ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 277 หม่อมฉันจะดูแลเขา แล้วมันเป็นอย่างไรเพคะ
เมื่อหมอหลวงนำกระดาษดินสอมาให้ เฉินเสียนก็เขียนชื่อเครื่องปรุงยาลงบนกระดาษด้วยมืออันสั่นเทา เขียนระบุไว้ชัดเจนทั้งยากินและยาทาภายนอก
พอหมอหลวงมองคร่าวๆ ก็รู้ทันทีว่าเฉินเสียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวยาเหล่านี้
ด้วยเหตุนี้หมอหลวงจึงนำใบสั่งยาไปเตรียมเครื่องปรุงยามาให้
เฉินเสียนเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ข้าต้องการเข็มเงินชุดหนึ่ง”
เข็มเงินถูกจัดวางเรียงไว้ด้านข้าง เฉินเสียนยังไม่ได้รักษาบาดแผลที่มือของตัวเองและนิ้วของเธอก็บวมแดง ตอนนี้แขนของเธอจึงยังสั่นอยู่เล็กน้อยเพราะออกแรงดันก้อนหินอยู่นาน
เฉินเสียนเบิกตาเพ่งมองในขณะที่มือหนึ่งก็คลำหาจุดฝังเข็มบนหลังของซูเจ๋อจนเจอ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงฟั่นเข็มลงไปอย่างแม่นยำ
มีเหงื่อผุดพรายอยู่บนหน้าผากของเธอ แต่เธอยังคงนั่งนิ่งและดื้อดึงที่จะรักษาต่อไป จนกระทั่งจุดฝังเข็มที่ฝังไว้ตามจุดต่างๆ บนร่างกายของซูเจ๋อทำให้ร่างกายของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายและกระตุ้นการทำงานของร่างกายขึ้นมา
จนถึงตอนนี้ร่างกายของซูเจ๋อยังคงเกร็งแน่น เพียงแต่เกรงว่าต่อให้ตาย เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอ
ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องลำบากมากขนาดนั้นอีกแล้ว ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว
เฉินเสียนฟั่นเข็มเงินพลางกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูว่า “ไม่เป็นไรแล้ว พวกเราปลอดภัยแล้ว”
หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจกับวิธีการฝังเข็มของเฉินเสียนซึ่งแตกต่างจากวิธีของหมอหลวงอย่างพวกเขา ทว่าผลลัพธ์กลับโดดเด่นมาก
เมื่อยากินและยาสำหรับใช้ภายนอกถูกส่งเข้ามา เหล่าหมอหลวงซึ่งค่อนข้างคุ้นชินกับการทำแผลภายนอกจึงเอ่ยกับเฉินเสียนที่พยายามฝืนทนอย่างสุดความสามารถว่า “องค์หญิงจิ้งเสียนทรงพักผ่อนสักนิดเถิดพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเหลือพวกกระหม่อมจะดูแลให้เอง”
“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ทิ้งยาไว้ที่นี่และออกไปได้แล้ว”
เฉินเสียนยืนกรานเช่นนั้น เหล่าหมอหลวงเองก็ไม่ได้เคี่ยวเข็ญใดๆ ครั้นแล้วจึงทยอยออกไปจากห้องและตรงไปถวายรายงานแด่องค์จักรพรรดิเย่เหลียง
เฉินเสียนค่อยๆ ทำความสะอาดบาดแผลของซูเจ๋อก่อนจะทายาให้ บาดแผลทุกจุดบนร่างกายของเขาคือร่องรอยของการทำเพื่อเธอ
เธออยากมองมันให้ชัดและจารึกไว้ในใจ
เธอคิดว่าน้ำตาของตนเองแห้งเหือดไปแล้ว แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าอีกครั้ง น้ำตาก็คลอนัยน์ตาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หลังจากพันแผลเสร็จท้องฟ้าก็เริ่มมืด
เฉินเสียนขลุกอยู่ในห้องของซูเจ๋อไม่ยอมไปไหน
เธอนำยาสมุนไพรที่ได้มามาบดจนละเอียดและต้มไว้บนเตาโดยที่เธอคอยดูอยู่เป็นครั้งคราว
คนของวังนำอาหารเย็นมาวางไว้ให้บนโต๊ะ ทว่าเฉินเสียนไม่มีเวลาได้แตะต้องอาหารเหล่านั้นเลย
จักรพรรดิเย่เหลียงทรงประหลาดพระทัยเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเฉินเสียนคอยดูแลซูเจ๋อและไม่ยอมออกไปไหนตั้งแต่ตอนกลางวันจวบจนกระทั่งบัดนี้
เพื่อแสดงความเสียใจ องค์จักรพรรดิเย่เหลียงจึงไปที่เรือนแห่งนั้นด้วยพระองค์เอง
เหตุการณ์ลอบสังหารครั้งนี้เย่เหลียงเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ เพราะการคุ้มกันของพวกเขามีช่องโหว่ ทำให้ให้นักฆ่าเหล่านั้นฉวยโอกาสลงมือได้
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ควรรอให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บฟื้นก่อนจึงค่อยคุยกันทีหลัง
ดูเหมือนว่าเฉินเสียนจะเหนื่อยล้ามาก
“ท่านทูตซูเป็นอย่างไรบ้าง” จักรพรรดิเย่เหลียงเหลือบมองคนบนเตียงและถาม
เธอไม่สนใจแม้แต่จะแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิเย่เหลียงและกล่าวเพียงว่า “ยังไม่ฟื้นเพคะ และก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะฟื้นตอนไหน ที่นี่ไม่เรียบร้อยนัก เชิญฝ่าบาทตามอัธยาศัยเพคะ”
“ต้องการอะไรก็บอกมาได้เลย”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”
จักรพรรดิเย่เหลียงกล่าวว่า “ความสามารถทางการแพทย์ของหมอหลวงในราชนิเวศน์แห่งนี้มิใช่ด้อย องค์หญิงจิ้งเสียนวางใจให้หมอหลวงดูแลก็จะลดความกังวลใจได้ไม่น้อย ข้าคิดว่าองค์หญิงจิ้งเสียนเหนื่อยเกินไปแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า”
พระองค์เพิ่งรู้วันนี้เองว่าเฉินเสียนมีทักษะทางด้านการแพทย์
นอกจากนี้แม่ทัพใหญ่ยังรายงานอีกว่าศพของนักฆ่าที่อยู่ใต้กองหินถูกฆ่าตายก่อนที่จะถูกหินทับ บนลำตัวมีร่องรอยของคมมีดที่เห็นได้ชัด ด้วยฝีมือการฆ่าที่โหดเหี้ยมและจัดเจน
แต่ตอนนั้น ณ สถานที่แห่งนั้นมีซูเจ๋อและเฉินเสียนเพียงแค่สองคน
ศพนักฆ่านอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น แต่พวกเขาทั้งคู่กลับยังมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนในความเรียบง่ายของทั้งสองคนจะซุกซ่อนความสามารถเอาไว้ไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูเจ๋อ ซึ่งจักรพรรดิเย่เหลียงประเมินเขาต่ำเกินไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อเห็นว่าเฉินเสียนเครียดมากจนไม่ยอมไปไหน จักรพรรดิเย่เหลียงก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
เฉินเสียนจะไม่กลับไป เธอต้องการเฝ้ารออยู่ที่นี่ เธอกลัวว่าหากเธอไป ซูเจ๋อจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
องค์จักรพรรดิตรัสว่า “องค์หญิงควรใส่ใจวรกายของตนเองด้วย ไม่ทันที่ท่านทูตจะฟื้น องค์หญิงจิ้งเสียนคงจะล้มไปก่อน”
“ขอบพระทัยเพคะที่ฝ่าบาททรงห่วงใย หม่อมฉันจะไม่เป็นไรเพคะ”
จักรพรรดิเย่เหลียงตรัสว่า “อีกสักครู่ข้าจะให้คนส่งอาหารมาให้ใหม่ ถึงเวลานั้นองค์หญิงจิ้งเสียนจะต้องเสวยสักเล็กน้อย”
พระองค์เดินไปถึงประตูและหยุดฝีเท้าลง หันกลับมามองแผ่นหลังของเฉินเสียนและตรัสอย่างติดจะขี้เล่นเล็กน้อยว่า “องค์หญิงจิ้งเสียน วันนี้แม่ทัพใหญ่เจอตัวท่านแม่ทัพฉินของท่านอยู่ที่เชิงเขา ถ้าข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนแม่ทัพฉินเป็นพระสวามีขององค์หญิงจิ้งเสียน”
เฉินเสียนสะดุ้งเล็กน้อย
“แม่ทัพฉินได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต” องค์จักรพรรดิเย่เหลียงยังตรัสอีกว่า “ตอนนี้เขานอนอยู่ที่ห้องตรงข้าม องค์หญิงจิ้งเสียนไม่ไปดูแลพระสวามี แต่กลับลงมือดูแลทูตผู้นี้ด้วยตนเอง ช่างน่าแปลกเสียจริง”
เฉินเสียนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและหันกลับไปมองจักรพรรดิเย่เหลียง
ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของความเหนื่อยล้าและความเยียบเย็น เธอกล่าวว่า “แม้ว่าพวกข้ากระหม่อมจะลงนามในสนธิสัญญากับเย่เหลียงแล้ว แต่… นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะดูแลเขา แล้วมันเป็นอย่างไรเพคะ”
จักรพรรดิเย่เหลียงคิดว่าเฉินเสียนจะต้องรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแน่ๆ ที่พระองค์กล่าวเช่นนี้ หรือไม่ก็คงจะพยายามปิดบังกลบเกลื่อน
แต่พระองค์คิดไม่ถึงเลยว่าเฉินเสียนจะยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
องค์จักรพรรดิเย่เหลียงไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นจึงเสด็จออกไป
อย่างน้อยพระองค์ก็ยืนยันได้แล้วว่าทูตผู้นี้มีความพิเศษสำหรับองค์หญิงจิ้งเสียน
เพิ่งจะลงนามในสนธิสัญญา ซูเจ๋อจะมาตายตอนนี้ไม่ได้
จากนั้นด้วยการยึดหลักสันติภาพและความปรองดอง องค์จักรพรรดิเย่เหลียงจึงสั่งให้นางกำนัลย้ายที่พำนักของเฉินเสียนมาที่ลานแห่งนี้เพื่อให้เธอดูแลเขาได้สะดวกยิ่งขึ้น
คนที่ฉลาดซึ่งเข้าออกในเรือนแห่งนี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมา
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวอย่างแท้จริง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้อื่นและความสัมพันธ์ของทั้งสองอาณาจักรเลย
หลังจากนั้นนางกำนัลก็นำอาหารเย็นเข้ามาให้ในเรือนอีกครั้ง
คราวนี้เฉินเสียนกินในขณะที่ยังร้อน
เธอจำเป็นต้องเติมพลัง ไม่เช่นนั้นเธอเกรงว่าตัวเองจะมีแรงยืนหยัดอยู่ได้ไม่นาน
ยาหม้อต้มเสร็จเรียบร้อย จากนั้นเฉินเสียนจึงค่อยๆ ป้อนยาใส่ปากซูเจ๋ออย่างอดทนและระมัดระวัง แม้ว่าเขาจะยังไม่ฟื้น แต่เขาก็ไม่ได้ขบกรามกัดฟันแน่นจนไม่ยอมปล่อย
เฉินเสียนป้อนช้ามาก แต่ถึงอย่างไรซูเจ๋อก็กลืนลงไปจนหมด
ซูเจ๋อเริ่มมีไข้ตอนกลางดึก เฉินเสียนไม่กล้าแม้แต่จะหลับตาและช่วยลดไข้ให้เขาไม่ได้หยุดพัก
แท้จริงแล้วซูเจ๋อก็อ่อนแอเช่นนี้ต่อหน้าเธอได้เหมือนกัน
ดูเหมือนความเจ็บป่วยจะถาโถมเข้ามาราวกับจะนำบาดแผลและความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขาไม่เคยได้รับโถมเข้ามาใส่ในคราวเดียว
เฉินเสียนไม่ค่อยมีสติและไม่รู้ว่าเธอผ่านช่วงสองวันนี้มาได้อย่างไร
เธอเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากแต่กลับไม่ยอมออกไปจากห้องของซูเจ๋อ เธอฟุบหลับอยู่ที่ข้างเตียงของเขาครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและตรวจสอบลมหายใจของซูเจ๋อโดยอัตโนมัติ
เธอนึกกลัวอยู่เสมอว่าตนเองจะเผลอหลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจจนทำให้สิ่งต่างๆ ล่าช้า
แต่ซูเจ๋อสลบไสลไม่ได้สติเลยจนนิดเดียว และเขาก็ไม่เคยฟื้นขึ้นมาเลย
เฉินเสียนคิดว่าบางทีเธออาจจะต้องรออีกสองสามวันซูเจ๋อจึงจะฟื้นขึ้นมา
รุ่งสางของอีกวันหนึ่ง
เฉินเสียนเปิดหน้าต่างออก มือเท้าของเธอชาและเธอก็เปิดประตูอย่างใจลอย เธอกำลังจะไปล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆ เพื่อให้สดชื่น
แต่ไม่คิดว่าจะปะทะเข้ากับใครคนหนึ่งทันทีที่ก้าวขาออกจากประตู
คอมเม้นต์