ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 150 ข้าเชื่อท่าน
เฉินเสียนลืมตาขึ้น มองไปที่เงาของเขา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านกับข้ามีความสัมพันธ์อะไรกัน แล้วท่านกับจักรพรรดิองค์ก่อนมีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน?”
“หลังจากนี้ รอมีโอกาสข้าจะค่อยๆอธิบายให้ท่าน”
ในใจเฉินเสียนสัมผัสได้ถึงความตึงเครียด แล้วพูดว่า “ท่านคือคนที่อยู่เบื้องหลังของเหลียนชิงโจวใช่ไหม ท่านเป็นคนชี้แนะให้เขาเข้ามาอยู่ใกล้ชิดข้า ท่านต้องการทำอะไร?
ซูเจ๋อ ข้าบอกท่านไว้ก่อน ถ้าเป็นเพราะท่านพอใจว่าข้าคือองค์หญิงของจักรพรรดิองค์ก่อนและชอบเจ้าน่องน้อย ข้าแนะให้ท่านเปลี่ยนความคิด ไม่อย่างนั้น แม้แต่เพื่อนข้าก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกับท่านได้ ”
ซูเจ๋อถามเสียงเบาว่า “อาเสียน ถ้าเกิดข้าไม่มีความคิดอันใด ท่านกับเจ้าน่องน้อยจะอยู่ดีได้อย่างไร?”
เขาหยิบเนื้อกวางที่ย่างขึ้นมาดม แล้วเอาลงไปย่างอีกรอบ “หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล มีแต่ภัยอันตราย ข้าไม่คิดจะไม่ทำอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่สามารถปกป้องพวกท่านได้”
เขาลุกขึ้น แล้วหมุนตัวกลับ เดินมานั่งข้างๆเฉินเสียนที่ต้นไม้ เอามือขึ้นมาป้องปากเพื่อดมเนื้อกวางที่หอมน่ากินนั้น แล้วฉีกเนื้อส่วนที่นุ่มให้เฉินเสียนกิน
เฉินเสียนหลับตาลง โดยไม่ได้รับเนื้อชิ้นนั้น
ซูเจ๋อพูดออกมาเบาๆ “ท่านมักจะคิดว่าข้าเป็นคนเลว ก็จริง”
เฉินเสียนใจเต้น
เธอรู้สึกว่าเธอคงจะถูกซูเจ๋อหลอกอีกแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงเวลาที่เขาถอนหายใจ เธอรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ชัดเจนแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้
ในขณะที่ซูเจ๋อกำลังจะเก็บมือกลับไป เฉินเสียนรีบคว้าข้อมือของเขาไว้ ซูเจ๋อนั่งยองๆ
เธอก้มลงกินเนื้อกวางที่อยู่ในมือของซูเจ๋อจนหมด
เฉินเสียนกินจนอิ่ม กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วปุ่มรับรส
เธอยังคงก้มลงแล้วพูดว่า “ข้าเชื่อท่าน ว่าท่านต้องการปกป้องข้า”
ซูเจ๋อจ้องมองแล้วจ้องมองอีก
“ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นคนดีหรือว่าคนไม่ดี แต่ข้าเชื่อท่าน สำหรับข้า ท่านนั้นเป็นคนดี”
ซูเจ๋อหรี่ตาลง แล้วกรอกตาหมุนไปมา
เฉินเสียนลืมตาขึ้น จ้องมองไปที่เขา “ถ้าท่านคิดร้ายกับข้า เวลานั้นข้าค่อยกลับมาตัดสินว่าท่านเป็นคนเลว นั่นก็ยังไม่สาย”
“ถ้าเวลานั้นมันสายไปแล้วล่ะ?”
“นั่นเพราะข้าไม่รู้จักคบคน สมแล้วล่ะ”
เมื่อเวลาตัดสินใจเชื่อใครสักคนแล้ว ก็ต้องเชื่อโดยไม่เก็บเอามาคิดอีก
ซูเจ๋อคนนี้ถึงแม้จะไม่ค่อยเอาไหนแต่เขาไม่เคยทำให้เธอผิดหวังเลย
ถ้าคนแบบนี้สุดท้ายแล้วเป็นคนเลว นั้นก็เป็นคนเลวที่หายากมาก
เฉินเสียนออกปากว่าเชื่อเขา แต่ในใจก็ยังรู้สึกแปลกอย่างแท้จริง
ซูเจ๋อพูดแล้วหัวเราะ “ ถ้าหากวันหนึ่งท่านพบว่า ในความทรงจำของท่าน ข้าไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านเห็นตรงหน้า ท่านเสียใจจะทำอย่างไร?”
