ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 482 เป็นคนอัปมงคล
ส่วนสมเด็จพระราชชนนีนั้น เมื่อพระองค์กลับไปถึงพระตำหนักของพระองค์เองก็รู้สึกกระสับกระส่าย และได้สอบถามนางกำนัลคนสนิท “ที่มหาปุโรหิตพูดไป หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
นางกำนัลคิดและกล่าวตอบสมเด็จพระราชชนนี “หรือที่มหาปุโรหิตอ้างถึงสิ่งดุร้าย จะหมายถึงองค์หญิงจิ้งเสียนเพคะ? จะพูดไป เมื่อก่อนตอนที่องค์หญิงจิ้งเสียนยังไม่เข้ามาประทับในวัง ในวังแห่งนี้ก็ดูสงบสุขร่มเย็น”
ทันใดนั้นสมเด็จพระราชชนนีก็ตรัสขึ้นมา “แล้วที่พูดว่าความปรารถนาของพระสนมฉีเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นคืออะไรหรือ?”
นางกำนัลรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ
ในวังหลังมีผู้คนจำนวนมาก การจับกลุ่มซุบซิบนินทาก็มีมากเช่นกัน เรื่องเมื่อช่วงเช้าก็ถูกพูดถึงไปทั่ว
นางกำนัลที่ออกไปจัดเตรียมน้ำชาและอาหารว่างกลับมา และกล่าวกับสมเด็จพระราชชนนี “เมื่อครู่ที่หม่อมฉันออกไป ฟังเสียงกระซิบของคนอื่น ๆ พวกเขายังสงสัยว่าองค์หญิงจิ้งเสียนเป็นสิ่งดุร้ายนี้”
สมเด็จพระราชชนนีตรัส “พวกเขาพูดอะไรบ้าง?”
“หลังจากที่องค์หญิงจิ้งเสียนย้ายเข้ามาประทับที่พระตำหนักไท่เหอ ก็มักไม่ถูกกับพระสนมฉี พวกเขาบอกว่า เรื่องแรกคือจระเข้ที่เลี้ยงไว้นานโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จู่ ๆ ก็ว่ายขึ้นมาบนฝั่ง ทำให้องค์ชายห้าหวาดกลัว หลังจากนั้นพระสนมฉีต้องการให้สมเด็จพระราชชนนีให้ความเป็นธรรมกับพระองค์แต่ไม่สำเร็จจึงถูกคุมขัง
หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงจิ้งเสียน องค์ชายห้าคงไม่ต้องตกใจจนหวาดกลัว พระสนมฉีก็ไม่ต้องถูกคุมขัง หากพระสนมฉีไม่ถูกคุมขัง ก็คงไม่แอบไปห้องตำราหลวงเพื่อจะไปพบองค์จักรพรรดิ และหากไปแอบไปห้องตำราหลวงก็คงไม่ต้อง…”
คำพูดที่เหลือนางก็พูดออกมาหมด เมื่อสมเด็จพระราชชนนีได้ฟังก็เข้าใจทุกอย่าง
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะเฉินเสียน! หากไม่ใช่เธอ วังหลังคงไม่ต้องประสบปัญหามากมายเช่นนี้!
สมเด็จพระราชชนนีจึงนึกได้เรื่องความปรารถนาของพระสนมฉีเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ คงต้องเป็นการพาสมเด็จพระราชชนนีเสด็จไปหาเฉินเสียนที่พระตำหนักไท่เหอเพื่อแก้แค้นคืนให้กับองค์ชายห้า แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำสำเร็จ
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่พระสนมฉียังคงมาหลอกหลอนสมเด็จพระราชชนนี ไม่แปลกใจเลยที่ดวงวิญญาณของพระสนมฉีไม่ไปไหน และบ่อยครั้งที่สมเด็จพระราชชนนีมักได้ยินเสียงพระองค์ร้องไห้
หลังจากที่มหาปุโรหิตได้มา ทำให้สมเด็จพระราชชนนีรู้สึกสงบสุขมาก แต่ในตอนกลางคืนยังคงได้ยินเสียงของพระสนมฉีร้องไห้อยู่
สมเด็จพระราชชนนีคิดว่า หากไม่ทำตามความปรารถนาของพระสนมฉี กำจัดเฉินเสียนที่เป็นตัวปัญหาทิ้ง เกรงว่าดวงวิญญาณของพระสนมฉีจะยังไม่ไปไหน
