ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 314 อยากหนี
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกำลังตำหนิทหารคุ้มกันเมืองที่พาคนเข้ามาโดยพลการ แต่ก็ถูกเฉินเสียนห้ามไว้
พอเฉินเสียนได้ถามอย่างละเอียดถึงได้รู้ ที่แท้นอกเมืองจิงยังมีหมู่บ้านอีกหนึ่งแห่ง ทั้งหมู่บ้านต่างก็ติดเชื้อจากโรคระบาด ในตอนที่หมดสิ้นหนทางนั้น ชาวบ้านคิดอยากจะเข้าเมืองมาขอความช่วยเหลืออยู่หลายครั้งแต่ก็ถูกกั้นไว้นอกเมือง
แต่วันนี้โรคระบาดในเมืองถูกกำจัดไปแล้ว ทหารคุ้มกันเมืองถึงพาเข้ามา
เฉินเสียนเดินไปเอาเครื่องปรุงยาบรรจุใส่ในกล่องยา แล้วพูดกับหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำ:“อีกเดี๋ยวเจ้าไปบอกคุณชายเฮ่อกับใต้เท้าซู ให้พวกเขาช่วยดูแลราษฎรเหล่านี้ ข้าจะไปหมู่บ้านพวกเขากับชาวบ้านก่อน”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำรีบคุกเข่าลง:“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ นอกเมืองอากาศชื้นแถมถนนลื่น เดินไม่ง่ายนัก ในเวลานี้ก็หายารักษาโรคระบาดได้แล้ว กระหม่อมขอร้ององค์หญิงโปรดอย่าไปเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะส่งหมอในเมืองไปดูให้เองพ่ะย่ะค่ะ”
“หมอรับมือกับสถานการณ์ในเมืองยังพอไหว ถ้าหากโรคระบาดในหมู่บ้านนั่นรุนแรงจริงๆเล่า พวกเขาไปก็คงยุ่งยากเหมือนเดิม อีกอย่างในเมืองมีคนต้องดูแลเยอะขนาดนี้ พวกเขาคงยุ่งไม่น้อยเลย” เฉินเสียนสะพายกล่องยา พูดอย่างอย่างไม่ใส่ใจมากนัก:“ไม่เป็นไร ข้าไปดูก่อนค่อยว่ากัน ถ้าหากข้าคนเดียวไม่สามารถจัดการได้ ค่อยให้ใต้เท้าส่งกำลังคนไปเพิ่ม”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเฉินเสียนจะเบา แต่ก็แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามที่มิอาจโต้แย้งได้
ชาวบ้านก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน เขาแค่อยากมาขอความช่วยเหลือ ขอแค่หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำส่งหมอไปช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านสักคน เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าองค์หญิงจะทรงกลับไปพร้อมเขาด้วยพระองค์เอง
หลังจากนั้นเฉินเสียนก็พาทหารติดตามไปสองคน แล้วเรียกชาวบ้านที่นิ่งอึ้งอยู่นั้นกลับไปพร้อมกัน
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำยืนอยู่หน้าที่ทำการปกครองเมืองอย่างใจลอย สติไม่กลับมาครู่ใหญ่
หลังจากที่เขาได้สติกลับมา ก็พบว่านี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจริงจังพอสมควร ถ้าหากองค์หญิงเจออันตรายเข้าที่นอกเมือง เขาจะรับผิดชอบไหวได้อย่างไร
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำก็เลยรีบส่งทหารคุ้มกันเมืองสองสามคนตามไปเพิ่ม ส่วนตัวเขาเองนั้นรีบกลับไปที่เรือนของซูเจ๋อ รายงานสถานการณ์ให้ทราบ
แต่ระหว่างทางนั้นมีเหตุให้ล่าช้าอยู่สักพัก ขณะที่รอให้เขารายงานสถานการณ์นั้น เดาว่าเฉินเสียนคงออกจากเมืองไปแล้ว
หลังจากที่เฮ่อโยวรู้เรื่องแล้ว ก็ร้อนใจขึ้นมา:“ทำไมเจ้าถึงให้พระองค์ไปคนเดียวเล่า?”
“พระองค์ พระองค์พาทหารไปด้วยสองคน ข้าน้อยก็ส่งตามไปอีกสองคนด้วย……”
“ข้าหมายถึงทำไมเจ้าไม่ขวางไว้!”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำยิ้มแห้ง:“ข้าน้อยขวางไว้ไม่ไหว……”
หลังจากนั้นเฮ่อโยวก็รีบตามออกจากเมืองไป
ซูเจ๋อมาได้จังหวะพอดี:“ข้าไปเองดีกว่า เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลสถานการณ์ในเมืองกับหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำ” ซูเจ๋อหันกลับมามองห้องของฉินหรูเหลียง “แล้วก็แม่ทัพฉินด้วย”
ฉินหรูเหลียงที่อยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงพูดคุยเช่นกัน เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เลยเดินออกมาจากในห้อง สีหน้ายังไม่ดีขึ้นนัก เขายืนอยู่หน้าประตูแล้วพูด:“ให้ใต้เท้าซูไปเถอะ”
ถึงแม้ว่าในใจเฮ่อโยวจะร้อนใจ แต่กลับรู้ดี ซูเจ๋อมีศิลปะการต่อสู้ติดตัว วิชาการแพทย์ก็มี เขาไปย่อมดีกว่า
เฮ่อโยว:“เช่นนั้นท่านต้องพาเฉินเสียนกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้นะ”
ซูเจ๋อไม่ได้หยุดพักอยู่นาน รีบออกจากเรือน ถึงแม้ว่าภาพที่เห็นจากด้านหลังของเขา ดูแล้วจะไม่สะทกสะท้าน แต่เพียงพริบตาก็หายไปจากนอกเรือน
ฉินหรูเหลียงมองด้านหลังของเขาจากไป ทุกครั้งในเวลาแบบนี้มักจะเกลียดตัวเองว่าทำไมไม่แข็งแรงขึ้นสักหน่อย สภาพของเขาในตอนนี้ ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไปที่ https://th.booktrk.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! ถึงแม้ว่าฝนจะหยุดตกแล้ว แต่ท้องฟ้ากลับไม่ได้สดใสเลยแม้แต่นิด ท้องฟ้าสีเทามักจะมีฝนตกปรอยๆลงมา ความชื้นในอากาศก็ยังคงอยู่
หลังจากที่เฉินเสียนออกจากเมืองไปกับชาวบ้าน เส้นทางนอกเมืองนั้นเดินไม่ง่ายจริงๆ ผ่านไปไม่นานชายกระโปรงก็เต็มไปด้วยโคลน
เพราะหลังจากที่ออกจากเมือง ที่เดินมาก็เป็นทางเดินชนบท ทางเดินทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยแอ่งหลุมและโคลนจากที่นา ไม่สามารถขี่ม้าได้ ถ้าหากไม่ระวัง พลาดแค่ก้าวเดียวก็สามารถลื่นลงที่นาไปได้เลย แถมยังเป็นโคลนเลนที่ดึงออกมายากอีก
ทหารติดตามทั้งสองคนและทหารคุ้มกันเมืองอีกสองคนตามอยู่ด้านหลัง ทหารติดตามพูดขึ้นมา:“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมว่าให้กระหม่อมแบกองค์หญิงข้ามไปดีกว่าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ร่างกายเฉินเสียนสมดุลมาก แม้ว่าจะเหยียบที่ลื่นก็ไม่ถึงกับล้มลง:“ข้าเป็นเช่นนี้ยังสามารถเดินผ่านทางเดินนี้ได้ หากให้เจ้าแบกข้า เกรงว่าคงเดินยากกว่าเดิมกระมัง”
สถานการณ์ในตอนนี้เป็นเช่นนี้จริงๆ ทหารติดตามก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ชาวบ้านที่นำทางอยู่ด้านหน้าโคลงเคลงไปมา ในฤดูฝนคงชินกับการเดินบนเส้นทางแบบนี้แล้ว ดังนั้นทางเดินเส้นนี้นับว่าไม่เป็นอุปสรรคสำหรับกลุ่มคนที่เดินผ่านจำนวนไม่เยอะ
หลังจากที่เดินผ่านทางเดินที่นาเส้นนี้ ตรงหน้าก็เป็นไร่นาลักษณะโค้ง
ทหารติดตามถามขึ้นมา:“หมู่บ้านของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน?”
