ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 11 แตกต่างจากเดิมเป็นคนละคน
ไม่นานหลิ่วเหมยอู่ก็นำน้ำตาลมาให้ เฉินเสียนดูเหมือนคนโง่ที่ยิ้มอย่างใสซื่อเพราะมีความสุขที่ได้น้ำตาลมากิน เธอมองหลิวเหม่ยอู่คีบก้อนน้ำตาลใส่ลงไปในถ้วยยาด้วยมือของนางเอง
หลิ่วเหมยอู่แทบจะอดหัวเราะไม่ได้ ดื่มเลย ดื่มแล้วจะได้ตายทั้งกลม คิดแล้วนางก็ยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ข้างๆ นั่นเอง นางต้องเห็นมันด้วยตาของตัวเองจึงจะสะใจยิ่งขึ้น นั่นจะช่วยให้นางกู้หน้าจากความอัปยศอดสูที่เคยได้รับได้
เฉินเสียนคนยาสองสามครั้ง ทันใดนั้นก็ถามอะไรแปลกๆ ออกมา “ยาบำรุงช่วยบำรุงอะไรหรือ”
หลิ่วเหมยอู่ชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อนางหันไปมองฉินหรูเหลียง เขาจึงส่งสัญญาณบอกให้นางพูดอะไรออกไปส่งๆ ก็ได้
ในตอนนี้ทุกคนยังคิดว่าเธอคือเฉินเสียนผู้โง่เขลาในอดีตผู้นั้น
หลังจากนั้นหลิ่วเหมยอู่จึงเอ่ยโดยไม่คิดอะไรว่า “น่าจะเป็นยาบำรุงเลือดนะเพคะ องค์หญิงกำลังทรงพระครรภ์ จำเป็นต้องบำรุงให้ดี”
ฟังดังนั้นเฉินเสียนจึงยื่นช้อนคืนให้หลิ่วเหมยอู่เพื่อเตรียมยกยาขึ้นดื่มในรวดเดียว หลิ่วเหมยอู่ยื่นมือออกไปรับมาโดยอัตโนมัติ
เฉินเสียนเหลือบมองมืออันเล็กเรียวและขาวสะอาดของนาง ก่อนจะเอ่ยอย่างกำกวมว่า “งั้นหรือ… ทำไมข้าถึงคิดว่าเจ้าเองก็ควรจะบำรุงเหมือนกันล่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง เฉินเสียนก็เอื้อมมือไปคว้าข้อมือของหลิ่วเหมยอู่ไว้ ช้อนหล่นลงไปบนพื้น ยังไม่ทันที่หลิ่วเหมยอู่จะส่งเสียงร้องออกมา นางก็ถูกเฉินเสียนดึงตัวมาและบีบคางเอาไว้
การเคลื่อนไหวนี้ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติจนทำให้ตั้งตัวไม่ทัน
สีหน้าของเฉินเสียนยังคงไว้ซึ่งสติและสงบเยือกเย็นอย่างน่ากลัว ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความลึกล้ำ ดูไม่เหมือนคนโง่เขลาเลยจนนิดเดียว
หลิ่วเหมยอู่จ้องเขม็ง ในขณะที่ยังทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น ทุกคนก็เห็นเฉินเสียนกรอกยาหม้อข้นๆ นั้นใส่ปากของหลิ่วเหมยอู่ด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก!
เฉินเสียนกระตุกยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง คิดว่าเธอเป็นคนโง่หรือ หืม? หลอกว่ายาทำแท้งเป็นยาบำรุงร่างกายงั้นหรือ
เฉินเสียนคนก่อนนั้นไร้ค่าและต่ำต้อย แต่เธอไม่ใช่เฉินเสียนคนเดิมอีกต่อไป! ถ้ายังกล้าข่มเหงรังแกเธออีกละก็ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะลอยนวลไปง่ายๆ!
