ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 353 ท่านเป็นพ่อเลี้ยงเหี้ยมเกรียม
จากนั้นซูเจ๋อกล่าวอีกว่า “หากแม่ทัพฉินกับคุณชายเฮ่อจะกลับไป ข้าจะไม่ขัดขวางเด็ดขาด”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ในเมื่อหัวใจทุกคนไม่ประสานเป็นหนึ่งเดียว ไยต้องลงใต้ด้วยเล่า มิสู้กลับเรือนใครเรือนมันเสียจะดีกว่า”
เธอมีความทัศนคติในเชิงลบ ขาดความกระตือรือร้นเช่นนี้น้อยมาก
ยามที่เดินทางมาถึงจุดพักรถม้าในชนบท พวกเขาเข้าพักเรือนเดี่ยว ซึ่งมีสี่ห้องนอนพอดี
ซูเจ๋อพาเฉินเสียนเข้าห้องเฉกเช่นปกติ หมายจะวางเธอไว้บนเตียง
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าไม่อยากนอน ข้าอยากนั่ง”
“ได้”
ดังนั้นซูเจ๋อจึงอุ้มเธอไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วมัดเธอไว้กับเก้าอี้ตัวนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้อย่าว่าแต่เฉินเสียนสามารถถูเชือกริบบิ้นกับเก้าอี้ให้ขาดได้เลย แค่ขยับกายเล็กน้อยก็ยากแล้ว
สองขาของเธอถูกมัดติดกับฐานเก้าอี้ แค่ยืนก็เป็นปัญหาแล้ว
อารมณ์เฉินเสียนพลุ่งพล่านด้วยความโมโห กล่าวว่า “ท่านระวังข้าเพียงนี้เลยหรือ? วรยุทธของท่านเหนือกว่าข้า วิ่งเร็วกว่าข้า ข้าคู่ควรให้ท่านระวังตรงไหน”
ซูเจ๋อกล่าว “ข้าไม่ได้ระวังท่าน ข้าเพียงระวังบังเอิญที่ไม่คาดฝัน”
“ก่อนหน้านี้ข้ายังค่อยย้ำเตือนตัวเองเสมอ ต้องคิดถึงหัวอกท่านบ้าง ตอนนี้เห็นทีท่านทั้งดื้อทั้งไม่มีเหตุผลกว่าข้าอีก”
ซูเจ๋อไม่แยแสต่อความโกรธของเธอ กล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านนั่งก่อน ประเดี๋ยวข้าก็กลับมา”
เห็นซูเจ๋อจะออกไป ความคิดเฉินเสียนก็บังเกิด กล่าวโดยทันทีทันใดว่า “ฟ้ามืดแล้ว ข้าไม่ชอบความมืด ท่านจุดไฟก่อนแล้วค่อยไป”
ซูเจ๋อมองท้องฟ้าก็ใกล้จะค่ำแล้วจริงๆ ปล่อยให้เฉินเสียนอยู่ห้องคนเดียวเกรงว่าจะยิ่งบั่นทอนจิตใจ ฉะนั้นซูเจ๋อจึงสาวเท้าไปข้างโต๊ะแล้วจุดเทียนก่อนออกไป
เก้าอี้ที่เฉินเสียนนั่งยังห่างจากโต๊ะระยะหนึ่ง เธอเอื้อมไปไม่ถึง
เธอมองซูเจ๋อออกไปอย่างสง่าผ่าเผยโดยที่ทิ้งเธอไว้คนเดียว
ซูเจ๋อยืนเคาะประตูห้องของเฮ่อโยว
เฮ่อโยวกำลังกลัดกลุ้มกับถ้อยคำของเฉินเสียนเมื่อตอนกลางวัน เขาคาดไม่ถึงว่าซูเจ๋อจะมาหาเขา จึงอึ้งอยู่หน้าประตู ไม่รู้ว่าควรออกไปหรือเข้าห้องดี
ซูเจ๋อกล่าวเสียงเรียบเฉย “เข้าไปคุยกัน”
“ออ” เฮ่อโยวหลีกทางให้เขา
ฝั่งเฉินเสียน เมื่อซูเจ๋อไม่อยู่ตรงหน้า เธอก็สามารถสงบจิตสงบใจ ไม่ใช่สักแต่จะโมโหท่าเดียว
เธอรวบรวมสมาธิคิดหาหนทางแก้มัดเชือกของตัวเอง
