ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 461 หลังจากนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนไท่อีกแล้ว
เฉินเสียนกุมขมับและกล่าวว่า “นั่นหมายถึงอนาคต อย่าเพิ่งเรียกตอนนี้ ไม่เช่นนั้นถ้าหากมีใครมาได้ยินเขา คนจะมาจับเขาไปเป็นพ่อของคนอื่นเสียก่อน เจ้าเชื่อหรือไม่”
เฉินเสียนคิดว่าเพราะเธอยังไม่เคยสอนเขา เขาจึงไม่รู้เรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่คิดว่าเจ้าน่องน้อยจะยังจำคำพูดที่เธอพูดออกไปอย่างไม่คิดในวันนั้นได้
โลกภายในใจของเจ้าน่องน้อยช่างหลากหลายและละเอียดอ่อน บางครั้งเขาไม่แสดงออก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้และไม่เข้าใจ
เจ้าน่องน้อยมองเฉินเสียนอย่างกังวลราวกับกลัวว่าซูเจ๋อจะถูกจับไปเป็นพ่อของคนอื่น เขาบอกว่า “ได้ ข้าจะไม่เรียก”
หลังจากนั้นเฉินเสียนจึงถามอย่างอ่อนโยนว่า “ทำไมเจ้าจึงชอบเขามากขนาดนี้”
เจ้าน่องตอบอย่างเรียบง่ายด้วยแววตาที่งัวเงียว่า “เขาดี”
เจ้าน่องน้อยผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของเฉินเสียน เฉินเสียนกอดเจ้าน่องน้อยไว้พลางหันไปมองหิมะที่ตกอยู่นอกหน้าต่างอย่างใจลอย
เธอขบคิดถึงคำตอบของเจ้าน่องน้อยอยู่นาน… เขาดี เธออดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับเขา แม้แต่เด็กยังรู้ว่าเขาดี แล้วเธอจะไม่รู้ได้อย่างไร
ไม่รู้ว่าซูเจ๋อกลับเรือนไปหรือยัง เขาจะตากหิมะอยู่หรือเปล่า?
ตอนที่เพิ่งออกมาจากโรงเรียนไท่ เฉินเสียนอยากจะทิ้งร่มไว้ให้เขา เพราะถึงอย่างไรพระตำหนักไท่เหอก็อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนไท่ พวกเธอสองแม่ลูกวิ่งเพียงแค่ครู่เดียวก็ถึง
แต่ที่นี่อยู่ห่างจากนอกพระราชวังมาก
ทว่าอย่างไรก็ตาม เฉินเสียนยังกลัวว่าจะมีใครมาเห็นว่าเธอกับเขาใช่ร่มคันเดียวกัน ดังนั้นเธอจึงต้องล้มเลิกความคิดที่จะทิ้งร่มไว้ให้เขา
เมื่อซูเจ๋อกลับไปถึงเรือน เสื้อผ้าและผมเผ้าของเขาคงจะเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน
เฉินเสียนคิดว่าพ่อบ้านในเรือนของเขาคงจะเตือนให้เขาเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าที่แห้ง
เขาไม่ชอบผิงไฟให้อุ่น และภายในห้องก็ไม่มีเตาผิง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบเหงา หิมะตกหนักเช่นนี้ เขาจะหนาวหรือไม่นะ?
ตอนที่อยู่ที่โรงเรียนไท่ เฉินเสียนมีเรื่องเกี่ยวกับเจ้าน่องน้อยที่อยากจะถามเขา แต่เมื่อคิดดูอีกที ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ควรถามเขาเกี่ยวกับความเป็นมาของเจ้าน่องน้อยในพระราชวังที่อันตรายแห่งนี้
เพราะหากมีใครมาได้ยินคำพูดเหล่านั้นเข้า พวกเขาทั้งสามคนจะตกอยู่ในหายนะที่ร้ายแรงมาก
ดังนั้นเฉินเสียนจึงได้แต่อดทน เธอจำเป็นต้องรอจนถึงเวลาที่เหมาะสมจึงจะถามได้
ก่อนที่เธอจะได้ยินคำตอบจากปากของซูเจ๋อ เธอจะบุ่มบ่ามฟันธงไม่ได้ ถึงแม้การคาดเดาภายในใจจะเป็นเหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก แต่เธอก็ต้องระงับมันไว้ให้ได้ เธอเองก็อยากรู้ว่าซูเจ๋อจะว่าอย่างไร
หลังจากนั้นเจ้าน่องน้อยก็ไม่ได้ไปที่โรงเรียนไท่อีกเลย เขาอยู่เฉยๆ ที่พระตำหนักไท่เหออย่างเชื่อฟัง โดยที่ทุกวันเฉินเสียนจะสอนให้เขาท่องจำคำศัพท์วันละสองสามตัว
เมื่อไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ เฉินเสียนจะวางกระดาษแผ่เอาไว้และสอนเจ้าน่องน้อยให้เขียนชื่อของตัวเองทีละขีดๆ
