ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 279 เขาคือราชครูผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้ท่าน
น้ำเสียงของเฉินเสียนเรียบเฉยและแหบพร่าไร้ซึ่งอารมณ์ “ท่านบอกว่านางคือองค์หญิงซึ่งมีผู้คนรายล้อมมากมาย แล้วนางจะน่าสงสารเช่นนั้นได้อย่างไร… เพราะครั้งหนึ่งเคยมีชายหนุ่มเต็มใจปีนต้นไม้เพื่อไปเก็บแอปริคอตให้เธอ แต่ภายหลังเขากลับไปเต็มใจที่จะเก็บมันให้คนอื่น”
ลูกกระเดือกของฉินหรูเหลียงขยับเล็กน้อย ทว่าเขาไม่พูดอะไรสักคำ
เฉินเสียนเอ่ยอย่างเลื่อนลอยว่า “แต่น่าเสียดายที่เฉินเสียนผู้นั้นตายไปแล้ว หลังจากที่ท่านแต่งงานกับนาง ท่านไม่เคยดูแลไม่เคยใส่ใจ ปล่อยให้นางหิวโหยและหนาวเหน็บ ปล่อยให้นางถูกคนรังแก แม้กระทั่งคนที่นางรักยังทำร้ายนางด้วยมือของตัวเอง หัวใจของนางค่อยๆ ถูกทำลายจนแหลกละเอียด”
ความทรงจำของชีวิตในช่วงสามเดือนภายในจวนแม่ทัพที่เจ้าของเดิมทิ้งไว้ให้ ตอนนี้เธอยังจำมันได้ชัดเจน
ทุกๆ อย่างกลายเป็นรอยแผลลึก
เฉินเสียนกล่าวว่า “ท่านไม่เชื่อว่าหลิ่วเหมยอู่เป็นคนกรีดใบหน้าของนาง ไม่เชื่อว่านางถูกหลิ่วเหมยอู่ไล่ออกจากจวน เพียงแต่… ในตอนที่นางขอความช่วยเหลืออยู่ท่ามกลางหิมะนั่น นางได้ตายจากไปแล้ว ในเวลานั้นท่านอยู่ไหน ท่านไม่เคยสนใจเลยว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
เธอมองฉินหรูเหลียงอย่างสงบ “ตอนนี้ท่านบอกว่าท่านอยากเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ท่านอยากจะปฏิบัติต่อนางให้ดีที่สุด แต่เฉินเสียนที่รักท่านคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ท่านคิดว่าท่านจะทำดีกับนางได้อย่างไร”
คำพูดแต่ละคำของเฉินเสียนเป็นเหมือนคมมีดที่ทิ่มแทงหัวใจของเขาทีละแผลๆ
“ข้าไม่ใช่นาง ข้าไม่รักท่าน พูดไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชอบ ตอนนี้ไม่ชอบ วันข้างหน้าก็ยิ่งไม่มีทางชอบ”
เฉินเสียนหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าและเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “ถ้าเมื่อก่อนข้ารู้ว่าวันหนึ่งท่านอาจจะเปลี่ยนใจ ข้าอาจจะมีความสุขมาก เพราะในที่สุดข้าก็จะได้ใช้ความรักของท่านมาทำร้ายท่านเอง
เหยียบย่ำท่านอย่างโหดเหี้ยม ข้าเคยพูดคำนี้กับท่าน แต่ตอนนี้ข้าคิดว่า แม้แต่การทำร้ายท่านก็ยังเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
เหตุใดข้าจะต้องเสียเวลาไปกับท่านด้วย ทำไมข้าจึงไม่ไปรักกับคนที่ข้าอยากรักล่ะ”
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าฉินหรูเหลียงจะเรียกเสียงของตัวเองกลับคืนมาได้ “ดังนั้น ท่านไม่รักข้า แต่ท่านกลับไปตกหลุมรักคนที่อยู่ในห้องซึ่งเป็นคนที่ท่านไม่ควรจะตกหลุมรักมากที่สุด?”
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นและหันไปมองเขา
แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามรุ่งสางส่องประกายอยู่ในดวงตาที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่
เธอตอบว่า “ใช่ ข้ารักเขา แม้ว่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ในโลกนี้ที่ข้าควรรัก ข้าก็ยังรักเขา”
“หมายความว่านอกจากเขา ชีวิตของใครอื่นท่านก็ไม่สนใจแล้วเช่นนั้นหรือ” ฉินหรูเหลียงยิ้มอย่างขมขื่น “ที่เหมือนกันคือเราได้รับบาดเจ็บเพื่อปกป้องท่านจากอันตราย ท่านคอยดูแลเขาได้โดยไม่ยอมห่างไปไหน แต่กับข้า ท่านไม่แม้แต่จะชายตามอง”
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่ว่าเหมือนกับตอนที่เฉินเสียนเพิ่งแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนแม่ทัพ ที่ฉินหรูเหลียงคอยปกป้องดูแลหลิ่วเหมยอู่อย่างไม่ตกหล่น ทว่าไม่สนใจว่าเฉินเสียนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรอกหรือ
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ ก่อนหน้านั้นเป็นฉินหรูเหลียงที่ทำเพื่อผู้หญิงที่เขารัก แต่ตอนนี้เป็นเฉินเสียนที่ทำเพื่อผู้ชายที่เธอรัก
เฉินเสียนกล่าวว่า “นอกจากเขา ข้าไม่สนใจใครทั้งนั้น รวมทั้งท่านด้วย”
“แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร”
“ข้ารู้แค่ว่าเขาคือซูเจ๋อ”
ฉินหรูเหลียงเม้มริมฝีปาก ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงว่า “เขาเป็นราชครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ท่านตั้งแต่เล็กจนโต ท่านก็รู้ว่าเป็นครูหนึ่งวันเปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิต เฉินเสียน ท่านรักเขาไม่ได้”
เฉินเสียนที่ไร้เรี่ยวแรงรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ในขณะเดียวกันนั้นยาหม้อที่ต้มอยู่บนเตาก็เดือดขึ้นมาพอดี ไอร้อนกระทบกับฝาเครื่องลายครามจนเกิดเสียงกริ๊กกริ๊ก
เฉินเสียนดึงสติกลับมาในทันใดและลุกขึ้นเดินไปที่เตายา เธอเอื้อมมือไปหยิบฝาเครื่องลายครามโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ฉินหรูเหลียงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยอย่างตกใจว่า “เฉินเสียน มันร้อน!”
เขาเอ่ยช้าเกินไปเพียงนิดเดียว มือที่เปลือยเปล่าของเฉินเสียนปวดแสบปวดร้อนเพราะสัมผัสเข้ากับฝาเครื่องเคลือบ เธอคลายนิ้วออกและฝาหม้อก็ตกลงบนพื้นจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ฉินหรูเหลียงดึงนิ้วเธอมาดู เมื่อเห็นว่านิ้วถูกลวงจนพองเขาจึงเอ่ยอย่างห่วงใยว่า “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ต้องแช่ลงไปในน้ำเย็นๆ”
เฉินเสียนดึงมือออกและกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร”
เฉินเสียนไม่มีเวลาแช่มือในน้ำเย็น เธอหยิบมันขึ้นมาและคนยาสมุนไพรที่อยู่ข้างใน จากนั้นจึงเติมน้ำเพิ่มและนำกลับไปต้มอีกครั้ง
ในเวลานั้นหมอหลวงมาเปลี่ยนยาให้ฉินหรูเหลียงพอดี เขาจึงขอให้หมอหลวงหายาขี้ผึ้งมาทาแผลไฟลวกให้ด้วย จากนั้นเขาก็ยื่นยาให้เฉินเสียนพลางกล่าวว่า “ทาเสีย ทาแล้วจะได้หายเร็วขึ้น”
สายตาของเฉินเสียนเหลือบไปเห็นรอยแผลเป็นบนข้อมือของเขา เธอชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปรับยามา
เธอยังคงนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดและซบหน้าอยู่กับหัวเข่า ได้ยินหมอหลวงพูดกับฉินหรูเหลียงแว่วๆ ว่า “อาการบาดเจ็บของท่านแม่ทัพยังไม่หายดี ความจริงแล้วยังไม่ควรจะออกไปเดินข้างนอก…”