ชาวบ้านชี้ไปทางด้านหลังเนินเขาที่เป็นหัวโค้งฝั่งนั้น:“เดินอ้อมเนินนั้นไปก็ใกล้ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” มองออกว่าเขากังวลมาก แล้วพูดต่อ:“ลำบากองค์หญิงและทหารเดินทางไปหมู่บ้านด้วยพระองค์เอง ข้าน้อย……” เขาเกาศีรษะ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังคิดคำที่เหมาะสมไม่ออก
เฉินเสียน:“โรคระบาดครั้งนี้เดิมทีก็ต้องกำจัดให้สิ้นซาก ถ้าหากปล่อยหมู่บ้านของพวกเจ้าไป ไม่สนใจใยดี โรคระบาดก็ยังคงแพร่เชื้อต่อได้ เช่นนั้นความพยายามที่ทำไปก่อนหน้านี้ก็คงเสียเปล่า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลหรอก”
ถ้าหากฝนไม่ตก หมู่บ้านก็นับว่าห่างจากเมืองไม่ไกลนัก
เธอออกจากเมืองมากับชาวบ้านก็ดีเหมือนกัน พอเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว คิดแค่รักษาอาการป่วยให้ชาวบ้านอย่างสบายใจก็พอ ไม่ต้องไปคิดถึงอย่างอื่น อีกอย่างจะได้ไม่ต้องกลับไปที่เรือน……เจอซูเจ๋อชั่วคราว
มีบางคำพูดที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ แต่มันถูกกดทับและสะสมไว้ในใจเธอวันแล้ววันเล่า ความรู้สึกเช่นนั้นไม่สบายใจเลยสักนิด ถึงขนาดทำให้เธอหายใจไม่ค่อยออก
ผ่านไปสักพักเฉินเสียนก็ถามขึ้นมา:“ปกติแล้วน้ำที่ใช้ในหมู่บ้านไปตักจากที่ไหนหรือ?”
ชาวบ้าน:“ฝั่งหัวโค้งทางนู้นพ่ะย่ะค่ะ มีแม่น้ำสายเล็กๆแยกออกมาจากแม่น้ำเซียง มันอ้อมเนินนี้ไป ไหลเข้าไปในหมู่บ้านพ่ะย่ะค่ะ ในวันปกติชาวบ้านต่างก็ใช้น้ำจากในแม่น้ำเส้นนั้น”
เป็นเช่นนี้จริงๆด้วย
พวกเขาเดินข้ามที่นาลักษณะโค้งนี้ไปอย่างช้าๆ เท้าทั้งสองข้างของเฉินเสียนเหมือนผูกติดไว้กับปูน ทุกๆครั้งที่ยกเดินทั้งหนักทั้งหน่วง
หัวโค้งมีเนินเขาอยู่หนึ่งลูก มีแค่ทางเดินเส้นนี้ที่สามารถอ้อมเนินเดินคดเคี้ยวข้ามไป
ขณะที่ยืนอยู่บนเนินนั้น ได้ยินเสียงน้ำไหลเลือนราง
ลำธารเล็กๆนี้แยกออกมาจากแม่น้ำเซียงที่เป็นแม่น้ำสายหลัก ไม่ได้ไหลผ่านประตูระบายน้ำที่มีหนูตายเป็นจำนวนมากอยู่นอกเมือง ฉะนั้นสารที่ปนเปื้อนมาในน้ำไม่ได้รุนแรงมากขนาดนั้น แต่ก็ไม่สามารถกำจัดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์ได้
ชาวบ้านอ้อมเนินเดินไปนำทางด้านหน้า เฉินเสียนเริ่มเข้าใจสถานการณ์โรคระบาดในหมู่บ้านแล้ว
สถานการณ์ของหมู่บ้านยังไม่ได้ร้ายแรงมาก ตอนนี้ยังไม่ถึงกับร่างกายเขียวม่วงและเน่าเปื่อย และก็ไม่ได้อาเจียนออกมาเป็นเลือด ส่วนมากคือมีไข้ ไอ ส่วนชาวบ้านที่ตายด้วยโรคระบาดคือผู้สูงอายุที่ร่างกายอ่อนแอ
ชาวบ้านเดินไปอธิบายไป ไม่ทันได้ระวังถึงดินเหนียวที่อยู่บนเนินเขาปริแตกแยกออกมา ด้วยเหตุที่ว่ารับน้ำหนักไม่ไหว และมันค่อยๆแยกกันกลายเป็นรอยต่อ
รอยแยกนั้นยิ่งแตกก็ยิ่งเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น เสียงเล็กๆดังออกมาก็ถูกเสียงน้ำไหลจากลำธารข้างๆกลบเสียหมด
เมื่อเข้าใกล้ลำธารขึ้นเรื่อยๆ เสียงน้ำก็ดังขึ้น เสียงที่ชาวบ้านพูดก็เลยต้องปรับให้ดังขึ้น
ในช่วงที่พวกเขายังเดินไม่พ้นทางเดินโคลนเลนเส้นนี้ จู่ๆบนศีรษะก็มีเงามืดลางๆปกคลุมลงมา
เฉินเสียนเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นดินเหนียวสีเทาอมน้ำตาลพวกนั้นลักษณะเหมือนคลื่น กวาดจากด้านบนลงมาด้วยอานุภาพขนาดใหญ่
ทหารติดตามตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกจากด้านหลัง:“องค์หญิงระวังพ่ะย่ะค่ะ!”
คอมเม้นต์