เฉินเสียนพูดต่อว่า “แม้ว่าท่านจะไม่บอกข้าว่าจะทำอะไรแน่นนอน เรื่องต่อจากนี้ค่อยว่ากัน จริงๆแล้วข้าอยากจะรู้มาก ว่าความทรงจำในอดีตนั่น ท่านเป็นอะไรกับข้ากันแน่”
ทั้งสองแบ่งกันกินเนื้อกวาง เฉินเสียนดื่มน้ำสะอาดจากลำธารนั้น แล้วเอนตัวลงนอนใต้ต้นไม้พร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา
น้ำในลำธารเป็นประกายระยิบระยับจากการหักเหของแสงแดดที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์ รัศมีส่องสว่างอบอุ่นอยู่ใต้ต้นไม้
ซูเจ๋อพยุงศีรษะเธอมาวางลงที่ขาของเขา เด็ดใบไม้ใหญ่มาคลุมใบหน้าและดวงตาของเธอ แล้วกระซิบที่ข้างหูว่า“พักสักหน่อย ยังต้องเดินทางอีกไกล”
เนื่องจากมีหมอนหนุนยังสบายดีกว่าไม่มี เฉินเสียนยอมจำนนอย่างสุภาพ
จริงๆแล้วเธอเหนื่อยมาก ตอนที่อยู่ในสวนสระวสันตฤดูเธอจะนอนกลางวันเป็นประจำ กินอิ่มนอนหลับ
สีเขียวของใบไม้ตัดกับใบหน้าสีขาวของเธอ ดูสุภาพนุ่มนวล
ใบไม้นั้นปิดคางของเธอไม่หมด ซูเจ๋อจ้องมองไปที่ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มของเธอ
แล้วเขาจะหลับได้อย่างไร ไม่ใช่เสียเวลาไปสูญเปล่าหรอกนะ
หลังจากที่เฉินเสียนหลับไปแล้ว ซูเจ๋อค่อยๆดึงมือเธอขึ้นมา มองไปที่รอยแดงหลังมือของเธอ แล้วเอายาที่ติดตัวมา ค่อยๆทาลงไปที่มือของเธอ
แค่แปบเดียว รอยแดงนั้นก็หายไป
ซูเจ๋อยกแขนเสื้อของเธอขึ้นมา แล้วมองเห็นร่องรอยที่อยู่บนแขน เลยทายาไปที่แขนของเธอด้วย
การกระทำทั้งหมดนี้เฉินเสียนนั้นไม่รู้สึกตัว นอนหลับอย่างสงบนิ่ง
ซูเจ๋อมีความสุขเพลิดเพลินวนอยู่กับริมฝีปากของเธอ นิ้วลูบไล้ไปที่เส้นผมของเฉินเสียน แล้วยกปลายผมขึ้นมา
รอเวลาเฉินเสียนตื่น พระอาทิตย์นั้นตกดินไปแล้ว
คลื่นแสงที่ส่องสว่างนั้นถูกย้อมให้เป็นสีเหลืองทองอบอุ่น
เธอขยี้จมูกแล้ว ร้องอุทานพร้อมลุกขึ้นมานั่ง มองไปที่ซูเจ๋อแล้วพูดว่า “ทำไมท่านถึงไม่ปลุกข้า?”
ซูเจ๋อ “ท่านไม่ใช่กำลังพักฟื้นร่างกายอยู่หรือ?”