ดูเหมือนจะบ่นพึมพำอยู่เป็นนาน
หลังจากนั้นเฉินเสียนก็ไม่ได้ยินอะไรอีก เธอหลับตาลงและหลับลงไป
ฉินหรูเหลียงยืนอยู่ที่ประตูฝั่งตรงข้ามและหันกลับไปมองเธอ
การที่เธอเฝ้าเตายาและซบหน้างีบหลับอยู่เช่นนั้นทำให้ฉินหรูเหลียงรู้สึกเจ็บปวด
คำตอบของเฉินเสียนชัดเจนมากอยู่แล้ว สูญเสียก็คือสูญเสีย
ฉินหรูเหลียงรู้ว่าตลอดชีวิตนี้เฉินเสียนจะไม่มีวันทำเพื่อเขา เธอจะไม่เฝ้าดูเขาอย่างใส่ใจจนกระทั่งไม่แม้แต่จะยอมกลับห้องไปนอน
ในที่สุดฉินหรูเหลียงก็ทนไม่ไหวและเดินไปพูดกับเธอว่า “ถ้าเหนื่อยก็กลับไปนอนที่ห้อง ที่นี่มีหมอหลวงมากมายคอยช่วยดูแลแทนท่าน”
เธอไม่ตอบ
เฉินเสียนเป็นคนดื้อรั้น เมื่อเธอตั้งใจจะทำอะไรก็ไม่มีใครเปลี่ยนใจเธอได้ทั้งนั้น
เมื่อฉินหรูเหลียงเห็นว่าเธอไม่เงยหน้าขึ้นมอง เขาจึงหันหลังและเดินกลับไปที่ห้อง
ฉินหรูเหลียงนั่งอยู่ในห้อง เขายังคงมองเห็นเฉินเสียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเมื่อมองลอดหน้าต่างออกมา
หมอหลวงเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีและกังวลว่าอารมณ์จะส่งผลกระทบต่ออาการบาดเจ็บ จึงพยายามปลอบใจเขาว่า “ท่านแม่ทัพอย่าได้กังวลเกินไป มิฉะนั้นจะไม่ดีต่อการฟื้นฟูบาดแผล ที่องค์หญิงจิ้งเสียนทรงดูแลท่านทูตเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเพียงเพราะว่าท่านทูตได้รับบาดเจ็บเพราะพระองค์ องค์หญิงจึงรู้สึกผิด เมื่อท่านทูตฟื้นขึ้นมาก็คงไม่มีอะไรแล้ว”
ฉินหรูเหลียงเหลือบมองหมอหลวงอย่างเย็นชาและเอ่ยว่า “เรื่องขององค์หญิง ใช้เรื่องที่พวกท่านควรจะสอดปากเข้ามายุ่งรึ”
ไม่พูดก็ดีอยู่แล้ว ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหมอหลวง ฉินหรูเหลียงก็ยิ่งหดหู่มากขึ้นไปอีก
ขนาดยังซูเจ๋อยังไม่ฟื้นเฉินเสียนยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าเมื่อซูเจ๋อฟื้นแล้วเฉินเสียนคงไม่แม้แต่จะชายตามองเขา
แม้จะรู้คำตอบของเฉินเสียนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สบายใจ เป็นทุกข์ และรู้สึกอิจฉา
หลังจากต้มยาหม้อในเตาซ้ำไปสองสามครั้งก็สกัดจนได้ตัวยาที่เข้มข้น
เฉินเสียนรินยาต้มออกใส่ภาชนะโดยไม่ปล่อยให้เสียของเลยสักหยด จากนั้นจึงใส่ข้าวสารจำนวนหนึ่งลงไปและเคี่ยวจนกลายเป็นโจ๊กยา
สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของซูเจ๋อ แต่ยังช่วยรักษาระบบการทำงานของร่างกายเขาด้วย
กลิ่นของโจ๊กยาถ้วยนี้ไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าไรนัก แต่เฉินเสียนคิดว่าเขาคงจะไม่กลัวความขมและกลืนมันลงไปได้
ถ้าเขาไม่ชอบความขมแล้วขมวดคิ้วขึ้นมาจนทำให้เฉินเสียนเห็นปฏิกิริยาการตอบสนองก็คงจะดี
เฉินเสียนนั่งลงที่ขอบเตียงและตักโจ๊กป้อนเขาอย่างระมัดระวัง
ดูเหมือนซูเจ๋อจะรู้ว่าเขากำลังกินยาอยู่และให้ความร่วมมืออย่างดี เฉินเสียนไม่ต้องออกแรงมากมายนักและไม่ได้ทำโจ๊กยาหกเลยสักหยด
ทุกๆ สองวัน เฉินเสียนจะเปลี่ยนยาให้ซูเจ๋อหนึ่งครั้งพร้อมทั้งฝังเข็มให้เขาอีก
สีหน้าของซูเจ๋อยังคงซีดเซียว แต่เมื่อเฉินเสียนมีเวลาและนั่งลงกุมมือเขาไว้ เธอจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็กน้อย มือของเขาไม่ได้เย็นเยียบเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว และนี่คือสิ่งที่ช่วยปลอบใจเฉินเสียนได้ดีที่สุด
เขาจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ถ้ารู้ว่าเธอรอเขามาตลอด เขาจะต้องไม่อยากหลับไปนานขนาดนี้แน่ๆ
คอมเม้นต์