ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 139: คาดไม่ถึงว่าจะจำนางได้
เฉินเสียนหยิบตะเกียบขึ้นมาเขี่ยในชามอยู่สองสามครั้ง จากนั้นประกบลงไปที่ไข่ต้ม ไข่ถูกแบ่งออกเป็นสองซีก ครึ่งหนึ่งวางไว้ในชามของซูเจ๋อ ซูเจ๋อประหลาดใจ
เธอกล่าวว่า “ท่านก็คงไม่รู้ว่ามีเหรียญเท่าไหร่ เช่นนี้คงทำให้ท่านกับข้าได้ไข่กันคนละลูก?”
ซูเจ๋อกระซิบเบาๆ “ข้าไม่ทันคิดให้รอบคอบ คราวหน้าจะระวังแน่นอน”
หน้ากากที่ทั้งสองใส่ยังมีมนุษยธรรม ปากและคางโผล่พ้นออกมาด้านนอก จึงไม่จำเป็นต้องถอดหน้ากากออกแม้ตอนที่รับประทานอาหาร
เพียงแค่เมื่อเฉินเสียนและซูเจ๋อเริ่มรับประทาน ทั้งสองต้องก้มศีรษะลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
การกระทำเกิดขึ้นพร้อมกันโดยบังเอิญ พวกเขาจึงต้องหยุดชะงักอีกครั้ง
หน้ากากของเฉินเสียนและปลายจมูกของเขาชนกัน เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเขากำลังจ้องมองที่มาตนเองเช่นกัน
ตอนที่ลมหายใจแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เฉินเสียนถูกดึงดูดเข้าสู่ดวงตาที่เย้ายวนลึกล้ำของเขาอย่างใกล้ชิด
เฉินเสียนรู้สึกตัวในทันใด การรับประทานบะหมี่เช่นนี้ช่างร้ายกาจเสียจริง
เดิมทีพวกเขาทั้งสองไม่ได้มีความคิดว่าจะถูกมัดไว้ด้วยกันเช่นนี้ ช่างทรมาน
“เช่นนี้ท่านทำให้ข้าทานดีๆ ไม่ได้” เฉินเสียนกล่าว “เหตุใดท่านไม่ถอยไปเสียหน่อย ไม่ต้องมาใกล้เช่นนี้”
ซูเจ๋อ “ข้าก็ไม่อยากเข้าใกล้ ข้าก็ทานดีๆ ไม่ได้เช่นเดียวกับท่าน”
ไม่มีทางเลือก ด้ายแดงบนตะเกียบนั้นสั้นมาก
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองจึงตัดใจว่าจะให้ใครสักคนทานก่อน ท่านทานหนึ่งคำข้าทานหนึ่งคำสลับกันไป
ในที่สุดก็รับประทานบะหมี่หมดชาม
ตอนที่เฉินเสียนและซูเจ๋อออกไป เถ้าแก่ที่อยู่ยืนด้านหลังยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านทั้งสองเดินช้าๆ นะขอรับ ยินดีต้อนรับกลับมาครั้งหน้า”
บะหมี่ที่รับประทานยากเย็นขนาดนี้ เธอไม่ได้โง่ จะให้กลับมาอีกงั้นหรือ?
ตอนที่เดินมาตามริมแม่น้ำกลับมายังถนน บนถนนมีแสงไฟสลัว ยิ่งดึก ผู้คนบนท้องถนนยิ่งเบาบางลง
เฉินเสียนไม่เห็นอวี้เยี่ยนและแม่นมซุยตลอดทาง ไม่รู้ว่ากลับไปจวนแล้วหรือยัง
เฉินเสียนกล่าวลาซูเจ๋อที่ถนน “คืนนี้พอเท่านี้ ข้ากลับล่ะ”
ซูเจ๋อไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแค่ยืนมองเธอ
เธอกล่าวอีกครั้ง “ท่านก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
ภายใต้หน้ากากนั้น เขายิ้มจางๆ “ท่านเป็นเช่นตอนนี้ ดียิ่งนัก”
“หือ? ” เฉินเสียนเหล่มอง มองย้อนกลับที่เขาอย่างไม่เข้าใจ
เขาทอดมองผ่านไหล่ของเฉินเสียนออกไป “ท่านมองดูด้านหลังสิ ผู้ใดกลับมา? ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินเสียนจึงหันหลังกลับไป บังเอิญเห็นเงาของใครบางคนเดินข้ามถนนมา
แสงไฟสลัวตกกระทบลงบนตัวเขา ทำให้เงาสูงยาวราวกับต้นสน ย่างก้าวที่ดูสงบทอดยาว
เขาไม่ได้สวมหน้าหน้ากาก มองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ชัดเจน ฉินหรูเหลียง
เวลานี้ยังมาเดินตามท้องถนน สัมผัสได้ว่าเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงในวัง เพียงแค่ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะไม่นั่งรถม้า แต่เลือกที่จะเดินแทน
หรือว่าอยากชื่นชมวิถีชีวิตยามค่ำคืนในสารทฤดูที่แสนมีชีวิตชีวางั้นหรือ?
ฉินหรูเหลียงรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาบนถนน จึงเงยหน้าขึ้นมอง
เวลานั้นเขาจำเฉินเสียนไม่ได้ เพียงแค่รู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างดูคุ้นเคยนัก
ซูเจ๋อลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “ท่านอยากกลับไปกับเขาเวลานี้งั้นหรือ? ”
เฉินเสียนหลับตาลง พลางยิ้มเบาๆ “ยังไม่อยากกลับทันที พาข้าไปชมพระจันทร์บนที่สูงหน่อย”
“ดี ข้าก็มีความตั้งใจเช่นนั้นเหมือนกัน”
ซูเจ๋อจับมือเฉินเสียน ทั้งสองเดินไปตามถนนอีกครั้ง
สายลมพัดมา ถนนทอดยาวเต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ
ตอนที่เดินผ่านไปข้างๆ ฉินหรูเหลียง ทันใดนั้นผมยาวสลวยที่ขมับของเธอก็ลุกซู่ ปลิวไสวลอยไปที่ใบหน้าของฉินหรูเหลียงอย่างควบคุมไม่ได้
ฉินหรูเหลียงชะงัก เขาหยุดฝีเท้า
เฉินเสียนผ่านมาถึงด้านหลังเขาแล้ว เขาหันกลับมามองแผ่นหลังของเธอ ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เฉินเสียน ดึกดื่นเช่นนี้ท่านจะไปที่ใด?”
เฉินเสียนหยุดฝีเท้า แล้วเอ่ยถามซูเจ๋อ “ท่านบอกสิว่าเขาจะตามท่านทัน?”
ซูเจ๋อ “เหตุใดไม่ลองดูเล่า”
ทันทีที่สิ้นเสียง ทั้งสองก็จับมือกันแล้ววิ่งเข้าไปในถนนเส้นเล็กๆ ในชั่วพริบตา
ฉินหรูเหลียงเมื่อเห็นคนวิ่งหนีไป ยิ่งชี้ชัดว่าเขาทักคนไม่ผิด หญิงผู้นั้นคือเฉินเสียนจริงๆ จึงวิ่งตามไปในเดี๋ยวนั้น
“เฉินเสียน ข้าสั่งให้ท่านหยุด!”
เขาไม่เข้าใจเหตุใดตนต้องวิ่งไล่ อาจเป็นเพราะว่าเห็นเฉินเสียนวิ่งหนีก่อน
ดึกดื่นเช่นนี้เมื่อเห็นนางและชายอื่นเดินจูงมือไปด้วยกัน ฉินหรูเหลียงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในใจอย่างบรรยายไม่ได้
เขาไม่ควรไล่ตามไป แต่เขาอยากเห็นว่าชายผู้นั้นเป็นใคร
เฉินเสียนร่างกายแข็งแกร่งไม่น้อย วิ่งได้เร็วเกินคาด เพียงแค่ขาเธอไม่ยาวเท่าฉินหรูเหลียง และไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น หากไม่มีซูเจ๋อ ไม่ช้าก็เร็วเธอคงถูกฉินหรูเหลียงจับได้
ซูเจ๋อพาเธอเข้าไปในตรอกเล็กๆ ทันใดนั้นก็คว้าเอวนางไว้ กระโดดพุ่งพรวดไปข้างหน้าเหาะเหินขึ้นไปบนชายคาบ้านเรือนในตรอก เหาะเหินไปบนหลังคาท่ามกลางบ้านเรือนที่เป็นลูกคลื่น
ฉินหรูเหลียงเห็นสิ่งนี้ ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เขาอยากไล่ตามไป
เฉินเสียนรู้สึกว่าตนเองราวกับบินได้ ฉากถนนที่ทอดยาวอยู่ใต้เท้าเบื้องล่าง
“เฮ้ย เร็วเกินไปแล้ว หากตกลงไปได้พิการกันพอดี!”
