ข้าคือหงส์พันปี – บทที่327 เธอยังคงคาดคิดว่าเขาจะกลายเป็นคนสารเลวคนหนึ่งได้
เฉินเสียนได้ยินเรื่องสอดรู้สอดเห็นของหญิงสาวที่เป็นผู้ลี้ภัยครั้งสองครั้ง พูดไปพูดมาก็ไม่หนีฉินหรูเหลียงกับซูเจ๋อเลย เดิมอารมณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้ว เลยยืนหยัดจนถึงตอนสุดท้ายโดยทันที
เวลาต่อมา หญิงสาวที่เป็นผู้ลี้ภัยน้อยคนที่จะไปให้ซูเจ๋อตรวจรักษาโรคให้ โดยพื้นฐานล้วนแล้วมาหาเฉินเสียน
หลังจากใช้ชีวิตเช่นนี้อยู่นอกเมืองไม่กี่วัน แน่นอนว่าหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำรู้ว่าองค์หญิงจิ้งเสียนอยู่ด้านนอกเมือง ผู้ลี้ภัยที่อยู่นอกเมืองก็ถูกจัดให้อยู่อย่างเหมาะสมชั่วคราว
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกลัวว่าผู้ลี้ภัยจะบีบบังคับเข้ามาในเมือง เพราะฉะนั้นเลยไม่กล้าเปิดประตูเมืองออก
แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะปิดกั้นองค์หญิงจิ้งเสียนให้อยู่ด้านนอกเมืองได้ตลอดไปเช่นกัน
อีกทั้งมีพระราชโองการเร่งด่วนจากเมืองหลวงต้องการให้องค์หญิงจิ้งเสียนกลับเข้าเมืองหลวงโดยทันที
เห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้านนอกเมืองนับว่าสงบลงแล้ว วันนี้ปกติสุขดี หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำสีหน้าอิ่มเอิบอยู่บนศาลาบนประตูเมือง มองผู้ลี้ภัยจากด้านบนมาด้านล่าง และยังมีพวกเขาเฉินเสียนด้วย
พอผู้ลี้ภัยเห็นหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำ ทันใดนั้นทั้งเกลียดชังทั้งจำใจไม่มีทางเลี่ยง อารมณ์เกิดปะทุขึ้นมาทันที เกิดเสียงประฌามขึ้น สั่งให้หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำเปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวขึ้นว่า“ข้ารู้ว่าทุกคนอยู่ในภาวะลำบาก แต่ในเมืองของข้าก็มีอาณาประชาราษฎร์ไม่น้อย หากปล่อยให้พวกเจ้าเข้าไปแล้ว อาณาประชาราษฎร์ด้านในเมืองจะทำเยี่ยงไรเล่า?”
ผู้ลี้ภัยไม่พอใจด่าทอขึ้นว่า“พวกท่านเป็นขุนนางที่กินสินบน ขุนนางหมา เบียดบังผลประโยชน์ใส่ตัว ซ่อมเขื่อนราวกับกากเต้าหู้ ถึงได้ทำให้น้ำท่วมพังทลายเขื่อน ทำให้ทุกคนไม่มีเรือนให้กลับ!”
“ไม่เจียมตัว!ภัยธรรมชาติน้ำท่วม มนุษย์สามารถต้านทานได้ที่ไหนกันเล่า?!พวกเจ้าไม่ควรอ้างเหตุผลผิดหลักตรรกะหลอกผู้คน!”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวด่าด้วยความโมโหเกรี้ยวกราด แล้วรีบเปลี่ยนบทสนทนา กล่าวขึ้นว่า“ขอถามหน่อยองค์หญิงจิ้งเสียนอยู่ที่ใดกัน?”