ถึงแม้ว่าเรื่องที่พระสนมฉีเป็นชู้กับผู้อื่นจะน่าโกรธจนไม่อาจให้อภัย แต่สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงมีความผูกพันในอดีต หนึ่งก็เพื่อคาดหวังว่าพระองค์จะไม่มาตามหลอกหลอนตัวเอง สองก็เพื่อคาดหวังว่าพระองค์จะได้ไปเกิดใหม่โดยที่ไม่มีอะไรติดค้าง
ตอนนี้องค์ชายห้าได้ไปประทับกับองค์จักรพรรดินีแล้ว ที่เหลือก็เพียงแค่ระบายความโกรธใส่เฉินเสียน
องค์จักรพรรดิได้ยินข่าวที่สมเด็จพระราชชนนีจะสานต่อความปรารถนาของพระสนมฉีให้สำเร็จ การสิ้นพระชนม์ของพระสนมฉีไม่ได้จัดงานพิธีใหญ่โต อีกทั้งทูตของเป่ยเซี่ยก็เพิ่งจะเดินทางออกจากเมืองหลวง และยังฆ่าเฉินเสียนสองคนแม่ลูกไม่ได้
สมเด็จพระราชชนนีได้ยินมาว่า เป่ยเซี่ยได้นำความเป็นความตายของเฉินเสียนนั้นมาเป็นเครื่องมือต่อรองกับต้าฉู่ ในตอนนี้ยังไม่สามารถฆ่าได้ และนี่เป็นเหตุผลที่องค์จักรพรรดิให้เธอเข้าไปประทับอยู่ที่พระตำหนักไท่เหอ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่สมควรปล่อยเธอไว้ในวังหลวง
ดังนั้นสมเด็จพระราชชนนีได้เชิญมหาปุโรหิตมาสอบถาม “ครั้งก่อนที่ท่านมหาปุโรหิตกล่าวถึงสิ่งดุร้าย ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าสิ่งดุร้ายนั่นคืออะไร หากไม่สามารถกำจัดได้ ควรจะทำเช่นไร? ไปที่ https://th.readeraz.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! “อมิตตาพุทธ พระพุทธเจ้าไม่ทรงฆ่าชีวิต ดังที่อาตมากล่าวไว้คราวที่แล้ว การท่องบทสวดพระคัมภีร์เจ็ดวันเจ็ดคืนสามารถดับทุกข์ให้กับดวงวิญญาณผู้ตายได้ การสารภาพผิดต่อหน้าพระพุทธเจ้าจะสามารถแก้ไขความคับข้องใจอันชั่วร้ายได้ ดังนั้น ผู้ตายจะได้พักผ่อนอย่างสงบสุขและไปสู่ความสุขก่อนเวลาอันควร”
สมเด็จพระราชชนนีตรัส “ท่านมหาปุโรหิตหมายถึง ให้นางไปสารภาพผิดต่อหน้าพระพุทธเจ้าที่อุโบสถ?”
“เพื่อจะเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ใครเป็นคนผูกก็ต้องเป็นคนแก้ อมิตตาพุทธ ”
สมเด็จพระราชชนนีตระหนักได้ในทันที
ถึงแม้การสิ้นพระชนม์ของพระสนมฉีจะไม่ได้เกิดจากเฉินเสียนโดยตรง แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเธอ ทุกคืนดวงวิญญาณของพระสนมฉีเอาแต่ร้องไห้ไม่ไปไหน และไม่กล้าไปหาเฉินเสียน เพราะว่าเฉินเสียนเป็นคนที่ดุร้าย
เพียงแค่ขับไล่เฉินเสียนออกไปจากวังหลวง นำเธอไปกักขังในวัดบนภูเขาที่ห่างไกลออกไป ให้เธอกินเจ ท่องบทสวดพระคัมภีร์ เพื่อขจัดปัดเป่าความชั่วร้าย ไม่แน่พระสนมฉีก็สามารถไปหาเธอได้ อีกทั้งเธอไม่ไม่ได้อยู่ที่ในวังหลวง ยังสามารถทำให้วังหลวงสงบสุขขึ้นได้อีก !
สมเด็จพระราชชนนีคิดว่า องค์หญิงในราชวงศ์ก่อนหน้าที่รอดชีวิตจากการเข่นฆ่ากันในอดีต ทำไมในร่างกายจะไม่มีความดุร้ายชั่วร้ายได้ คนแบบนั้น จะให้อยู่ในวังหลวงต่อไปได้อย่างไร
ตอนนี้ทูตที่มากจากเป่ยเซี่ยก็กลับไปแล้ว ขอให้เธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีใครสนใจว่าเธอจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ไม่อย่างงั้นก็ไปสารภาพผิดต่อหน้าพระพุทธเจ้าที่วัด ไปบวชเป็นแม่ชี!
