ข้าคือหงส์พันปี – บทที่240 ต้องการให้ข้าช่วยท่านไหม?

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 240 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“เฮอะ ทำเองก็ทำเอง”

ขณะที่เฉินเสียนกำลังกัดอาหารแห้ง ซูเจ๋อก็กัดอีกสองคำ

เขาก็ได้พูดขึ้นอีก “ขายังปวด?”

เฉินเสียนพยักหน้า

“บางทีหนังอาจจะถลอก สักพักค่อยทายา” ซูเจ๋อหยิบยาที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาแล้วยื่นให้เฉินเสียน

เฉินเสียนกระแอม “จะทาอย่างไร?”

“ทำไม่เป็น? ต้องการให้ข้าช่วยท่านไหม?”

เฉินเสียนจ้องไปที่เขา “ข้าทำเป็นแน่นอน! แต่ว่าพวกท่านอยู่ที่นี้ข้าจะทายาอย่างไร?”

เฉินเสียนเองก็อยากจะทายามาก เพื่อให้รอยถลอกด้านในหายเร็วๆ มิเช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าต้องขี่ม้าเดินทางต่อไปมันจะต้องถูกทรมานมากแน่

ภายใต้สถานการณ์นี้ เฮ่อโยวและซูเจ๋อได้หลบออกไป

แม้ว่าจะหลบออกไปแล้ว แต่จะปล่อยให้เฉินเสียนถอดกางเกงใส่ยาที่บนภูเขาตามลำพัง…….มันก็รู้สึกแปลกๆ

สุดท้ายยังคงเป็นเฮ่อโยวที่จะหนีไปพร้อมกับข้ออ้างที่ว่าจะไปทำธุระ แต่ปล่อยให้ซูเจ๋ออยู่ที่นี่

เฉินเสียนถาม “ท่านไม่ไปทำธุระรึ?”

“ข้าไม่รีบ”เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเป็นบ้า ซูเจ๋อยิ้ม แล้วนั่งหันหลังให้ “ข้าอยู่ที่นี่จะอยู่เพื่อคุ้มกันท่าน ท่านสามารถนั่งพิงหลังข้าได้ ข้ามองไม่เห็น”

ซูเจ๋อหันหลังเพียงแค่ปิดกั้นเปลวไฟ เฉินเสียนนั่งพิงอยู่หลังของเขารู้สึกปลอดภัยอย่างสุดที่จะพรรณนา

ด้านหนึ่งเธอได้นิ่งพิงหลังเขา อีกด้านเปิดยาขึ้นมาดม แล้วพูดว่า “ถ้าสักพักท่านหันหน้ามามองจะทำอย่างไร?”

ซูเจ๋อพูด “นอกจากท่านต้องการให้ข้าช่วย”

“ถ้าท่านกล้าหันมามอง ข้าจะทำให้ท่านตาบอด” เฉินเสียนขู่

เฉินเสียนยังไม่ถอดกางเกงของเธอ เธอเพียงแค่แตะตัวยาจากนั้นเอื้อมมือเข้าไปในกางเกง เอื้อมมือเริ่มจากต้นขาของตัวเองเข้าไปด้านใน

เมื่อสัมผัสถึงบาดแผล โดยไม่ได้เตรียมตัว จึงเปล่งเสียงร้องออกมาสองครั้ง

การกระทำของเฉินเสียนทั้งช้าและแปลกมาก หลังจากทายาแล้ว เวลาก็ได้ผ่านไปนาน

ถึงเวลานอนในยามค่ำคืน เฉินเสียนเหนื่อยมากจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เธอหนุนบนขาของซูเจ๋อ ดวงตาของเธอดูสงบ บางครั้งมุมปากก็เต็มไปด้วยความฝันที่มีเสียงดังออกมาเล็กน้อย

ซูเจ๋อฟังอย่างระมัดระวัง ถึงได้ยินว่าเธอกำลังเรียก “เจ้าน่องน้อย” อาจจะฝันถึงเจ้าน่องน้อย และรอยยิ้มอันเงียบสงบก็ปรากฏขึ้นบนปากของเธอ

ซูเจ๋อใช้มือปัดเส้นผมที่อยู่บนขมับของเธอออกด้วยการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยน

เฮ่อโยวยังนอนไม่หลับ และเขามองด้านข้างก็ตกตะลึงพรึงเพริด

เขาค่อนข้างมั่นใจว่า บางทีซูเจ๋อก็ชอบผู้หญิงแล้ว อีกทั้งคนที่เขาชอบก็คือผู้หญิงคนนี้คนที่หลับใหลอยู่บนขาของเขา

