ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 425 ไม่คิดจะกอดข้าหรือ
“เฮ่อฟั่งค่อนข้างใจร้อน วันนั้นเขาเข้ามาและใช้เครื่องทรมานนิดหน่อย” ซูเจ๋อกล่าว “ถูกโบยแค่ยี่สิบครั้งถือว่าเล็กน้อย ข้ายังทนได้ อาเสียนอย่าห่วงไปเลย เลือดหยุดไหลไปนานแล้ว ตอนนี้ไม่รู้สึกเจ็บแล้วด้วย”
ถูกโบยยี่สิบครั้ง… เฉินเสียนหูอื้อไปชั่วขณะ
ยากที่เธอจะจินตนาการได้ว่าสภาพตอนที่ซูเจ๋อถูกทรมานนั้นเป็นเช่นไร เฮ่อฟั่งลงมืออย่างไร้ซึ่งความเมตตา แส้ที่โบยลงมาบนตัวซูเจ๋อจะต้องทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส เลือดหยดลงมา…
น่าเสียดายที่เธอเพิ่งจะมารู้วันนี้ เธอเจ็บปวดหัวใจราวกับว่าเลือดเนื้อของเธอถูกโบยด้วยแส้
“ทำไมพวกเขาไม่บอกข้า ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมต้าหลี่ไม่เห็นบอกข้าว่าท่านได้รับบาดเจ็บ… ไม่มีใครพูดถึงเลย…”
“ก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ได้หนักหนาอะไร”
“หลังจากนั้นล่ะ เฮ่อฟั่งได้ลงมือกับท่านอีกหรือไม่”
“ต้องขอบคุณอาเสียน หลังจากนั้นเขาก็ไม่มีเวลามาลงมือกับข้าอีก”
“เฮ่อฟั่ง” เฉินเสียนเอ่ยอย่างเคียดแค้น “บาดแผลที่เขาทำไว้กับท่าน วันข้างหน้าข้าจะเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า ข้าอยากจะหั่นเขาให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้เขารู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น”
ซูเจ๋อตกตะลึง เพราะทันใดนั้นหยดน้ำอุ่นๆ ก็ไหลลงมาจากเบ้าตาของเฉินเสียนและหยดลงบนหลังมือของเขา ทำให้หัวใจของเขาร้อนรุ่ม
เฉินเสียนกัดฟันกรอด ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่ลำคอ เธอก้มหน้าลงอย่างถือทิฐิ แต่น้ำตากลับไหลรินลงมาไม่หยุดเหมือนเส้นด้ายขาดๆ
เธอแสร้งทำเป็นโหดร้ายและหยาบคาย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ทนไม่ไหว
ไม่ว่าซูเจ๋อจะเช็ดน้ำตาให้เธออย่างไร เธอก็หยุดน้ำตาของตัวเองไม่ได้
ซูเจ๋อถอนหายใจเบาๆ และเอ่ยว่า “วันที่บุกค้นบ้าน คิดๆ ดูแล้วข้าไม่ควรสวมชุดสีขาวเลย ถ้าใส่ชุดสีดำท่านคงจะมองไม่เห็นคราบเลือดเหล่านี้”
เฉินเสียนกุมมือของเขาไว้แน่นและแนบไว้บนใบหน้าของตนเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าซูเจ๋อ เธอขดตัวเล็กน้อยและสะอื้นไห้ด้วยความทุกข์ใจ
เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมากยามที่ยังไม่เจอซูเจ๋อ แต่ตอนนี้เมื่อเจอเขาแล้ว แนวป้องกันทั้งหมดที่มีกลับพังทลายลง
ฉินหรูเหลียงไม่อยากจะเห็นภาพตอนที่เฉินเสียนกับซูเจ๋อได้พบกันอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงพยายามไม่มองและพยายามไม่สนใจ เขานั่งหันหลังให้พวกเขาอยู่คนเดียวที่โต๊ะ ทำเสมือนว่าตนเองเป็นมนุษย์ล่องหน
เฉินเสียนใช้ชีวิตอย่างไรในช่วงหลายวันมานี้ ฉินหรูเหลียงได้เห็นด้วยตาของตัวเอง นอกจากนี้เขายังคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอเสมอ
เธอปิดกั้นตัวเองกับเขาด้วยเปลือกนอกที่แข็งแกร่งจนแทบไม่มีทางทำลาย เธอวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยความสุขุมเยือกเย็นและจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างดี ทั้งหมดก็เพื่อช่วยซูเจ๋อ
ตั้งแต่ซูเจ๋อถูกจองจำจนถึงก่อนหน้านี้ เฉินเสียนไม่เคยหลั่งน้ำตาเลยแม้แต่หยดเดียว
แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้อย่างอัดอั้นตันใจของเธอ ได้ยินเธอร้องไห้เหมือนกับเด็กเล็กๆ ต่อหน้าซูเจ๋อ ฉินหรูเหลียงก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจขึ้นมา มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ กำเข้าหากันแน่น
ผู้หญิงคนนี้จะเปิดเผยด้านที่อ่อนโยนที่สุดของเธอเมื่ออยู่ต่อหน้าซูเจ๋อเท่านั้น
และมีเพียงซูเจ๋อเท่านั้นที่ทำให้เธอวิ่งวุ่นไปทั่วทุกหนทุกแห่งได้โดยไม่ยอมหยุดพัก ทำให้เธอร้องไห้ได้ไม่หยุดเหมือนอย่างเช่นตอนนี้
ความอ่อนโยนดั่งสายน้ำของเธอล้วนมีไว้ให้ผู้ชายที่ชื่อซูเจ๋อแต่เพียงผู้เดียว
ฉินหรูเหลียงรู้สึกขมขื่น หัวใจเหมือนถูกบีบรัดอย่างแรง ไปที่ https://th.booktrk.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน!