ร่างกายของหลิ่วเหมยอู่นั้นอ่อนนุ่มและบอบบาง ดูจากรูปร่างแล้ว เฉินเสียนที่กลายเป็นคนหยาบคายดูท่าจะมีแรงกำลังมากกว่า
หลิ่วเหมยอู่ไม่มีทางต่อต้านได้เลย เล็บที่แหลมคมของนางจิกไปที่หลังมือของเฉินเสียนจนเกิดรอยแผล
ทว่าเฉินเสียนดูเหมือนจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด สีหน้าของเธอยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เฉินเสียนพบว่าร่างกายของตัวเองดูจะมีพละกำลังมากกว่าที่เธอคิด เข้มแข็งและเต็มไปด้วยแรงกำลังราวกับว่าเคยฝึกฝนร่างกายมาอย่างดีตั้งแต่เด็ก
การลงมือก่อนที่อีกฝ่ายจะทันระวังและความเร็วในการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เธอคิดไว้นี้ ทำให้ฉินหรูเหลียงที่ยืนอยู่ที่ประตูโต้ตอบไม่ทัน
“ปล่อย… อื้อ…” หลิ่วเหมยอู่พยายามดิ้นรน
ยาหม้อส่วนหนึ่งไหลเข้าไปในปากของนาง ส่วนหนึ่งไหลล้นออกมาจากมุมปาก
จนเมื่อฉินหรูเหลียงที่กำลังเดือดดาลถลันเข้ามา ถ้วยที่เคยเต็มไปด้วยยาก็ว่างเปล่าเสียแล้ว
เฉินเสียนบีบคางของหลิ่วเหมยอู่ไว้ไม่ยอมปล่อย หนำซ้ำยังออกแรงมากขึ้นก่อนจะฉวยโอกาสหมุนถ้วยยาเปล่าแล้วขว้างลงไปบนพื้นตรงหน้าฉินหรูเหลียงอย่างแรง
ณ เวลานั้นแววตาของเธอทั้งเยือกเย็นและโหดร้าย แตกต่างจากเดิมเหมือนเป็นคนละคน
ทันใดนั้นฉินหรูเหลียงก็ชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะเพราะตกใจก่อนจะแอบถอนหายใจเงียบๆ
ใบหน้าของเฉินเสียนถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่ว่างเปล่าและเย็นชา หลิ่วเหมยอู่ที่อยู่ในเงื้อมมือของเธอพยายามดิ้นรนสุดชีวิต
เฉินเสียนหันไปท้าทายฉินหรูเหลียง “ถ้ายังมีสมองอยู่ละก็จงถอยออกไปสองก้าว หากยังกล้าก้าวเข้ามาอีกก็ลองดู”
“ปล่อยนางซะ” ฉินหรูเหลียงกำลังโกรธจัด สายตามองไปที่เฉินเสียนอย่างคุกคามขณะออกคำสั่ง
หลิ่วเหมยอู่ร้องไห้ทุรนทุราย เส้นผมบริเวณขมับรุ่ยลงมา ดูจนตรอกและน่าเวทนามาก
คางของนางแทบจะหลุดออกมา ทั้งยังเห็นรอยนิ้วมือตรงจุดที่เฉินเสียนจับไว้ได้อย่างชัดเจน
“ท่านแม่ทัพ… เหมยอู่เจ็บเหลือกิน…”
ทว่าเฉินเสียนกลับยิ้มอย่างเย็นชาแล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบรอยแผลบนใบหน้าของตนเองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยอย่างสงบจิตสงบใจว่า “เมื่อเทียบกับรอยบนใบหน้าของข้า รอยเพียงเล็กน้อยของเจ้าจะเรียกว่าอะไรกันหรือ”
เฉินเสียนเหลือบมองรอยข่วนที่หลังมืออย่างไม่แยแสก่อนจะเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “เป็นแมวป่าตัวน้อย จับนิดจับหน่อยไม่ได้เลยหรือ”
ฉินหรูเหลียงกำหมัดแน่นและเอ่ยด้วยเสียงอันทุ้มต่ำว่า “ท่านมีเรื่องขุ่นเคืองอะไรก็จงมาลงที่ข้า นางไม่เกี่ยว! ทางที่ดีท่านควรปล่อยนางเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นหากข้าลงมือก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปราณี!”
เขาประมาทเกินไป
ก่อนหน้านี้เขากับหลิ่วเหมยอู่ต่างคิดเหมือนกันว่านังโง่ผู้นี้คงทนรับความสะเทือนใจเรื่องการแต่งงานไม่ได้จึงมาก่อเรื่องเสียยกใหญ่ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นนางจัดการกับหลิ่วเหมยอู่ ฉินหรูเหลียงก็รู้ทันทีว่าเขาคิดผิดถนัด
ฉินหรูเหลียงตระหนักได้อย่างชัดเจน แววตาที่สงบนิ่งแม้ในยามที่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายของเฉินเสียน ไหนจะคำพูดคำจาที่ฉะฉานและมีเหตุมีผล นี่มันใช่คนโง่เสียที่ไหน!
นางไม่ใช่คนโง่อีกแล้ว และนางก็ไม่ใช่เฉินเสียนคนเดิมอีกต่อไป
ตอนนี้เขาต้องกลับมามองนางใหม่เสียแล้ว
คอมเม้นต์