เจ้าน่องน้อยรู้ว่าตนเองชื่อซูเซี่ยน
เพียงแต่หลังจากเขียนคำนั้น หมึกยังไม่ทันแห้งก็ถูกเฉินเสียนใช้หมึกทาทับ หรือไม่ก็ฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เจ้าน่องน้อยเองก็เหมือนจะรู้ว่าเขายังเปิดเผยชื่อของตนเองต่อธารกำนัลไม่ได้ จึงได้แต่คุยกันตอนอยู่กันลำพังเพียงเขากับแม่ของเขา ไปที่ https://th.readeraz.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! แต่ความกล้าหาญของเขากลับถูกขู่ขวัญจนหายไปโดยสมบูรณ์ ซึ่งมันทำให้พระสนมฉีรู้สึกกริ้วเป็นอย่างมาก
นับแต่นี้องค์ชายห้าจะไม่มีท่าทีหยิ่งยโสอีกต่อไปไม่ว่าจะพบใคร เมื่อออกไปจากห้องนอนเขาจะมองไปรอบๆ และกลัวจนหัวหด
แม้แต่รอยด่างบนกิ่งไม้ก็ทำให้เขาตกใจกลัวจนล้มลงกับพื้นได้
จักรพรรดิยิ่งไม่ชอบเขามากขึ้นเรื่อยๆ และผิดหวังในตัวเขามาก ตรงกันข้าม องค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นโอรสขององค์จักรพรรดินียังดูน่ารักกว่ามากเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ทั้งยังได้อยู่ใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิด้วย
เมื่อสมเด็จพระราชชนนีได้ยินว่าองค์ชายห้ามีเรื่อง พระองค์จึงเสด็จมาที่ตำหนักเพื่อเยี่ยมเยือน
ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด สมเด็จพระราชชนนีทรงโปรดองค์ชายห้ามากที่สุด เพราะองค์ชายห้ามักจะทำให้พระนางพอพระทัยได้เสมอ
แต่ทันทีที่เห็นว่าองค์ชายห้ากลับกลายเป็นเช่นนี้ พระองค์จึงปวดใจเป็นอย่างมาก
พระสนมฉีเห็นดังนั้นจึงทรุดตัวลงต่อหน้าสมเด็จพระราชชนนี ร่ำไห้น้ำหูน้ำตานองหน้า นางคร่ำครวญว่า “ขอสมเด็จพระราชชนนีทรงทวงความยุติธรรมให้หม่อมฉันและองค์ชายด้วยเพคะ ทั้งหมดเป็นเพราะการทำร้ายของจิ้งเสียนแห่งตำหนักไท่เหอ! องค์ชายของหม่อมฉันถูกลูกชายของนางทุบเศียรที่ห้องตำรา! นางบอกว่าองค์ชายมาหาเรื่องเอง ทั้งยังจงใจล่อจระเข้ในทะเลสาบมา และตั้งใจผลักองค์ชายไปเป็นอาหารของจระเข้เพคะ!”
สมเด็จพระราชชนนีทรงโปรดปรานองค์ชายห้า เมื่อได้ยินเช่นนั้นจะทนฟังได้ที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพูดถึงจิ้งเสียนพระองค์ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายพระทัย สมเด็จพระราชชนนีทรงไม่ชอบพระทัยเลยตอนที่มีพระราชโองการให้จิ้งเสียนและลูกของนางอาศัยอยู่ที่พระตำหนักไท่เหอ
ไม่มีเหตุผลเลยที่อดีตองค์หญิงเพียงแค่คนเดียวจะยังจะต้องมาอยู่ในวัง นอกจากนี้นี่ยังไม่ใช่แค่คนนอก แต่เป็นศัตรู จะให้มาอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันได้อย่างไร
วังหลังแห่งนี้เป็นตำหนักหลังขององค์จักรพรรดิ ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องมาเลี้ยงดูองค์หญิงจากราชวงศ์ก่อน
ถ้าจิ้งเสียนและลูกชายอยู่เงียบๆ เสียหน่อย สมเด็จพระราชชนนีคงจะเพิกเฉยได้ แต่เมื่อได้ยินพระสนมฉีบอกว่าลูกชายของนางข่มขู่องค์ชายห้า นอกจากนี้ยังเข้าไปเรียนที่โรงเรียนไท่ สมเด็จพระราชชนนีจึงไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้
สิ่งสำคัญคือคำพูดที่ออกมาจากปากของพระสนมฉี ซึ่งเฉินเสียนกับเจ้าน่องน้อยไม่มีทางเถียงได้
เมื่อฟังพระสนมฉีฟ้องจนจบ สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงตบโต๊ะและตรัสว่า “โรงเรียนไท่ที่สูงส่งเป็นห้องตำราที่เตรียมไว้สำหรับองค์หญิงและองค์ชาย ปล่อยให้คนนอกที่แสนต่ำต้อยเข้าไปทำให้ด่างพร้อยได้เช่นไร จักรพรรดิจะต้องทรงเลอะเลือนแล้วเป็นแน่!”