“เร็วเกินไปรึ?” ซูเจ๋อกระตุกยิ้ม แนบชิดข้างใบหูเธอแล้วกล่าวว่า “หากช้ากว่านี้ จะถูกท่านแม่ทัพจับได้ และหากเขาเห็นหน้าข้า เรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่”
เฉินเสียนมองย้อนกลับไป เห็นฉินหรูเหลียงยังคงอ้อยอิ่ง
ดูเหมือนว่าเขาและซูเจ๋อจะอยู่บนคาน ไล่ตามไม่ทันก็ต้องเลิกราไปแน่
เท้าของซูเจ๋อเหาะเหินไปอย่างเร็วรวด ปลายนิ้วเท้าสัมผัสบนสันหลังคา กระเบื้องเขียวแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วงลงไปเสียงดังสนั่น
สำหรับเขาคุ้นเคยกับถนนตรอกซอกซอยที่นี่อย่างยิ่ง พาเฉินเสียนหักเลี้ยวไปหลายโค้ง เลี้ยวโค้งอย่างรวดเร็วอยู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าถึงที่ใดแล้ว
เฉินเสียนเวียนศีรษะ แต่เห็นว่าฉินหรูเหลียงถูกทิ้งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
สุดท้ายก็สิ้นสุดลง ซูเจ๋อกำจัดฉินหรูเหลียงไปได้อย่างสมบูรณ์
ซูเจ๋อเลี้ยวอีกหลายรอบ ในที่สุดก็หยุดฝีเท้าลงสถานที่ที่เรียกว่า “หอชมดาว”
หอชมดาวเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในเมือง หลังคามุงด้วยกระเบื้องแปดเหลี่ยม เมื่อยืนอยู่บนยอดหอคอยสามารถมองเห็นเมืองคึกคักได้ทั่วทั้งเมือง และเมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เอื้อมมือออกไปจะเก็บดวงดาวกอบพระจันทร์ได้
ซูเจ๋อพาเฉินเสียนขึ้นไปนั่งตรงมุมชายคา
เฉินเสียนยื่นมือออกไปบนท้องฟ้ายามราตรี ท้องฟ้าสุกสกาว ดวงจันทร์ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ช่างเบิกบานใจไร้สิ่งอื่นใดบดบัง
ในที่สุดเฉินเสียนก็มีโอกาสได้ถามเขา “เหตุใดจึงไม่ยอมให้ฉินหรูเหลียงเห็นหน้าท่าน ท่านกลัวเขางั้นรึ? ”
“ใช่ ข้ากลัว”
เฉินเสียนเหลือบมองเขา “ท่านอย่ามาเสแสร้งหน่อยเลย”
“ข้าขี้ขลาดจริงๆ”
“ท่านขี้ขลาดยังกล้าปีนขึ้นมาบนที่สูงได้เช่นนี้!” เฉินเสียนเย้ยหยัน “ท่านกลัวว่าเขาจะรู้ว่าท่านมีวิชาต่อสู้ หรือกลัวว่าเขาจะรู้ว่าท่านอยู่กับข้า? ”
ซูเจ๋อไตร่ตรองอยู่สักพัก ถือโอกาสถอดหน้ากากออก โฉมหน้าอันงามสง่าเผยออกมาภายใต้แสงจันทร์ ด้วยแสงมันวาว แต่ยิ่งทำให้ดวงตาคู่นั้นดูลึกล้ำมากขึ้น
เขามองออกไปยังหุบเขาในยามราตรี จากนั้นกล่าวขึ้นมาว่า “รู้ว่าข้ามีวิชาต่อสู้ชีวิตข้าก็อยู่ได้อีกไม่นาน รู้ว่าข้ากับท่านอยู่ด้วยกันชีวิตข้าก็อยู่ได้อีกไม่นาน ท่านคิดว่าข้าควรกลัวสิ่งใด?”
“ร้ายแรงเช่นนั้นเลยรึ? แม้ฉินหรูเหลียงรู้ ตอนนี้เขาเป็นคนพิการคนหนึ่ง ไม่สามารถต่อสู้ชนะท่านได้”
ทันทีที่กล่าวออกไปเช่นนั้น เฉินเสียนก็ชะงัก “ไม่ ท่านไม่ได้กลัวเขา ท่านกลัวองค์จักรพรรดิ? ฉินหรูเหลียงเป็นผู้สร้างชื่อเสียงและบัญญัติกฎหมายขึ้นมาใหม่กับองค์จักรพรรดิ”
ซูเจ๋อยิ้มทันใด “ใต้ฝ่าพระบาทองค์จักรพรรดิ เราทุกคนเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ควรระมัดระวังและรอบคอบสักหน่อย”
คอมเม้นต์