เฉินเสียนยืนอยู่เป็นผู้นำของผู้ลี้ภัย กล่าวขึ้นว่า“ใต้เท้าหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำมีสิ่งใดที่จะแนะนำหรือ?”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำมองลงมาด้านล่างอย่างละเอียด พบว่าหญิงผู้ที่มีผิวขาวละมุน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นนั่น เลยกล่าวพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า“กระหม่อมสามารถเปิดประตูเมือง ต้อนรับองค์หญิงจิ้งเสียนเข้าเมืองได้ แต่ว่าบุคคลอื่นเข้าไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนขำขันกล่าวขึ้นว่า“บุคคลอื่นคือคนไหนกันเล่า?”
เธอชี้ไปที่บุคคลที่อยู่ข้างกายตัวเอง แล้วกล่าวอีกว่า“ท่านนี้คือแม่ทัพใหญ่ของต้าฉู่ ท่านนี้คือทูตที่ราชสำนักแต่งตั้งมา ยังมีท่านนี้ที่เป็นรองท่านทูต และเหล่านี้คือทหารใหม่ ความหมายของใต้เท้าคือพวกเขาก็ล้วนเข้าไปไม่ได้ใช่หรือไม่?”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำฟังที่เฉินเสียนรายงานยศถาบรรดาศักดิ์ ต่อให้การเตรียมล่วงหน้ากับคนของราชสำนักเหล่านี้ไม่ได้มีการรวบรวมอะไรไว้ด้วยกัน ตัดทหารใหม่เหล่านั้นออกไป ไม่ว่าผู้ใดโดยภายนอกแล้วเขาล้วนไม่กล้าทำให้ไม่พอใจ
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวขึ้นว่า“บุคคลอื่นแน่นอนว่าเป็นผู้ลี้ภัยเหล่านั้น ที่เดินทางมาร่วมกันองค์หญิงสามารถเข้าเมืองได้อย่างราบรื่นพ่ะย่ะค่ะ”
พอกล่าวออกมา แน่นอนว่าผู้ลี้ภัยไม่ยินยอม
พวกเขาไม่สามารถเบิกตามององค์หญิงจิ้งเสียนเข้าเมืองได้ เพียงแค่องค์หญิงจิ้งเสียนไป เช่นนั้นหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำยิ่งไม่ให้พวกเขาเข้าเมือง
ถึงเวลานั้นพวกเขาต้องหิวโซและหนาวตาย
ผู้ลี้ภัยอยู่ด้านล่างอารมณ์วู่วามด่าทอว่า“ท่านเป็นขุนนางหมาเห็นชีวิตผู้คนเป็นวัชพืช !ไม่ช้าก็เร็วท่านต้องถูกเบื้องบนลงโทษ!”
จะคิดที่ไหนกันเล่าหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำมีการเตรียมการไว้ตั้งนานแล้ว ตอนที่ผู้ลี้ภัยด่าทอไม่หยุด ไปที่ https://th.booktrk.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! เตรียมยิงที่ต้นตอของเรื่อง ได้ตลอดเวลา
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวขึ้นว่า“ใครยังกล้าบ้าตำหนิใสร้ายข้าอีก อย่ามาโทษว่าข้าออกคำสั่งยิงธนู!”
เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตระหนกทันที เสียงด่าทอเลยค่อยๆหยุดลง
เฉินเสียนหรี่ตามอง เงยหน้าขึ้นมองหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำที่พึงพอใจอยู่ด้านบนศาลาประตูเมือง แล้วกล่าวขึ้นว่า“ใต้เท้าสง่าน่าเกรงขามเสียจริงนะ”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวขึ้นว่า“องค์หญิงจิ้งเสียนไม่เข้าใจ สถานที่ที่มีปัจจัยย่ำแย่สร้างบุคคลที่ชั่วช้าสับปลับขึ้นมา ช่วงเวลาที่วิกฤตเกิดความวุ่นวายมีเพียงวิธีการที่ไม่ธรรมดาถึงจะสามารถสั่งสอนลงโทษพวกเขาได้”
เหล่าผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านล่างกล้าที่จะโมโหแต่มิกล้ากล่าววาจาออกมา
แววตาเฉินเสียนอึมครึม กล่าวขึ้นว่า“ใต้เท้าไม่เอาใจใส่พวกเขา หรือว่าจะปล่อยไม่รู้ไม่ชี้ให้พวกเขาอยู่นอกเมืองแล้วเกิดเองตายเองหรือ?”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวขึ้นว่า“การรับอาณาประชาราษฎร์ในเมืองมีขอบเขตจำกัดพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้มีความอดอยากขาดแคลน อาณาประชาราษฎร์ที่อยู่ในเมืองก็ยังดูแลเอาตัวเองไม่รอดเลยพ่ะย่ะค่ะ จะสามารถเพิ่มคนเข้าไปอีกได้อย่างไรเล่า ขอให้องค์หญิงจิ้งเสียนเห็นอกเห็นใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็มิได้มีทางเลือกพ่ะย่ะค่ะ ”
“ดีจริงนะ มิได้มีทางเลือก ”เฉินเสียนกล่าวว่า “แต่ข้าอยู่ในเมืองหลวงได้ทราบว่า เจียงหนานเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ พ่อค้าเดินทางไปมาค้าขายต่างถิ่นและคนที่มาท่องเที่ยวมากมายนับไม่ถ้วน โรงเตี๊ยมในเมืองมากมายราวกับหลังฝนตกแล้วจะมีหน่อไม้ผุดตอขึ้นมา ในเมื่อเวลานี้มีความอดอยากขาดแคลน โรงเตี๊ยมน่าจะไม่มีแขกอะไรมาพักหรอก ว่างก็ว่างอยู่ น่าจะลองนำมาทำเป็นที่พักให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ดูนะ ให้พวกเขาบังลมหลบฝน เป็นบุญกุศลอย่างหนึ่ง”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำสีหน้าเปลี่ยนสี กล่าวขึ้นว่า “กล่าวแล้วว่าไม่มีสถานที่มากมายก็คือไม่มี หากองค์หญิงจิ้งเสียนไม่เชื่อ เข้าเมืองแล้วดูด้วยตัวเองก็รู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้มีมือธนูอยู่ องค์หญิงจิ้งเสียนกับท่านแม่ทัพ และทูตเข้าเมือง คาดว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้ก็ไม่กล้าที่จะหุนหันพลันแล่นหรอกพ่ะย่ะค่ะ มิฉะนั้นผ่านหมู่บ้านนี้ไปแล้วก็อาจจะไม่มีโรงเตี๊ยมนี้แล้ว”
ผู้ลี้ภัยไม่มีวิธีการชักจูงหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำ ต่างทยอยคุกเข่าอ้อนวอนเฉินเสียน กล่าวร้องทุกข์ว่า“องค์หญิงจิ้งเสียน กราบขอร้องพระองค์ ยังไงต้องไม่ทิ้งพวกเรานะ !หลังจากที่พระองค์เข้าเมืองแล้ว ขุนนางหมานี่ยิ่งไม่สนใจใยดีพวกเราแล้ว จะทำให้พวกเราทั้งหมดตายอยู่ที่นี่ !องค์หญิงจิ้งเสียนพาพวกเราเข้าเมืองด้วยเถิด!”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวขึ้นว่า“หากพวกเจ้ากล้าเข้ามาวุ่นวาย ข้ายิงธนูได้ตลอดเวลา องค์หญิงจิ้งเสียน ไม่จำเป็นต้องเอาชื่อเสียงตำแหน่งของตัวเองไปเสี่ยงอันตรายกับพวกกลับกลอกเหล่านี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงคิดให้ละเอียดรอบคอบสักนิดหนึ่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ ด้านบนศาลาประตูเมืองมีทหารคุ้มกันเมืองเกาะติดเข้ากะอยู่ตลอด องค์หญิงคิดได้เมื่อไหร่ ก็สั่งให้ทหารคุ้มกันเมืองรายงานให้กระหม่อมทราบนะพ่ะย่ะค่ะ ถึงเวลานั้นกระหม่อมจะมาต้อนรับองค์หญิงอีกครั้ง”
พูดจบแล้วหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำไม่ล่าช้าเสียเวลาสักประเดี๋ยวเดียว รีบเดินลงจากศาลาบนประตูเมือง ออกไปจากตรงนั้น
มือธนูอยู่บนศาลาประตูเมืองก็ค่อยๆถอนกลับลงไป
เฮ่อโยวกล่าวด้วยความโมโหว่า“ดูแล้วหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำเอาจริง ผู้ลี้ภัยคนเดียวก็ไม่ให้หลุดเข้าไปได้ ตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรเล่า?”