พระสนมฉีกล่าวทั้งน้ำตาว่า “เดิมทีหม่อมฉันก็คิดว่าไม่เหมาะสมเช่นกันเพคะ แต่หม่อมฉันต่ำต้อยเกินกว่าที่จะพูดอะไร”
สมเด็จพระราชชนนีตรัสว่า “มีอย่างที่ไหนกัน เหตุใดวังหลังแห่งนี้จึงได้กำเริบเสิบสานเช่นนี้! วันนี้ข้าอยากจะเห็นนักว่านางจะไร้กฎเกณฑ์เพียงใด!”
หลังจากนั้นสมเด็จพระราชชนนีจึงเตรียมไปที่พระตำหนักไท่เหอกับนางสนมด้วยท่าทีที่ดุดัน และคิดจะจัดการเฉินเสียนกับลูกของนาง
พระสนมฉีเหลือบมองและกล่าวว่า “พระราชชนนี ที่พระตำหนักไท่เหอแห่งนั้นมีจระเข้โอบล้อมอยู่เพคะ หม่อมฉันเกรงว่าสมเด็จพระชนนีจะทรงตกพระทัย คงจะดีกว่าถ้าจะไปประกาศเรียกให้จิ้งเสียนและลูกของนางมาที่ตำหนักของหม่อมฉัน เมื่อถึงตอนนั้นพระองค์จะตัดสินอย่างไรก็สุดแต่พระองค์เพคะ”
ถึงอย่างไรพระตำหนักไท่เหอก็คือพระตำหนักไท่เหอ ที่นั่นไม่ใช่ที่ของพระสนมฉี จำเป็นต้องพาพวกเขามาที่ตำหนักของนางเท่านั้น นางจึงจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการได้ ไหนจะมีสมเด็จพระราชชนนีคอยหนุนหลังอีก นางจะลงโทษจิ้งเสียนและลูกอย่างรุนแรงแค่ไหนก็ย่อมได้ทั้งนั้น
สมเด็จพระราชชนนีคิดๆ ดูก็รู้สึกว่าคำแนะนำของพระสนมฉีนั้นเหมาะสม จากนั้นจึงส่งคนให้ไปประกาศพระราชเสาวนีย์ที่พระตำหนักไท่เหอ
เฉินเสียนรู้ด้วยตนเองว่าเรื่องของพระสนมฉียังไม่จบเพียงแค่นี้ และนางจะต้องกลับมาอีกแน่ๆ
การยืมมือของสมเด็จพระราชชนนีก็อยู่ในการคาดเดาของเฉินเสียนเช่นกัน ถึงอย่างไรพระสนมฉีก็คอยสร้างความสุขให้สมเด็จพระราชชนนีอยู่เสมอ
เฉินเสียนเองก็ไม่ได้ชอบสมเด็จพระราชชนนีเลยแม้แต่น้อย ทำไมเธอต้องให้เกียรติพระองค์และพาเจ้าน่องน้อยไปที่ตำหนักของพระสนมฉีให้พวกนางเหยียบย่ำและลงโทษด้วย
เฉินเสียนไม่คิดจะรักษาน้ำใจอีกต่อไป
ดังนั้นเมื่อนางกำนัลมาที่พระตำหนักไท่เหอเพื่อประกาศพระราชเสาวนีย์ เฉินเสียนจึงทำเป็นหูทวนลม ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอจะพาเจ้าน่องน้อยไปที่พระตำหนักของพระสนมฉี แม้แต่ออกไปจากพระตำหนักไท่เหอเธอก็จะไม่ออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
สมเด็จพระราชชนนีรออยู่ครู่หนึ่งและแทบจะรอต่อไม่ไหว หลังจากสอบถามดูจึงรู้ว่าเฉินเสียนปฏิเสธไม่ยอมรับพระราชเสาวนีย์ พระองค์จึงทรงกริ้วเป็นอย่างมาก พระสนมฉีคอยสุมไฟอยู่ข้างๆ ว่า “จิ้งเสียนผู้นั้นช่างบังอาจนัก คิดไม่ถึงว่าแม้แต่พระราชเสาวนีย์ของพระราชชนนีก็ยังกล้าขัดขืน! เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นสมเด็จพระราชชนนีอยู่ในสายตา!”
สมเด็จพระราชชนนีทนรออยู่ที่พระตำหนักของพระสนมฉีอีกไม่ไหว ดังนั้นจึงทรงเสด็จไปยังพระตำหนักไท่เหอกับนางกำนัลทันที
ตอนนี้พระสนมฉีไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง สมเด็จพระราชชนนีจะทรงจัดการสองแม่ลูกต่ำช้านั่นด้วยพระองค์เอง แน่นอนว่าพระสนมฉีจะต้องไปด้วย ไปดูเรื่องน่าตื่นเต้น
ทุกคนในพระตำหนักไท่เหอต่างหวั่นกลัว หากสมเด็จพระราชชนนีเสด็จจริงๆ นับประสาอะไรกับเฉินเสียนและเจ้าน่องน้อย แม้แต่นางกำนัลทุกผู้ทุกนางที่อยู่ที่นี่ต่างก็ต้องได้รับโทษ
คอมเม้นต์