โชคดีที่ก่อนซูเจ๋อจะออกไป เธอเรียกร้องให้จุดไฟ เชือกริบบิ้นบนมือถึงจะมัดแน่นแค่ไหน เมื่อเจอไฟก็ต้องติดแน่นอน
เทียนบนโต๊ะคือตัวช่วยชิ้นสำคัญ
ฉะนั้นเมื่อซูเจ๋อออกไป เฉินเสียนก็นิ่งเฉย
เฉินเสียนพยายามสุดแรงเพื่อจะได้เข้าใกล้โต๊ะ แต่ก็ยังคงห่างกันช่วงหนึ่ง
ต่อมาเธอกัดฟันสู้ ใช้ปลายนิ้วดึงผ้าปูโต๊ะมายังทิศทางของตนสำเร็จ
ชั่วพริบตานั้นเชิงเทียนขาดความสมดุลจนล้มลงมาอยู่บนผ้าปูโต๊ะ ไปที่ https://th.booktrk.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! ไฟรีบติดสิ ต้องติดมาทางนี้นะ
เธอจะได้แก้เชือกริบบิ้นออกเสียที
ไฟบนโต๊ะค่อยๆขยายกว้างขึ้น เมื่อสะเก็ดไฟหล่นใส่เก้าอี้ข้างโต๊ะ
ซึ่งเก้าอี้แต่ละตัวก็ปูด้วยผ้าทั้งหมด ยามนี้เก้าอี้ก็ติดไฟบ้างแล้ว
ไม่นานภายในห้องเต็มไปด้วยแสงสว่างจากกองไฟ
ตอนที่ซูเจ๋อกลับเข้ามาก็เห็นกองไฟรายล้อมเฉินเสียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโดดๆ
เขาดึงผ้าที่ติดไฟทั้งหมดลงพื้นด้วยสีหน้าแปลกประหลาด รอให้ไฟเผาผลาญจนมอดไหม้ก็เสร็จเรื่องแล้ว
เขาดึงเชิงเทียนที่ล้มลงขึ้นมาตั้ง กล่าวด้วยเสียงลึกล้ำยากจะหยั่งถึง “ท่านทำมันล้ม?”
เฉินเสียนก้มหน้าไม่ตอบเป็นเวลานาน
ซูเจ๋อกล่าวเสียงเรียบอีกว่า “หากข้ามาช้ากว่านี้ ท่านไม่เผาตัวเองตายหรอกหรือ เห็นทีว่าข้าคงมัดท่านไม่แน่นพอ”
เขาพูดไปพลาง แก้เชือกริบบิ้นไปพลาง ทำท่าจะมัดเฉินเสียนให้แน่นกว่าเดิม
“เหตุใดจึงไม่พูด ข้าเข้าใจท่านผิดหรือ?” ซูเจ๋อโน้มตัวไปหาเธอ เห็นเธอก้มหน้าก็ใจอ่อน ปรับสีหน้าให้อ่อนโยน ก่อนจะยื่นมือช่วยเธอจัดผม
จากนั้นยังไม่ทันดึงมือกลับ ของเหลวอุ่นๆก็หยดใส่หลังมือของซูเจ๋อ
มือของซูเจ๋อค้างอยู่อย่างนั้น
ต่อด้วยหยดที่สอง หยดที่สาม
หยดลงมาโดนหลังมืออย่างไม่หยุดหย่อน
ซูเจ๋อปัดเส้นผมเธอออก ก่อนจะจับใบหน้าเธอขึ้นมา และแล้วก็เห็นดวงตาเอ่อล้นไปด้วยหยดน้ำตา
การมองเห็นของเฉินเสียนพร่ามัวเพราะมีแสงหยาดน้ำตาปิดบัง มองใบหน้าซูเจ๋อไม่แจ่มชัด เห็นเพียงเงาดำปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
ซูเจ๋อกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “อย่าร้อง ครั้งหน้าไม่ปล่อยให้ท่านอยู่ให้ห้องคนเดียวแล้ว เมื่อครู่ข้าก็ไม่ได้จากไปไกล แค่ไปคุยกับเฮ่อโยวไม่กี่คำ”
เขาใช้น้ำเสียงอ่อนโยนปลอบประโลมเธอ
เฉินเสียนกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ใจท่านรู้ว่าข้าร้องไห้ทำไม”
ซูเจ๋อกล่าว “ท่านไม่สู้ก่นด่าข้าเหมือนเมื่อก่อน โกรธข้าเหมือนเมื่อก่อนจะดีกว่า”
เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยระลึกความหลังด้วยเสียงสะอื้น “ข้าจำได้ว่า ตอนข้าออกจากเมืองหลวง เจ้าน่องน้อยอายุแค่ครึ่งขวบ เขาเห็นข้าจะไป เขาก็ร้องไห้หนักมาก ข้าคิดว่าไม่นานก็ได้กลับไป คาดไม่ถึงว่าเวลาล่วงผ่านมาครึ่งปีแล้ว”
“ยามนี้เจ้าน่องน้อยอายุหนึ่งขวบแล้ว ข้าไม่รู้ว่าหน้าตาเขาจะเปลี่ยนเป็นเช่นไร” เฉินเสียนกล่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
“ใช่ ยามที่ข้ารู้ว่ามีเขาในท้อง ข้ากลัดกลุ้มมาก ไม่มีความรู้สึกต่อเขา แต่เวลาผ่านไป เขาค่อยๆเติบโตในท้องของข้า”
“ยามที่ข้าให้กำเนิดเจ้าน่องน้อย ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด ข้าใช้เวลาเนิ่นนานไปคิดทบทวนว่าบิดาของเขาเป็นใคร แต่พวกนั้นก็ไม่จำเป็น ข้าปล่อยวางแล้ว ข้ารู้เพียงว่าเจ้าน่องน้อยคือเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า”
“ซูเจ๋อ ท่านให้ข้าละทิ้งเขา ไม่รู้สึกโหดร้ายไปหน่อยหรือ? ยามนี้ข้ารู้ทั้งรู้ว่าเขามีอันตราย รู้ว่าเขาอยู่ในเงื้อมมือผู้อื่น แต่ข้ากลับไม่ทำอันใดเลย”
ซูเจ๋อได้ยินเสียงสะอื้นของเฉินเสียน น้ำตาของเธอยังคงหยดลงมาไม่ขาดสาย คล้ายกับโดนมือหนาวเย็นของเขา
ซูเจ๋อกล่าวว่า “อาเสียน ข้าเคยบอกแล้ว ขอเพียงท่านปลอดภัย เขาก็จะปลอดภัย เจ้าน่องน้อยคือหมากที่ใช้ข่มขู่ท่าน จักรพรรดิไม่เอาชีวิตเขาหรอก”
“ท่านไม่รู้ว่าเวลาสุนัขจนตรอกขึ้นมาจะกระโดดใส่กำแพงเหรอ” เฉินเสียนกล่าวว่า “หากจักรพรรดิฆ่าเขาจริงๆล่ะ?”
เธอมองเขาด้วยน้ำตา “อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่ลูกชายท่าน ท่านไม่รู้สึกปวดใจ ท่านมันโหดร้าย สามารถทอดทิ้งได้ทุกคน”
ซูเจ๋อถอนหายใจ “ไม่ใช่ลูกชายของข้าได้อย่างไร”
“แต่ท่านก็เป็นเพียงพ่อเลี้ยง ท่านยังตั้งชื่อเจ้าน่องน้อยว่า ซูเซี่ยน ข้าว่าท่านก็พูดดีแต่ปากเท่านั้นเอง” เฉินเสียนเริ่มร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง “พูดตรงๆก็คือ ท่านไม่ได้เห็นเขาเป็นลูกชายของท่านจริงๆ”
ซูเจ๋อเช็ดน้ำตาให้เธอ ซึ่งเช็ดยังไงก็เช็ดไม่หมด
เขาเอ่ยเสียงเบาบาง “ยังจำที่ข้าพูดครั้งก่อนได้ไหม ถึงแม้เจ้าน่องน้อยจะเป็นลูกชายแท้ๆของข้า แต่ก็สำคัญไม่เท่าท่าน หากถึงยามที่ต้องสละทิ้ง ท่านก็ต้องทำใจ”
“เจ้าน่องน้อยกับข้ามีความผูกพันทางสายเลือด หัวใจสื่อถึงกัน จะให้ข้าทอดทิ้งง่ายๆได้อย่างไร?”
ซูเจ๋อเงียบเป็นเวลานาน ระหว่างคิ้วเผยความลังเล พลางกล่าว “ใช่ ผูกพันทางสายเลือด หัวใจสื่อถึงกัน จะตัดใจง่ายๆได้อย่างไร เป็นเพราะข้าประเมินผิดพลาดตั้งแต่ต้น คิดว่าสามารถตัดขาดอย่างง่ายดาย”
คอมเม้นต์