ยังมีอะไรที่เจ็บปวดไปกว่านี้อีก?
มือที่กำหมัดแน่นค่อยๆ คลายออก เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ายิ่งนักที่ทำให้เฉินเสียนได้ร้องไห้อย่างปลดปล่อยในอ้อมกอดของชายผู้หนึ่ง
ซูเจ๋อประทับริมฝีปากเย็นๆ ลงบนใบหน้าของเฉินเสียน ซึมซับน้ำตาบนใบหน้าของเธอ แล้วจุมพิตที่ดวงตาคู่นั้นก่อนที่น้ำตาจะมีโอกาสพรั่งพรูลงมาอีกครั้ง
ลมหายใจที่เข้าไปพัวพันทำให้เธอรู้สึกสั่นสะท้าน
เสียงของซูเจ๋อดังก้องอยู่ในหูของเธอ หยอกเธอว่า “อย่าร้องไห้เลย ใครเห็นจะหัวเราะเยาะเอาได้ ตอนนี้ข้าสบายดี”
“ซูเจ๋อ” เฉินเสียนร้องเรียกเขา “ซูเจ๋อ”
ไม่นานมานี้เธอเพิ่งค้นพบว่าการเรียกชื่อของเขามักจะทำให้เธอปวดใจอย่างไม่รู้จบ
ซูเจ๋อตอบเธอด้วยรอยยิ้มที่ยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก ถึงแม้จะดูอ่อนแรงลงไป แต่ก็ยังคงเป็นรอยยิ้มที่น่ารื่นรมย์และมีเสน่ห์ซึ่งทำให้เธอหลงใหล เขากล่าวว่า “ในเมื่อพยายามทุกวิถีทางเพื่อมาที่นี่เพราะคิดถึงข้า แต่ไม่คิดจะกอดข้าสักหน่อยหรือ”
“ข้ากลัวจะทำให้ท่านเจ็บแผล” เธอกลัว กลัวว่าความบุ่มบ่ามของตัวเองจะทำร้ายเขา กลัวว่าเขาจะเจ็บปวด
ดังนั้นแม้ว่าจะโหยหาแค่ไหน เธอก็ต้องระงับมันไว้
ซูเจ๋อขมวดคิ้วที่เรียวยาวของเขาเล็กน้อย เขามองเห็นความระแวดระวังและความโศกเศร้าที่เธออดกลั้นไว้ได้อย่างชัดเจน ดวงตาของเขาเป็นดั่งประกายไฟที่สลักเธอเอาไว้ด้วยประกายไฟเพียงริบหรี่
ในยามที่ไม่มีเฉินเสียนเขามักจะนิ่งเงียบและไม่แยแสสิ่งใด แต่เธอเป็นคนเดียวที่รบกวนเขาได้เสมอ
ทันใดนั้นซูเจ๋อก็ยื่นมือออกไป เขาใช้แขนโอบรอบเฉินเสียนไว้และดึงเธอเข้ามาแนบกาย
ซูเจ๋อจับมือทั้งสองข้างของเธอให้โอบรอบเอวของเขา กดศีรษะของเธอแนบอกให้เธอฟังเสียงหัวใจและเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “ถ้าอยากกอดก็กอดข้าแน่นๆ ความเจ็บปวดที่ผิวกายก็แค่เรื่องเด็กๆ อ่อนนุ่มไม่ต่างจากดินโคลนในฤดูใบไม้ผลิ”
เมื่อฟังเสียงหัวใจของเขา น้ำตาของเฉินเสียนก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
เฉินเสียนซุกหน้าอยู่ในอ้อมอกของเขา น้ำตาอุ่นๆ ค่อยๆ ไหลซึมลงไปในชุดและแผ่ซ่านไปจนถึงแผงอกกว้าง
ความร้อนรุ่มนั้นแผดเผาเข้าไปในหัวใจของซูเจ๋อและทรมานจิตใจของเขา
“ถ้ารู้แต่แรกว่าท่านบาดเจ็บข้าจะพกยามาด้วย”