ฉินหรูเหลียงกล่าวขึ้นว่า “สามารถแกล้งตอบตกลงเข้าเมือง รอเวลาที่ประตูเมืองเปิดแล้ว คิดหาวิธีควบคุมมือธนูบนศาลาประตูเมือง เช่นนี้ก็สามารถพาเหล่าผู้ลี้ภัยทะลวงเข้าเมืองได้แล้ว”
เฉินเสียนมองไปทางเขา แล้วกล่าวถามว่า“เช่นนั้นหลังจากเข้าไปในเมืองแล้วล่ะ? ยังต้องต่อสู้กับขุนนางทางราชการในเมืองต่อหรือไม่? นี่ไม่ใช่การสู้รบ ไม่สามารถกระทำการยึดครองได้ ทำได้เพียงคิดหาหนทางอย่างช้าๆ มีเพียงทำให้ขุนนางทางราชการในเมืองยอมรับพวกเขาอย่างแท้จริง หลังจากพวกเราไปแล้วถึงไม่ปฏิเสธผู้ลี้ภัยเหล่านี้ให้อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแสนเข็ญ”
ซูเจ๋อที่ไม่กล่าวพูดมาโดยตลอด กล่าวขึ้นว่า“อาเสียนพูดมีเหตุผล”
เฮ่อโยวมองซูเจ๋อแล้วถามว่า“เช่นนั้นบัณฑิตมีวิธีที่ดีหรือไม่?”
ซูเจ๋อไตร่ตรองแล้วกล่าวขึ้นว่า“พรุ่งนี้เตรียมตัวเข้าเมืองเถิด”
ทุกคนล้วนชะงักงัน
เฉินเสียนหันศีรษะไปก่อน เธอไม่หันกลับมาเลยแล้วกล่าวขึ้นว่า“ต้องการเข้าเมืองท่านเข้าเองนะ ท่านสามารถทิ้งพวกเขาไว้ไม่สนใจ แต่ข้าทำไม่ได้”
ยามค่ำคืน เฉินเสียนรีบเข้าไปในรถม้า แต่พลิกไปมานอนไม่หลับ
เธอรู้ว่าซูเจ๋อไม่มีทางรักตัวกลัวตายพาตัวเองเข้าเมือง แต่เธอยังคงคาดคิดว่าเขาจะกลายเป็นคนสารเลวคนหนึ่งได้
เธอไม่เพียงแค่ทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจ และก็ยังทำให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขด้วย
เธอไม่อนุญาตคนอื่นเหยียดหยามเขา ตีค่าเขาต่ำลง แต่ตัวเธอเองกลับทำเช่นนี้
ภายในใจไม่สบอารมณ์มาโดยตลอด พัวพันอยู่ ขบคิดซ้ำไปซ้ำมา อีกด้านเจ็บปวดใจ อีกด้านเฉยชา เฉินเสียนไม่รู้ว่าเหตุใดตอนนี้ตัวเองถึงได้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้แล้ว
เวลาต่อมาเฉินเสียนสัมผัสได้ว่าด้านนอกหน้าต่างรถม้ามีคน
เธอลุกขึ้นอย่างมีไหวพริบเฉียบแหลม แท้ที่จริงแล้วกำลังจะเปิดผ้าม่านขึ้นดู ทันใดนั้นก็มีเสียงอยู่ด้านนอกหน้าต่างที่เป็นห่วงเพราะความคิดถึงดังขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า“อาเสียน นอนหรือยัง”
เป็นซูเจ๋อที่อยู่ด้านนอก
คอมเม้นต์