ยิ่งคิดสมเด็จพระราชชนนีก็รู้สึกว่าพอจะเป็นไปได้ พระองค์จึงเสด็จไปบอกให้องค์จักรพรรดิออกราชโองการให้ขับไล่เฉินเสียนออกไปจากวังหลวง
สมเด็จพระราชชนนีตรัสด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “องค์จักรพรรดิลองคิดดู ตั้งแต่ที่นางตัวซวยนั่นเข้ามาในวัง วังหลวงก็ไม่สงบสุขอีกเลย นางเป็นองค์หญิงในราชวงศ์ก่อนหน้า และถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจขององค์จักรพรรดินี หากไม่ขับไล่ออกไป แล้ววังหลังจะสงบสุขได้อย่างไรกัน”
สมเด็จพระราชชนนียังตรัสอีกว่า “ขับไล่นางไปอยู่ที่ภูเขาลู่เพื่อไปบำเพ็ญเพียร ท่องพระคัมภีร์บทสวด สวดมนต์อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พระสนมฉี และสะสมบุญให้กับองค์ชายห้า ในเมื่อองค์จักรพรรดิไม่สามารถฆ่านางได้ แต่ก็ไม่ควรให้นางอยู่ในวังหลวงไปตลอดชีวิต”
องค์จักรพรรดิคร่ำครวญ พระองค์ยังไม่ทันคิดว่าจะจัดการกับเฉินเสียนอย่างไรดี แต่จากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในพระตำหนักไท่เหอนั้น เฉินเสียนก็ไม่สมควรที่จะอยู่ในพระตำหนักไท่เหอต่อไป
สมเด็จพระราชชนนีตรัสด้วยความร้อนรน “หากองค์จักรพรรดิไม่ตกลง หรือจะยอมให้ข้าถูกผีหลอกแบบนี้ไปตลอดใช่ไหม? เพียงแค่ให้นางไปอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พระสนมฉีเป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน หากพระสนมฉีจะไปล้างแค้น ก็ไปหานาง ไม่ต้องมาคอยหลอกหลอนข้าแล้ว!”
องค์จักรพรรดิลูบพระนลาฏ และตรัสว่า “ให้เวลาข้าคิดหน่อย”
สมเด็จพระราชชนนีตรัส “ข้าถามมาแล้ว บนภูเขาลู่อากาศหนาวเย็น นางตัวซวยไปอยู่ที่วัดฮู่กั๋วบนภูเขาลู่ก็เหมาะสมแล้ว องค์จักรพรรดิตัดสินใจให้ดี ๆ ในเมื่อฆ่านางไม่ได้ ทำไมถึงไม่เปลี่ยนสถานที่คุมขังนาง? หากนางไม่ออกไปจากพระตำหนักไท่เหอเพื่อไปที่วัดฮู่กั๋ว งั้นข้าจะเป็นคนไปใช้ชีวิตด้วยความหนาวเย็นที่วัดฮู่กั๋วเอง ถึงอย่างไรข้าก็อายุเยอะปูนนี้แล้ว องค์จักรพรรดิคงไม่สนใจสุขภาพความเป็นอยู่ของข้า ข้าก็ไม่คาดหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานหรอก”
หลังจากพูดจบ สมเด็จพระราชชนนีก็เสด็จออกไปด้วยความโกรธเคือง
เมื่อมีคำที่ออกจากปากสมเด็จพระราชชนนีว่าเฉินเสียนเป็นนางตัวซวยของวังหลัง เป็นคนอัปมงคล และพระสนมทั้งหลายต่างก็เสด็จไปที่องค์จักรพรรดินีเพื่อขอร้องให้ขับไล่เฉินเสียนออกไปจากวังหลวง
สองสามวันนี้บรรยากาศในพระตำหนักไท่เหอช่างดูหมองหม่น ใครก็ไม่กล้าจะพูดคุยกับเฉินเสียน
อวี้เยี่ยนทำได้เพียงระบายกับเสี่ยวเฮอ “ข้าว่าเป็นพวกเขาต่างหากที่เป็นนางตัวซวย พูดจามั่วซั่ว ไร้สาระ! พระสนมฉีไปมีชู้กับคนอื่นก็ยังมาโทษองค์หญิงของข้า? องค์หญิงไม่ได้ทำอะไรผิด พระสนมฉีไม่กล้ามาหาองค์หญิง ยังถูกพูดไปว่าเพราะองค์หญิงมีวิญญาณชั่วร้ายในตัว? พูดจาบิดเบือน ไม่แยกแยะถูกผิด!”
เฉินเสียนจูงมือเจ้าน่องน้อยเดินออกมาและปรากฏตัวตรงหน้าพวกนางทั้งสอง และกล่าวว่า “ปล่อยให้เขาพูดไปเถอะ ปากของเขา”
อวี้เยี่ยนเมื่อได้ฟังก็รู้สึกโกรธ “องค์หญิง พระองค์รู้ไหม สมเด็จพระราชชนนีต้องการขับไล่พระองค์ออกจากวัง ให้ไปท่องพระคัมภีร์สวดมนต์ที่วัดบนภูเขาลู่! ภูเขาลู่ออกจะหนาวเหน็บ เมื่อถึงฤดูหนาวบนภูเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนา องค์หญิงจะไปอยู่ที่แบบนั้นได้อย่างไรเพคะ…”
อวี้เยี่ยนโกรธจนแทบจะร้องไห้ “แล้วพวกเขาจะให้องค์หญิงนำเจ้าน่องน้อยไปด้วยไหมเพคะ? หากองค์หญิงเสด็จไป เจ้าน่องน้อยจะอยู่อย่างไร จะต้องอยู่คนเดียวลำพังที่นี่หรือเพคะ…”
คอมเม้นต์