มิฉะนั้นเขาจะแสดงให้เห็นด้านที่อ่อนโยนเช่นนี้ได้อย่างไร และเต็มใจสละชีวิตเพื่อเธอได้อย่างไร คงได้ก้าวข้ามความเป็นจักรพรรดิและขุนนางไปนานแล้ว

ซูเจ๋อพูดขึ้นอย่างคลุมเครือ “อย่ามองในสิ่งที่ไม่ควรมอง และสิ่งที่ท่านไม่ควรจะรู้ก็แสร้งทำไม่รู้ เช่นนี้ถึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับท่าน”

เสียงของเขาเบามาก แต่ลมหายใจที่ระบายออกจากร่างกายของเขาเย็นเล็กน้อย และมีความรู้สึกถูกกดขี่เล็กน้อยที่ไม่สามารถพูดได้

เฮ่อโยวตกใจ หันหลังกลับแสร้งทำเป็นหลับ

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นก็เดินทาง เห็นได้ชัดว่าดีขึ้นมาก ไม่เจ็บปวดเท่าเมื่อวานแล้ว เพียงแค่การขี่ม้าที่กลับไปกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อดทนอีกนิดคงจะชินกับมันเอง

ถ้าบอกว่าเมืองระหว่างทางเหล่านั้นพบได้แต่ความว่างเปล่าและเงียบสงัด ถือได้ว่าชายแดนที่นี่ยิ่งแย่มากกว่ามากกับความหวาดกลัวจนเกินไป เห็นต้นไม้ใบหญ้าเป็นข้าศึกไปหมด

เฉินเสียนและพวกเขามาถึงประตูชายแดนเมืองเสวียนได้สำเร็จ

เมฆบนขอบฟ้าเริ่มลาลับขอบฟ้า แดงก่ำราวกับโลหิต

อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและทวนทองอาชาเหล็ก

ทั้งสองอาณาจักรกำลังรอการเจรจาปรองดอง ดังนั้นหลังจากที่เย่เหลียงชนะการสู้รบ ก็ไม่รีบร้อนที่จะปล้นเมืองชายแดนแห่งนี้ไปครอง

แต่เมืองนี้อยู่ภายใต้กฎอัยการศึก และทหารกำลังลาดตระเวนอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกคนที่เข้าและออกจากเมืองเสวียนจะต้องทำการสอบสวนอย่างละเอียด

หากพบผู้ต้องสงสัยเป็นสายลับของศัตรู ให้ตัดหัวทันที

ชาวบ้านของต้าฉู่ที่อยู่ในเมืองเสวียนแทบรอไม่ไหวที่จะหนีออกจากเมือง ทั้งที่รู้ว่าที่นี่มีสงคราม และจะมีชาวบ้านที่ไหนที่ไม่กลัวตายแล้วเข้าไปที่เมืองเสวียนล่ะ

ทันทีที่ทั้งสามคนมาถึงประตูเมือง พวกเขาถูกทหารล้อมไว้ทันที

ลักษณะที่ปรากฏของคนเย่เหลียงและต้าฉู่นั้นไม่ต่างมาก แต่โดดเด่นด้วยเครื่องแต่งกายของพวกเขา ดังนั้นทหารที่ปกป้องเมืองจึงสงสัยว่าทั้งสามคนเป็นสายลับที่ปลอมตัวทำเป็นคนต้าฉู่และต้องการเข้าไปในเมือง

ที่ประตูเมือง ยังมีซากศพสองสามร่างที่ได้ถูกตัดหัวออก หัวดำๆ กลิ้งไปอีกด้านหนึ่งโดยที่ไม่มีใครสนใจ

ผู้ที่ถูกสังหารนั้นถือว่าเป็นสายลับจากเย่เหลียงทั้งหมด

พื้นดินเต็มไปด้วยเลือด และสถานที่นี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งหมดของมนุษย์

เฮ่อโยวไม่ได้พูดอะไรสักคำ ก่อนจะหันศีรษะอาเจียนออกมา

ทหารที่อยู่ข้างหลังต้องการจะลงมือกับเขา ดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้นแล้วเอาตราประทับของจักรพรรดิออกมา แล้วนั่งยองๆ ต่อหน้าทหารแล้วพูดว่า “บังอาจ! เราเป็นทูตของจักรพรรดิที่ทางราชสำนักส่งมาเพื่อเจรจาสันติภาพ!”

ทหารยากที่จะแยกได้ว่านี้เป็นจริงหรือปลอม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเชิญแม่ทัพที่ปกป้องเมืองออกมา

แม่ทัพไม่สามารถบอกว่าคือของจริงหรือของปลอมได้ ดังนั้นเขาจึงต้องรายงานขึ้นไป

ทุกวันนี้ แม่ทัพใหญ่เจิ้นหนานผู้รับผิดชอบกองทัพชายแดนถูกเรียกว่าจ้าวเทียนฉี ซึ่งเป็นจ้อหงวนผู้ชนะด้านศิลปะการต่อสู้ที่ต้าฉู่ในปีนั้น และเขาได้รับการยกย่องอย่างสูงจากจักรพรรดิ

หลังจากการสู้รบครั้งสุดท้ายกับเย่เหลียง องค์จักรพรรดิส่งเขาอยู่ในเมืองเสวียน และได้รับการตั้งชื่อว่าแม่ทัพใหญ่เจิ้นหนาน

ตอนนี้ทหารที่ประตูไม่กล้าที่จะคลาย และพวกเฉินเสียนทั้งสามคนยังคงถูกล้อมรอบด้วยทหาร ด้วยดาบที่หันเข้าหากัน

เฉินเสียนและซูเจ๋อไม่มีอะไรจะพูด แต่เฮ่อโยวใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ

เขาได้ประกาศสถานะตัวตนแล้ว คนพวกนี้ยังหยาบคายกับพวกเขาอยู่

เฉินเสียนพูด “เฮ่อโยว อย่าโวยวาย ในระหว่างสงคราม พวกเขาระมัดระวังและเตรียมพร้อมมากเช่นนี้ ไม่มีอะไรผิดปกติ”

เฮ่อโยวชำเลืองมองดูศีรษะคนที่แยกจากกันซึ่งอยู่ถัดจากเขาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทั้งสามคนยังคงยืนอยู่ในแอ่งเลือด ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคลื่นไส้ เขากล่าวว่า “ทำไมคนเหล่านี้ถึงไม่มีอะไรผิดปกติ คนพวกนี้สวมเสื้อผ้าต้าฉู่ของข้า ถูกตัดสินโดยพวกเขาได้อย่างไรว่าเข้ามาในเมืองเพื่อเป็นสายลับ! เมื่อครู่ถ้าข้าไม่ถอดตราประทับ ข้าเกรงว่าพวกเราสามคนจะถูกตัดหัวไปในฐานะสายลับแล้ว!”

เฉินเสียนเกิดในยุคที่สงบสุข และไม่เคยเห็นความโหดร้ายของสงครามด้วยตาตัวเอง แต่สภาพพื้นที่นี้ที่อยู่ต่อหน้าเธอก็ไม่เล็ก

เธอมีความอดทนมากกว่าเฮ่อโยวเล็กน้อย แต่ใบหน้าของเธอก็ไม่ได้ดีมากเท่าไหร่

ประตูเมืองนี้ยังคงเป็นประตูที่เปิดออกสู่อาณาเขตของต้าฉู่ ผู้คนที่เข้าสู่เมืองยังคงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ในเมืองและในสนามรบ

เลือดไหลดั่งแม่น้ำ และมีผู้เสียชีวิตนับไม่ถ้วนนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนที่อยู่ในเมืองหลวงเธอได้ยินมาว่าทหารที่ตายไปในสนามรบนั้น หนึ่งหลุมพอที่จะเติมศพลงไปได้เป็นหมื่นๆ คน

บางทีเฮ่อโยวพูดถูก การตัดหัวผู้คนที่ประตูเมืองนี้ดูไร้เหตุผลและเห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลา แต่เมื่อเทียบกับผู้บาดเจ็บล้มตายในสนามรบแล้ว มันไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึง

ไม่รอให้เฉินเสียนพูด เสียงที่ดูถูกเหยียดหยามก็ดังขึ้นจากรอบนอกของทหารจำนวนมาก “ในช่วงสงคราม คนเหล่านี้ไม่สนใจเลือกที่จะวิ่งหนีเอาชีวิตรอด แต่ต้องการเข้าไปในเมืองนี้ ถ้าไม่ใช่ความพยายามอื่น แล้วจะเป็นอะไร? ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นสายลับหรือไม่ก็ตาม ข้าขอเลือกการฆ่าคนผิด ดีกว่าปล่อยให้ปลาหลุดอวนไป!”

ทหารแยกออกไปเป็นสองฝ่าย และชายวัยกลางคนในชุดนักรบและชุดเกราะเดินออกมาจากประตูเมือง

คนผู้นี้หยิ่งยโสและยืนหยัด เห็นได้ชัดว่าอยู่ที่นี่คนเดียวมานานเกินไป แม้แต่ในการเผชิญหน้ากับพวกเฉินเสียนทั้งสามคนอาจเป็นทูตที่ถูกส่งมาจากราชสำนัก แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด