ที่เจ้าน่องน้อยไม่ยอมร้อง ไม่แน่อาจเป็นเพราะตอนคลอดเจอกับความลำบากเกินไป จึงตกใจขวัญหาย เจ้าน่องน้อยตัวเล็กขนาดนี้ จะไปทนองค์หญิงตีได้อย่างไรกันเพคะ!”

ฉินหรูเหลียงที่กำลังยืนอยู่นอกเรือน ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มุมกำแพงงอกกิ่งก้านยื่นออกมา อยู่เหนือศีรษะเขาพอดี

ใบไม้ที่เขียวชอุ่มเริ่มจะเหลือง ลมพัดเบาบาง ใบไม้บางใบก็พลัดหลุดจากต้น ร่วงหล่นอยู่บนบ่าของเขา

ฉินหรูเหลียงฟังแล้วรู้สึกตกใจ

เจ้าน่องน้อย คงจะเป็นชื่อเล่นที่นางตั้งให้ลูกชาย

ฉินหรูเหลียงจึงพึ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เคยได้ยินคนในจวนพูดกัน ตั้งแต่เจ้าน่องน้อยคลอดออกมาก็ไม่ยอมร้องสักแอะ

ตอนนั้นเขามัวแต่คิดเรื่องช่วยชีวิตหลิ่วเหมยอู่ จึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งอาจมาจากเขา ที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้

นั่นเป็นลูกของเฉินเสียน ไม่ใช่ลูกของเขา

หากว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของเขา……ฉินหรูเหลียงไม่กล้าแม้แต่จะคิด ความคิดแบบนี้อาจจะพอเยียวยาความขุ่นเคืองและความผิดหวังในใจของเขาบ้าง

ฉินหรูเหลียงยิ้มเฝื่อนๆ เขามาที่นี่ทำไมกัน

ความสุขข้างในนั้นถึงแม้จะรู้สึกขัดหู แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกเกลียดเฉกเช่นเมื่อก่อน ความรู้สึกที่ขัดหูนั่น เพราะเขาไม่เคยมีมันมาก่อน

เขาไม่เข้ากับที่นี่

แม่บ้านจ้าวสังเกตเห็นฉินหรูเหลียง แต่เพราะมีประสบการณ์จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม่บ้านจ้าวจึงไม่กล้าที่จะเชิญฉินหรูเหลียงเข้าเรือนโดยพลการ และไม่พูดคุยกับท่านแม่ทัพเสียงดังเหมือนเมื่อครั้งก่อน เพื่อไม่ให้องค์หญิงรู้ว่าท่านแม่ทัพมาเยี่ยมพระองค์

“ท่านแม่ทัพมาหาองค์หญิงหรือเจ้าคะ มีเรื่องอะไรหรือไม่?” แม่บ้านจ้าวพูดขึ้น : “จะให้บ่าวเข้าไปเรียนองค์หญิงรึเปล่าเจ้าคะ?”

ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นว่า : “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่เดินผ่าน เลยแวะมาดูหน่อยก็เท่านั้น”

“งั้นท่านแม่ทัพจะเข้าเรือนหรือไม่เจ้าคะ?” แม่บ้านจ้าวถามขึ้น

“ไม่ต้องแล้ว”

พูดจบ ฉินหรูเหลียงก็หมุนตัวเดินออกไป แม่บ้านจ้าวพูดตามหลังว่า : “บ่าวส่งท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”

ฉินหรูเหลียงเดินอยู่สองก้าวแล้วจึงหยุดเดิน จู่ๆ ในใจก็รู้สึกฉุนขึ้นมา หันกลับไปมองแม่บ้านจ้าวที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทีที่นอบน้อม

ฉินหรูเหลียงขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ครั้งก่อนตอนที่ข้ามา แม่บ้านจ้าวเป็นคนเชิญข้าเข้าเรือนด้วยตัวเอง แต่ทำไมวันนี้กลับมาผลักไสไล่ส่ง?”

แม่บ้านจ้าวพูดขึ้นว่า : “ทุกที่ในจวนเป็นของท่านแม่ทัพทั้งหมด บ่าวมิบังอาจไล่ ท่านแม่ทัพจะไปจะมา สุดแล้วแต่ท่านแม่ทัพจะเห็นชอบ เพียงแต่ครั้งนี้ บ่าวมิกล้าเชิญเองโดยพลการก็เท่านั้น เพราะบ่าวกลัวว่าองค์หญิงและลูกจะได้รับอันตรายเจ้าค่ะ”

“เจ้าคิดว่าข้าจะทำร้ายนางรึ?”

แม่บ้านจ้าวจึงพูดขึ้นว่า : “ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องขึ้นบ่าวไม่เคยคิดแบบนั้นมาก่อน เพราะฉะนั้นจึงให้ท่านแม่ทัพและองค์หญิงคุยกันเองตามลำพัง แต่เพราะความคิดเช่นนี้ของบ่าวคนเดียว เกือบจะทำร้ายองค์หญิงกับลูกถึงสองครั้งสองครา”

ฉินหรูเหลียงไม่สามารถเถียงกลับแม้แต่คำเดียว

แม่บ้านจ้าวพูดขึ้นต่อว่า : “ในเมื่อท่านแม่ทัพรักและโปรดปรานนายหญิงรองถึงเพียงนั้น บ่าวมิอาจกอดความหวังลมๆ แล้งๆ ให้ท่านแม่ทัพกับองค์หญิงกลับมาสานสัมพันธ์ที่แตกหักสะบั้นอีกครั้ง บ่าวขอแค่ท่านแม่ทัพอย่าได้ทำร้ายเด็กเพียงเพราะเรื่องผู้ใหญ่อีก เด็กไม่ได้ทำอะไรผิดเลยเจ้าค่ะ”

ฉินหรูเหลียงหรี่ตาลง มองไปข้างหน้าอันไกลโพ้น แล้วจึงถามขึ้นว่า : “แม่บ้านจ้าว เจ้าคิดว่าข้ายังมีโอกาสกลับไปสานสัมพันธ์กับนางหรือไม่?”

“ก่อนหน้านี้ ประตูหัวใจขององค์หญิงได้เปิดแง้มไว้ บ่าวคิดว่าเพียงแค่ท่านแม่ทัพเป็นคนเดินเข้าไปหาเอง เปิดประตูหัวใจ สร้างความสัมพันธ์กับองค์หญิง แต่มาวันนี้ ท่านแม่ทัพกลับเป็นคนลงกลอนปิดตายประตูบานนั้นด้วยมือของท่านแม่ทัพเองแล้วเจ้าค่ะ”

ฉินหรูเหลียงไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า ลึกๆ ในใจของเขากลับคาดหวังอยากจะกลับไปคืนดีกับเฉินเสียน

เพียงแต่ว่าเขาที่พึ่งได้รับโอกาสจากเฉินเสียน แต่กลับเป็นคนทำลายโอกาสนั้นด้วยน้ำมือของเขาเอง

ความครึกครื้นสนุกสนานของสวนสระวสันตฤดูไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา

เมื่อเขาเดินจากมาแล้ว เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยก็ค่อยๆ เบาลงและไกลออกไป

หลังจากที่ในวังรู้เรื่องเฉินเสียนคลอดบุตร ก็ส่งหมอหลวงสองท่านมา ท่านหนึ่งมารักษาฟื้นฟูสภาพร่างกายของเฉินเสียน ส่วนอีกท่านมาตรวจสุขภาพของเจ้าน่องน้อย

องค์จักรพรรดิจะต้องรู้สาเหตุของการคลอดก่อนกำหนด สาเหตุที่ทำให้เจ้าน่องน้อยไม่ยอมร้องไห้ให้ได้ และได้ตำหนิฉินหรูเหลียงไปยกใหญ่

เด็กคนนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ลูกของอดีตองค์หญิง แต่ยังเป็นลูกของ จวนแม่ทัพอีกด้วย จึงเป็นปัญหาที่รับมือยากมาก

แต่ในเมื่อให้กำเนิดมาแล้ว องค์จักรพรรดิจะทรงไม่รับก็ไม่ได้

ขอแค่เพียงควบคุมเด็กคนนี้ได้ ก็จะสามารถควบคุมเฉินเสียนและแม่ทัพใหญ่ได้

องค์จักรพรรดิทรงสงสัยกับสาเหตุที่เจ้าน่องน้อยไม่ยอมร้อง จึงให้ส่งตัวเจ้าน่องน้อยไปเลี้ยงดูในราชวัง

ฉินหรูเหลียงเม้มปาก พูดขึ้นด้วยความเคารพ : “ฝ่าบาท เด็กยังเล็กเกินไป ยังออกห่างจากองค์หญิงไม่ได้ องค์หญิงเองก็พึ่งจะให้กำเนิดเขา เกรงว่าเวลานี้จะยังไม่ควร……”

องค์จักรพรรดิทรงหรี่พระเนตรลง และทรงทอดพระเนตรไปยังฉินหรูเหลียง พระองค์ทรงพอพระทัยกับสีหน้าท่าทางของฉินหรูเหลียงที่เหมือนยังคงเรียกร้อง พระองค์ทรงตรัสขึ้นว่า : “ข้าแค่เพียงหวังดี รับเด็กเข้ามาอยู่ในวังเพื่อจะได้เลี้ยงดูเป็นอย่างดี อีกอย่างมีหมอหลวงมากมายคอยดูแล หากเกิดอะไรขึ้นจะได้รักษาได้ทันท่วงที ทำไมรึ? ฉินอ้ายชิงเจ้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้งั้นรึ?”

“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด