ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 428 ตัดคอประหารชีวิต
เฉินเสียนมองเขาปราดหนึ่ง กล่าวด้วยความสัตย์จริงว่า “อา ไม่พออยู่แล้ว พลอดรักทั้งชาติก็ไม่พอ”
ฉินหรูเหลียงต้องทนดูเธอกับซูเจ๋อพลอดรักกันอยู่ข้างๆ ตอนนี้เฉินเสียนยังจงใจยั่วโมโหให้เขาอีก จึงกล่าวด้วยความเหลืออด “ท่านนี่จริงๆเลย จะทำให้ข้าตรอมใจตายแล้ว”
จากนั้นทั้งสองก็ไปยังห้องพักผ่อนของศาลยุติธรรมต้าหลี่
ทางผู้พิพากษาศาลยุติธรรมต้าหลี่กำลังอกสั่นขวัญแขวน เมื่อเห็นทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัยก็ถอนหายใจยาวๆด้วยความเบาใจ
เมื่อเฉินเสียนกับฉินหรูเหลียงเปลี่ยนจากชุดยามเฝ้าคุกมาเป็นเสื้อทหารคุ้มกันของจวนผู้พิพากษาศาลยุติธรรมต้าหลี่ ทุกคนถือโอกาสที่ยังเช้าอยู่รีบออกไปจากตรงนั้น
เมื่อออกจากจวนผู้พิพากษาศาลยุติธรรมต้าหลี่ เฉินเสียนกับฉินหรูเหลียงก็เปลี่ยนเป็นอาภรณ์ที่ใส่ตอนออกจากจวนเมื่อคืน
ตลาดสดยามเช้ามีร้านแผงลอยขายของกระจุกกระจิกกับอาหารมื้อเช้า ทั้งสองรับประทานอาหารเช้าออกมา เฉินเสียนพลันยืนอยู่บนถนนสีเทาขาวอันสะอาดสะอ้าน จากนั้นก็แหงนหน้ามองไปยังทิศบูรพา
ซึ่งทิศทางนั้นทอแสงพระอาทิตย์อันอบอุ่นที่หาได้ยากในเหมันตฤดู
จักรพรรดิไม่ได้รับรายงานข่าวการสอดแนมในจวนฉิน จึงเร่งคนไปถามไถ่ ผลสุดท้ายคือหาผู้สอดแนมในละแวกจวนฉินไม่พบ
ไม่เห็นเงากับร่องรอยสักคน
จักรพรรดิรู้สึกประหลาดใจพลันส่งคนออกตามหาบริเวณใกล้เคียงไปจนถึงทั่วทั้งเมืองหลวง ทว่าถึงกระนั้นก็ยังหาไม่เจอ
จักรพรรดิโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ฟาดโต๊ะแล้วกล่าวว่า “แค่จวนฉินก็จับตามองไม่ได้ ผู้สอดแนมหายกลางอากาศหรือ? ส่งคนไปสอดแนมใหม่”
ทว่ารายงานจากการสอดแนมก็คือ จวนฉินไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
หลังเฉินเสียนออกมาจากศาลยุติธรรมต้าหลี่ก็ไม่ค่อยออกจากจวน เธอแค่รอฟังข่าวอยู่เงียบๆ
พอวันที่ห้า ขุนนางชั้นสูงในราชสำนักถวายฎีกาฟ้องพรรคพวกเฮ่อฟั่งในโทษฐานทุจริต จึงทำให้มีผู้เข้าคุกจำนวนมาก ทั่วราชสำนักพากันแตกตื่นเป็นทอดๆ
วันที่หก จักรพรรดิส่งหัวหน้าไต่สวนคดีความของซูเจ๋อคนใหม่เข้าไป
พอถึงวันที่แปด เฉินเสียนยังไม่ได้ข่าวจากเมืองเจียงหนานส่งมาที่เมืองหลวง เธอก็ได้ข่าวลงอาญาของซูเจ๋อเสียแล้ว
เธอคิดว่าหัวหน้าไต่สวนคนใหม่มารับช่วงต่อ หากคิดจะปิดคดีก็คงต้องใช้เวลาหลายวัน ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าแค่เวลาสั้นๆสองวันก็จะปิดคดีแล้ว
แจ้งว่าหลักฐานทรยศชาติแน่นหนา ประหารชีวิตในเวลาอู่สือซานเค่อ (11:45น.)