“แต่ข้านอนหลับไปครึ่งค่อนวัน”
ซูเจ๋อพูดปลอบเธอ “ไม่เป็นไร อีกอย่างข้าไม่ได้รีบร้อนอะไร”
ความเหนื่อยล้าของเฉินเสียนนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นความสดใส
โอ้ ใช่ เธอต้องต่อสู้กับซูเจ๋อ ที่ซูเจ๋อมาพูดล้อเธอ
เฉินเสียนฝืนยืนขึ้น ยืดเส้นยืดสายร่างกาย ก่อนจะพบว่ามือที่ปวดอย่างกับไฟ ตอนนี้ไม่ปวดเลยแม้แต่นิด อีกทั้งรอยแดงนั้นก็ไม่มีแล้ว
เฉินเสียนอารมณ์ดียืนมือไปทางซูเจ๋อ แล้วพูดว่า“ลุกขึ้น พวกเรากลับเข้าไปในป่าเมเปิ้ลต่อสู้กัน”
ซูเจ๋อพูด “ได้เลย”
เขาดึงมือของเฉินเสียนเพื่อจะลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ขยับเดิน ก็ล้มตัวลงไปทางเฉินเสียน
เฉินเสียนช่วยพยุงเขาทันที แต่ร่างการที่เดินโซเซนั้น เดินไม่กี่ก้าวก็สะดุดกับต้นไม้ ซูเจ๋อก้มหน้าลงไปอยู่ไหล่ของเธอ กอดเธอไว้พอดิบพอดี
เฉินเสียนถอนหายใจ อยากจะพูด ซูเจ๋อก็หายใจรดที่คอของเธอ แล้วพูดว่า “อย่าขยับ ขาข้าชา”
“ ชาอะไรกัน ออกไป!”
“ขาข้าชาจริงๆ เป็นหมอนให้กับท่านไม่ได้ขยับไปไหนเลย”
แม้ซูเจ๋อพูดมีเหตุผลแบบนั้น ทำไมเธอถึงได้อดกลั้นความอึดอัดเอาไว้
ไม่นาน ซูเจ๋อก็ยืนขึ้น ลุกออกจากตัวเธอ มองเห็นท่าทางของเธอ อดที่จะหัวเราะไม่ได้
ถ้าเขายังกล้าหัวเราะต่อไป เธอจะโกรธเป็นแน่
ซูเจ๋อพูด “ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว พวกเรากลับเข้าป่าเมเปิ้ลกัน”
ระหว่างทางเฉินเสียนนั้นขยับข้อมือไปมา หวังว่ามันจะมีประโยชน์กลับมา
เมื่อถึงป่าเมเปิ้ล ยังไม่ทันได้พูดอะไรกัน เฉินเสียนก็เริ่มลงมือไปที่ซูเจ๋อทันที
ซูเจ๋อไหวตัวทัน แล้วพูดว่า “ท่านรีบอะไรกัน?หรือว่าข้าต่อให้ท่านก่อน?”
เฉินเสียนพูด “ข้ารู้ว่าวรยุทธของท่านนั้นสูง ข้าอยากจะลองดู ว่าวรยุทธของข้ามีมากเท่าไหร”
พูดจบเธอก็ลงมือกับซูเจ๋ออย่างเต็มแรง
แต่ทว่า ซูเจ๋อนั้นไม่ได้ออกแรงอะไรเลย เพียงหลบหลีกเท่านั้น
เสียงลมที่พัดใบไม้สีแดงลงมา แขนเสื้อของเขาปลิวอย่างกับลม ทั้งหมดมั่นคงเหมือนกันสายฟ้าที่ไม่ขยับ
ไม่นานเฉินเสียนก็ค้นพบว่า การต่อสู้ที่เธอคุ้นเคยนั้นจะต้องไม่ใช่แบบที่เขาคุ้นเคย ครั้งต่อไปที่จะตีเขาตรงไหน เขาจะรู้วิธีป้องกันตัวเอง
เฉินเสียนไม่สามารถเข้าถึงตัวเขาได้เลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่โดนเลย
กลับกันถ้าซูเจ๋อออกแรงต่อสู้เต็มที่ และคุ้นเคยกับท่าทางต่อสู้ของเธอ เธอต้องพ่ายแพ้ในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน
เฉินเสียนพูดอย่างหัวเสียว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะลงมือตอนไหน?”
“การต่อสู้ของท่านนั้นบุ่มบามตีไม่โดนข้า และเมื่อข้าลงมือ ท่านก็จะถูกข้าตี” ซูเจ๋อพูด
คอมเม้นต์