“ต่อให้ไม่ใช้ยา ไม่ช้าก็เร็วแผลก็จะหายดี แต่แค่ต้องใช้เวลานานขึ้นอีกนิดหน่อย”
เฉินเสียนกอดเขาแต่ไม่กล้าออกแรงมากเกินไป เมื่อระงับความอยากไม่ไหวร่างกายของเธอจึงเกร็งขึ้นเล็กน้อยอย่างลังเล
ซูเจ๋อไม่กังวลเลยสักนิดเมื่อเทียบกับเฉินเสียน เขาจับไหล่ของเธอไว้และแทบทนไม่ไหวที่จะบดขยี้เธอให้หลอมรวมเข้ามาในร่างกายของเขา
แม้ว่าเขาจะอ่อนแรง แต่ถ้าเป็นเรื่องการโอบกอดเฉินเสียนแล้ว เขาจะไม่ออมแรงเด็ดขาด
ซูเจ๋อกล่าวว่า “อาเสียน ท่านกล้าหาญมิใช่น้อย ถึงขนาดกล้าปลอมตัวเข้ามาในศาลยุติธรรมต้าหลี่เลยทีเดียว”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ไม่ใช่แค่ความกล้าหาญ ตั้งแต่ท่านถูกจับมาจนถึงตอนนี้ ข้าไม่ได้คิดเลยว่าท้ายที่สุดแล้วจะยังมีชีวิตรอดหรือไม่ แน่นอนว่าข้าต้องทำใจกล้า ไม่เช่นนั้นข้ากลัวว่ามันจะสายเกินไป”
ซูเจ๋อประคองศีรษะของเฉินเสียนไว้ สอดปลายนิ้วที่ทั้งอุ่นและเย็นไว้ในเรือนผมของเธอ หายใจรดต้นคอที่ขาวเนียนราวกับสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังของเธอ เอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “ลำบากไหม”
เฉินเสียนส่ายศีรษะและบอกว่า “ข้าลืมไปแล้วว่าความยากลำบากเป็นเช่นไร ข้าแค่คิดว่าความหมดหนทางที่ข้าประสบมา ท่านต้องเคยผ่านมันมาแล้ว เพื่อช่วยเหลือข้า แม้ไม่มีหนทาง ท่านก็จะใช้สองมือของตัวเองกรุยทางให้ข้าจนเลือดไหลนอง”
เธอบอกว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดี พระเจ้ากำหนดเอาไว้แบบนี้ ข้ารู้ดีว่าท่านต้องพบเจอกับยากลำบากมามากแค่ไหน แต่บางทีสิ่งที่ข้าทำอาจจะไม่มีวันเทียบได้เลยกับสิ่งที่ท่านทำ”
เฉินเสียนนึกถึงธุระที่มาที่นี่ขึ้นมาได้และตั้งใจจะผละออกจากอ้อมกอดของซูเจ๋อ แต่ทำอย่างไรซูเจ๋อก็ไม่ยอมปล่อย เขาขยับมาแนบหูของเธอและกล่าวว่า “มีอะไรก็พูดทั้งแบบนี้แหละ ข้าได้ยิน”
เฉินเสียนกลับมาอิงแอบแนบกายเขาอีกครั้งและเอ่ยอย่างรักใคร่ว่า “ข้าไม่รู้ว่าควรช่วยท่านอย่างไร บางทีวิธีที่ข้าคิดไว้อาจจะไม่ได้เรื่อง ตอนนี้ในที่สุดก็ได้พบท่านแล้ว เลยอยากจะถามท่านว่าท่านมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่”
ซูเจ๋อดูเหมือนอาจารย์ผู้รอบคอบและมีความอดทนซึ่งค่อยๆ ตะล่อมสอนให้เธอได้เรียนรู้ เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นช่วยเล่าให้ข้าฟังทีว่าท่านคิดไว้ว่าจะทำอย่างไร”
คอมเม้นต์