หลักฐานดังกล่าวคือจดหมายติดต่อสื่อสารกับเป่ยเซี่ย เนื้อหาโดยรวมก็คือ องค์หญิงจิ้งเสียนพบเจอเภทภัย ราชสำนักต้าฉู่ไม่มั่นคง จึงเป็นโอกาสทองของเป่ยเซี่ยที่จะยกทัพมากอบโกยผลประโยชน์
เพื่อพิสูจน์ว่าซูเจ๋อมีความผิดจริง จึงนำลายมือในจดหมายมาเทียบกับฎีกาที่ซูเจ๋อเคยถวาย ซึ่งผลลัพธ์ก็คือตรงกันทุกระเบียบนิ้ว นอกจากจดหมายแล้ว ยังมีสิ่งของที่ได้รับจากเป่ยเซี่ยเป็นหลักฐานอีกด้วย
ถึงแม้ด้านนอกจวนฉินจะมีผู้สอดแนม แต่อย่างไรเสียก็มีจำนวนจำกัด ไม่อาจติดตามคนในจวนได้ทุกคน
ซึ่งข่าวนี้ฉินหรูเหลียงส่งคนออกไปสืบมา
เฉินเสียนนั่งอยู่บนเก้าอี้อันหนาวเหน็บ ดูคล้ายกับหายใจยากอย่างไรอย่างนั้น ไปที่ https://th.booktrk.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! ซูเจ๋อก็ไม่มีทางทิ้งลายมือที่เป็นหลักฐานมัดตัวความผิดของตัวเองหรอก หลักฐานดังกล่าวจึงสร้างขึ้นมาเอง เพียงเพื่อตบตาผู้คนเท่านั้น
เมื่อประกาศเรื่องนี้ออกมา ราษฎรต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ใหญ่โต
โรงน้ำชา โรงเหล้า ทุกตรอกทุกซอยก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องนี้อย่างไม่หยุดหย่อน ในเมื่อบัณทิตเป็นคนเขียนเองกับมือ เหตุใดจึงไม่ส่งไปที่เป่ยเซี่ย ไยถึงมาปรากฏในแคว้นต้าฉู่ได้?
ซึ่งคำตอบที่ราชสำนักให้แก่ราษฎรก็คือ หลักฐานพวกนี้ได้มาจากเป่ยเซี่ย
ราษฎรก็ไม่วายเกิดคำถามใหม่ขึ้น ในเมื่อบอกว่าท่านบัณฑิตสมคบคิดกับต่างแคว้นมาทรยศบ้านเมือง บอกว่าท่านบัณฑิตเป็นหนอนบ่อนไส้ แล้วเหตุใดเป่ยเซี่ยถึงออกมาชี้ตัวท่านบัณฑิตที่เป็นสายลับของตัวเองให้กับต้าฉู่ด้วย?
เฉินเสียนหัวเราะเยาะด้วยสีหน้ามืดครึ้ม กล่าวด้วยความขบฟัน “คิดว่าราษฎรโง่เขลาหลอกง่ายหรือ?”
วันที่แปดแล้ว เธอรอไม่ได้อีกต่อไป
ในยามราตรีเฉินเสียนสวมเสื้อคลุมแบบมีหมวกออกจากจวนกับฉินหรูเหลียงอย่างเร่งรีบ เมื่อออกจากประตูด้านหลังก็มีผู้สอดแนมติดตามทันที
พอมาถึงทางเลี้ยว ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา พลางกระซิบพูดกับเฉินเสียนว่า “เฮ้อ องค์หญิงท่านมาได้เสียที พวกเขารอท่านตั้งนานแล้ว พวกท่านรีบตามข้าไปเถอะ”
เจ้าของเสียงก็คือหลิวอีกว้า ตอนกลางวันเธอให้ข้ารับใช้ในจวนไปถ่ายทอดวาจาที่เรือ
เฉินเสียนยกมุมปากโค้งขึ้นอย่างเย็นเยียบและไปพร้อมกับหลิวอีกว้าทันที
ผู้สอดแนมด้านหลังคิดว่าเธอจะไปพบบุคคลลี้ลับ จึงติดตามอย่างไม่คลาดสายตา
เมื่อมาถึงตรอกอันมืดมิด นักฆ่าก็กระโดดลงจากฟากฟ้าพลันปลิดชีพผู้สอดแนมแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
ถึงแม้หลิวอีกว้าจะอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ทว่าก็ไม่ค่อยจะเห็นเลือดสดมากนัก
กลิ่นเลือดสดฟุ้งกระจายอยู่กลางอากาศจนทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียน ทว่าเฉินเสียนกลับมองเป็นเรื่องธรรมดา
เพื่อสะดวกในการจัดการร่องรอย ส่วนมากผู้สอดแนมจะถูกสังหารด้วยการจู่โจมครั้งเดียว มีเพียงไม่กี่รายที่ยังมีลมหายใจอยู่ ทว่าเมื่อแทงอีกหนึ่งครั้งก็สิ้นชีพทันที สถานที่จึงไม่ได้มีคราบเลือดอย่างเด่นชัดมากนัก
ระหว่างที่จัดการกับศพ เฉินเสียนก็ช่วยยกอีกแรงและส่งสัญญาณให้หลิวอีกว้าช่วยเธอด้วย
หัวใจของหลิวอีกว้าปฏิเสธ เมื่อมือไปสัมผัสศพที่ยังอุ่นอยู่ หัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา พลางบ่นกระปอดกระแปดว่า “คาดไม่ถึงว่าท่านจะเป็นองค์หญิงเยี่ยงนี้”
พอจัดการทุกอย่างจนสะอาดสะอ้าน เฉินเสียนกับฉินหรูเหลียงก็เข้าพบหัวหน้านักฆ่าจากการแนะนำของหลิวอีกว้า
หลิวอีกว้าเก็บตั๋วเงินจำนวนเกือบหนึ่งแสนตำลึงเข้ากล่องแล้ววางไว้บนโต๊ะ
เฉินเสียนกล่าวว่า “เงินก้อนนี้ข้าจะซื้อชีวิตคนหนึ่งคน ข้าจะให้พวกท่านช่วยแย่งเขามาจากมือยมทูต”
หากยังไม่ทันการ เธอไม่มีทางปล่อยให้ซูเจ๋อถูกประหารเด็ดขาด เธอจะทุ่มเทสุดความสามารถในการก่อกวนลานประหาร ทำให้ลานประหารกลายเป็นลานต่อสู้อันดุเดือด
วันที่เก้า จักรพรรดิออกราชโองการ ไม่ให้ราษฎรหารือถึงเรื่องใหญ่ในราชสำนักทุกที่ทุกเวลา หาไม่แล้วจะถูกจับในข้อหาสร้างความโกลาหลในเมืองหลวง
ตลอดทั้งวันมีทหารออกลาดตระเวนทุกเส้นทาง หลังจากจับประชาชนที่ยังคงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนไม่น้อย ต่อมาเสียงก็ค่อยๆจางหาย ไม่กล้าเอ่ยคำพูดส่งเดชอีก
บุรุษนักเล่าเรื่องในโรงชา โรงเหล้าจำนวนไม่น้อยพลันโดนจับไปไต่สวนที่ทำการปกครองเมือง ด้วยความอัดจนหนทางโรงชากับโรงเหล้าจึงต้องปิดกิจการชั่วคราว
เมืองหลวงเต็มไปด้วยเหล่าทหาร ชั่วขณะนี้บรรยากาศหดหู่และเงียบสงัด เกิดความกดดันเป็นอย่างยิ่ง
ราชสำนักใช้อำนาจกดขี่ประชาชนให้ปิดปาก บรรยากาศตึงเครียดกว่าเวลาเกิดศึกสงครามเสียอีก ประชาชนต้องปิดปากแบบไม่เต็มใจ
วันประหารชีวิตของเที่ยงวันนี้ ร้านแผงลอยในถนนใกล้เคียงจำต้องปิดกิจการ ประชาชนที่ต้องการมาดูการประหารต้องเดินเข้าถนนตามกฎระเบียบที่ทหารตั้งไว้
ทว่าร้านค้ากับโรงเหล้าลักษณะเรือนสองชั้นของสองข้างทาง ถูกสั่งห้ามรับแขกเข้าร้านเช่นกัน โดยมีทหารเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ด้านล่าง แต่จำนวนทหารมีจำกัด จึงมีจุดขาดตกบกพร่อง เมื่อคิดอยากจะเข้าไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เฉินเสียนสวมเสื้อคลุมแบบมีหมวกยืนอยู่ในกลุ่มผู้คน ซึ่งเป็นจุดที่นักฆ่ามองเห็นเธอ พอถึงเวลาก็ดูลักษณะมือของเฉินเสียนปฏิบัติหน้าที่
ประตูเมืองหลวงเกิดเสียงกีบเท้าม้าที่เร่งรีบดังขึ้น
เมื่อใกล้จะถึงเที่ยง แม่นมซุยก็วิ่งมาหาเฉินเสียนอย่างเร่งร้อน นางทำตามที่เฉินเสียนบอก โดยไปยืนอยู่หน้าประตูเมืองแต่เช้าตรู่ หากพบม้าเร็วเข้าเมืองเมื่อใดก็ให้สังเกตเข้าไว้
แม่นมซุยกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “มาแล้วเจ้าคะ บ่าวเห็นทหารขี่ม้าเข้าเมืองแล้วตรงไปยังประตูเมืองอย่างรีบร้อนเจ้าคะ เพื่อความมั่นใจ บ่าวตามไปถึงบริเวณประตูวังเจ้าค่ะ เห็นทหารขี่ม้าเข้าวังแล้วเจ้าค่ะ ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ”
คอมเม้นต์